บทที่568 เสี่ยวหว่าน เป็นเขา
“กู้ซึง เราวิ่งมาไกลพอแล้ว นายวางฉันลงก่อน แล้วพักสักหน่อยเถอะ”
เย้นหว่านพูดด้วยลำคอแหบแห้งอย่างไม่อาจฝืนทน
เธอเห็นว่ากู้ซึงวิ่งจนใบหน้าแดงก่ำ เหงื่อบนหน้าผากของเขาหยดลงมาเหมือนสายฝนอย่างนั้น
เขาถูกโอ๋มาตั้งแต่เด็ก สมรรถภาพทางกายจึงไม่ได้แกร่งกล้าอยู่แล้ว วิ่งมาเป็นเวลานานขนาดนี้ ก็เป็นเรื่องยากลำบากสำหรับคุณชายใหญ่อย่างเขาแล้ว
กู้ซึงหัวเราะ แต่กลับส่ายหัว น้ำเสียงหนักแน่น
“ฉันไม่เป็นไร พอคนของหยูซือห้านรู้สึกตัวแล้ว จะต้องตามฆ่าพวกเราแน่ ฉันต้องพาเธอไปที่ที่ปลอดภัยซะก่อน”
ไม่อย่างนั้นหากถูกจับได้ ความพยายามทั้งหมดก็จะสูญเปล่า
แววตาของเย้นหว่านวูบไหว ดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของเขา “งั้นฉันลงไปเดินเองก็ได้ ฉันเดินเอง”
“เธอถูกตีจนกลายเป็นแบบนี้แล้วยังเดินได้อีกเหรอ?” กู้ซึงมองด้วยแววตาสงสัย ไม่เชื่ออย่างชัดเจน
เย้นหว่านส่ายหัว แล้วพยักหน้าอย่างแน่วแน่ “ฉันไม่เป็นไร ฉันเดินเองได้!”
กู้ซึงมองเธอแบบนั้น แต่กลับไม่ปล่อยเธอลงแล้วสาวเท้าไปต่อไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ขณะเดินเขาก็พูดติดตลกไปพลาง
“ฉันก็แค่อยากจะอุ้มเธออย่างนี้ อุ้มไปตลอดทาง อุ้มอย่างแนบชิด ถ้าให้ใครบางคนรู้เข้า ก็จะหึงไงล่ะ”
ใครบางคน?
หึง?
เย้นหว่านชะงักค้าง สมองพลันตื้อตึง
ทันใดนั้นการเต้นของหัวใจเธอก็กลัยเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แววตาวูบไหวมองไปยังกู้ซึง เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
“คำพูดของนายหมายความว่ายังไง? ใครหึง?”
“เธอเดาเองสิ”
กู้ซึงยิ้มอย่างขี้เล่น สีหน้าหยอกเย้า
ใจทั้งดวงของเย้นหว่านแทบลอยขึ้นฟ้าอย่างไร้การประคับประคอง โงนเงนไปอย่างสั่นไหว
เธอจับไหล่ของเขาอย่างประหม่า “นายอย่าสิ รีบบอกมาเร็วว่าเป็นใครกันแน่?”
กู้ซึงยักไหล่ เลิกสายตามองไปข้างหน้า
“เดี๋ยวก็ถึงแล้ว เธอกล้าเดาหน่อยก็ได้”
เย้นหว่านมองตามสายตาของกู้ซึงไปข้างหน้า ก็มองเห็น ด้านหน้าเป็นอาคารที่พักอาศัยแบบเก่าที่แออัด อย่างน้อยก็มีอายุหลายสิบปีแล้ว ดูเหมือนจะพังทลายได้ทุกเมื่อ
แถมทุกส่วนก็ทรุดโทรมสุด ๆ ยุ่งเหยิงอย่างมาก
เมื่อก่อนตอนอยู่ที่เมืองหนาน เย้นหว่านก็ยังไม่เคยเห็นที่ที่ปัจจัยเลวร้ายขนาดนี้มาก่อน
เดาว่ากู้ซึงก็ยิ่งไม่มีทาง
เขาพาเธอมาที่ทำไมล่ะ?
หัวใจของเย้นหว่านจมดิ่ง ค่อนข้างหมดหวัง ถึงเธอจะรู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ กลับคิดไปโดยไม่รู้ตัวว่าคนที่จะหึงที่กู้ซึงบอกนั้นจะเป็นโห้หลีเฉิน
แต่ตอนนี้เห็นสภาพแวดล้อมของที่นี่ คนเย่อหยิ่งอย่างโห้หลีเฉิน ยังไงก็ไม่มีทางมาอยู่ที่นี่ได้
คนที่เขาพูด อาจจะไม่ใช้โห้หลีเฉินจริง ๆ สินะ
กู้ซึงเดินหอบไป วิเคราะห์เย้นหว่านไปด้วย ก่อนพูดหยอกอย่างขี้เล่น
“ทำไม ไม่พอใจสภาพแวดล้อมของที่นี่ขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
เย้นหว่านส่ายหน้า “เปล่า”
เธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับปัจจัยอะไรที่ไหนทั้งนั้น
ตอนนี้คนเดียวที่สามารถส่งผลกระทบต่อประสาทของเธอ น่ากลัวว่าจะมีเพียงโห้หลีเฉินเท่านั้น เพียงแต่เขานั้นกลับยังไม่รู้เป็นตายอย่างไร
เย้นหว่านนึกถึงจุดนี้ ก็คว้าเสื้อผ้าของกู้ซึงไว้แน่นอีกครั้ง พูดอย่างรีบร้อน
“กู้ซึง นายมีมือถือมั้ย? นายเอามือถือให้ฉันหน่อย ฉันจะติดต่อพี่ชายฉัน”
ให้มาหาเธอแล้วไปช่วยโห้หลีเฉิน
กู้ซึงอุ้มเย้นหว่านเดินขึ้นบันไดเก่าแก่ ตอบกลับเรียบ ๆ “ไม่ต้องรีบ ค่อยติดต่ออีกทีก็ได้”
เย้นหว่านนิ่งอึ้ง ไม่รีบที่ไหนกัน เธอรีบมากอยู่ชัด ๆ เนี่ยไม่เห็นเหรอ?!
หรือเพราะกู้ซึงอุ้มเธอเหนื่อยเกินไป แม้แต่แรงจะหยิบมือถือก็ไม่มีแล้ว
เย้นหว่านพูดอีกครั้ง “มือถือนายอยู่ในกระเป๋าไหน เดี๋ยวฉันหยิบเอง”
กู้ซึงมองเย้นหว่าน ไม่ตอบเธอ แต่ถามเธออีกครั้ง
“เธอไม่คิดจะทายดูหน่อยเหรอ? ฉันขอเตือนเธอด้วยความหวังดี ถ้าเธอทายถูกแล้ว จะไม่อยากติดต่อหาพี่ชายขนาดแล้วล่ะ”
เย้นหว่านถามอย่างงุนงง “หรือว่าพี่ชายฉันอยู่ด้านในเหรอ?”
กู้ซึงยิ้ม “ทายอีกทีสิ”
ไม่ใช่พี่ชายเธอ แต่ความหมายกลับเป็น หลังจากเห็นเขาแล้ว เธอจะไม่อยากติดต่อหาเย้นโม่หลินเลย
ใครกัน ที่จะมีเสน่ห์ดึงดูดขนาดนั้น?
ในหัวของเย้นหว่านมีเพียงตัวเลือกเดียว แต่กลับไม่กล้าเชื่อว่าความเป็นไปได้นั้นจะเป็นจริง
แววตาของเธอสั่นไหว หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้ลองเอ่ยออกมาสามคำอย่างหวั่น ๆ
“โห้หลีเฉิน?”
กู้ซึงเอื้อมมือข้างหนึ่งเปิดประตูบานเก่าตรงหน้า เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น เขาอุ้มเย้นหว่านเดินเข้าไปข้างใน
เพียงเดินเข้าไปกลิ่นเหม็นอับชื้นก็โชยมาปะทะใบหน้า
เย้นหว่านขมวดคิ้วอย่างไม่สบายใจ
เธอคิดไม่ถึงเลยว่ากู้ซึงจะซ่อนตัวอยู่ในสถานที่เช่นนี้ ห้องนี้เล็กมาก ภายในห้องก็โทรมมาก มีเพียงโต๊ะอาหารที่ผิวลอกไม่มากแล้วตัวหนึ่งเท่านั้น
เขาอุ้มเย้นหว่านเดินเข้าไป แล้วจึงวางเธอลงอย่างนุ่มนวล
เขาก้มลงมองเธอ แววตานิ่งสงบ พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เสี่ยวหว่าน เป็นเขา”
อะไรนะ?
อะไรคือเป็นเขา?
เย้นหว่านตกตะลึงราวกับถูกสายฟ้าฟาด ไร้การตอบสนองไปชั่วขณะ
เธอไม่กล้าเชื่อ ว่ามันจะเป็นความหมายนั้นอย่างที่เธอคิด
กู้ซึงกดไหล่ของเย้นหว่าน พยักหน้าอย่างหนักแน่น สีหน้ากลับเปลี่ยนไปอย่างเคร่งขรึมอย่างมาก
“เขาอยู่ภายในห้องนี้ เธอต้องเตรียมใจไว้ให้ดี อาการของเขา…” ไม่ค่อยดีนัก….
กู้ซึงยังพูดไม่ทันจบ หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน ก็รีบพุ่งไปยังประตูห้องในวินาทีต่อมา
เสียง “ปัง” ดังขึ้น เธอผลักประตูออกอย่างใจร้อน
เย้นหว่านหายใจถี่รัว
เธอมองเข้าไปในห้องด้วยดวงตาที่สั่นเทา ก็เห็นว่ามีร่างเพรียวของชายหนุ่มนอนอยู่บนเตียงเก่าทรุดโทรม
เขาหน้าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติของเขา ซีดเซียวเหมือนกระดาษขาว แพขนตาหนาเรียงติดอยู่บนดวงตาอย่างแผ่วเบา ราวกับพัดอันเล็ก ๆ อันสวยงาม
ร่างกายอย่างเขาถูกคลุมด้วยผ้านวม แต่ในห้องนั้นมีกลิ่นเตะจมูกของยาและคาวเลือด
เย้นหว่านมองเขาตรง ๆ ขอบตาก็พลันแดงเห่อ หยดน้ำตาไหลพรากลงมา
เป็นเขา!
เป็นโห้หลีเฉิน!
เป็นโห้หลีเฉินของเธอ!
เขายังมีชีวิตอยู่ เขายังมีชีวิตอยู่!
“โห้ โห้…..”
เย้นหว่านริมฝีปากสั่นสะท้านอ้าค้าง น้ำเสียงสั่นเครือ สะอึกสะอื้นอยู่นานก็ยังไม่อาจเอ่ยชื่อของเขาออกมาทั้งหมด
เธอตกใจเกินไป ตื่นเต้นเกินไป และปิติยินดีมากเกินไป
เธอคิดถึงเขาทุกวัน หวังว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนที่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เธอกลับราวกับกำลังฝันอยู่ไม่ใช่เรื่องจริง
หวาดกลัวว่าหากเสียงดังกว่านี้อีกนิด จะทำให้ฉากตรงหน้าที่ตกใจหายไป
เธอกลัวว่าหากกะพริบตาแล้วจะตื่นขึ้น แล้วกลายเป็นแค่ความฝัน
กู้ซึงยืนอยู่ข้างหลังด้วยสีหน้าซับซ้อน มองเย้นหว่านอย่างปวดใจ เขาพูดเสียงเบา
“เขายังมีชีวิตอยู่ดี เธอเข้าไปดูเขาเถอะ”
คำพูดของเขาราวกับเครื่องกระตุ้นหัวใจ
หัวใจที่ล่องลอยของเย้นหว่าน มีความมั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
เธอมองตรงไปยังโห้หลีเฉินที่นอนอยู่บนเตียง ขาสั่น ๆ ทั้งสองข้างเดินเข้าไปหาเขาทีละก้าว
เธอนั่งยอง ๆ ลงข้างเตียงของเขาอย่างแผ่วเบา จ้องมองเขาอย่างเหม่อลอย หยดน้ำตาร่วงหล่นลงมา
เธอสะอื้น เรียกเขาเบา ๆ “โห้หลีเฉิน…..