บทที่592 พี่ไม่เลือกกิน ก็บ้าแล้ว
เหมือนตอนเดินออกไป เย้นโม่หลินกลับมาบ้านพักตากอากาศอย่างครึกครื้น
พอเดินเข้าประตู เขาก็เดินไปที่ห้องพักของโห้หลีเฉินอย่างคุ้นเคยกับทางเดิน แต่ในเวลานี้ กลับได้ยินเสียงเย้นหว่านดังออกมาจากห้องครัว
“พี่คะ พวกเราอยู่ในนี้ค่ะ”
เย้นโม่หลินหยุดเดิน จึงเห็นว่าเย้นหว่านกำลังโบกมือให้เขาอยู่พอดี
เขาเพิ่งจะตั้งตัวได้ ก็โห้หลีเฉินฟื้นแล้ว เย้นหว่านไม่จำเป็นต้องคอยดูแลเขาโดยติดตัวกันอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าต้องออกมากินข้าวข้างนอกได้แล้ว
เย้นโม่หลินมองไปทางเย้นหว่าน แววตาของเขาอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าห้องครัวอย่างรวดเร็ว
เย้นหว่านกำลังยืนอยู่ข้างโต๊ะอาหาร และกำลังจัดเตรียมตะเกียบกับชามให้เขาด้วยรอยยิ้ม
“พี่คะ หนูไม่รู้ว่าพี่จะกลับมา ก็เลยไม่ได้เตรียมกับข้าวไว้เยอะ พี่กินข้าวกับพวกเราแก้ขัดไปก่อนนะคะ”
“ ไม่เป็นไร พี่ไม่เลือกกิน”
เย้นโม่หลินเอ่ยปากพูดอย่างไม่มีความลังเลก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้
อาหารการกินของบ้านเขาล้วนอยู่ในระดับสูง รสชาติดี ปริมาณมากพอ ถึงแม้คนเดียวจะกินกับข้าวแค่ไม่กี่อย่าง แล้วมีคนเข้ามาเพิ่มอีกสามคน ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์กับข้าวไม่พอกินแน่นอน
ดังนั้นเย้นโม่หลินจึงนั่งลงโดยไม่มีความรู้สึกหนักใจอะไร
แต่ว่า ตอนที่เขาเห็นอาหารที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะ ใบหน้าหล่อเหลาก็เปลี่ยนไปทันที
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะถามด้วยความแปลกใจ“ มีแค่พวกนี้เหรอ”
มีอาหารหลายอย่างก็จริง บนโต๊ะมีอาหารที่ไม่ซ้ำชนิดหลายสิบรายการวางอยู่
แต่ว่า……
ป่ายฉีที่นั่งอยู่ข้างๆหัวเราะอย่างชอบใจและพูดด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม “คุณพี่ใหญ่ คุณเพิ่งพูดเองว่าคุณไม่เลือกกินนะครับ”
มุมปากของเย้นโม่หลินกระตุกเล็กน้อย
นี่ไม่ใช่ปัญหาว่าจะเลือกกินหรือไม่เลือกกิน แต่เป็นปัญหาว่าจะกินได้หรือไม่ได้ต่างหาก
เขาเป็นคนชอบกินเผ็ด อาหารบนโต๊ะ ส่วนใหญ่จะมีรสชาติเผ็ดและไม่เผ็ดผสมกัน คุณค่าทางโภชนาการอาหารเองก็ต้องสมดุลด้วย
แต่จานตรงหน้านี้ทั้งหมด ล้วนเป็นอาหารรสจืดทั้งนั้น
เหมือนเอาผักมาต้มสุก แบ่งเป็นการต้มผักแต่ละชนิดไม่ซ้ำกัน
เขาอดที่จะยกย่องเชฟของบ้านตัวเองไม่ได้ ว่าทำได้ดีมากจริงๆ
เขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ ว่าทำไมเย้นหว่านถึงพูดเน้นย้ำคำพูดว่า ไม่ได้เตรียมอาหารเยอะ ดังนั้นขอให้เขากินแก้ขัดไปกับพวกเธอ
รู้สึกว่านี่จะเป็นเพราะโห้หลีเฉิน ถึงได้ต้องกินแต่อาหารรสชาติจืดชืดพวกนี้
ป่ายฉีที่นั่งมองไปที่เย้นโม่หลินและรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ยิ่งกว้างมากขึ้น
เขายิ้มและพูดว่า “เป็นเรื่องยากที่จะเห็นพี่ใหญ่ของเราจะทำหน้ากินอะไรไม่ลงแบบนี้ จู่ๆผมก็รู้สึกหิวขึ้นมาซะแล้วสิ”
ป่ายฉีมาที่นี่เพื่อมาดูอาการบาดเจ็บของโห้หลีเฉิน และมาทันเวลาอาหารพอดี ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะกินข้าวที่นี่ด้วยเลย
แต่พอเห็นอาหารบนโต๊ะนี้ ปฏิกิริยาของเขาก็เหมือนกับของเย้นโม่หลินไม่ผิดเพี้ยน
ถึงจะไม่มีอาหารรสชาติเผ็ด แต่มีอาหารรสชาติจืดชืดแบบนี้มันหมายความว่ายังไง
ป่ายฉีรู้สึกหดหู่ใจและกำลังจะหาเหตุผลที่จะกลับไป แต่คิดไม่ถึงว่า เย้นโม่หลินจะกลับมาพอดี
ทำให้จู่ๆเขาก็มีความอยากอาหารขึ้นมาแล้ว
ใบหน้าของเย้นโม่หลินบึ้งตึงขึ้นมาอีก ต้องมาเผชิญหน้ากับอาหารที่กลืนไม่ลงที่อยู่บนโต๊ะ แล้วยังมีไอ้หน้าจืดที่นั่งหัวเราะเขาอีก
อยากตายหรือไง
เย้นหว่านยืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
ตอนที่เธอสั่งให้ทางห้องครัวเตรียมอาหาร เธอคิดถึงแต่อาการบาดเจ็บของโห้หลีเฉิน แต่เธอก็ไม่ได้คิดว่าจะมีอีกสองคนมาเพิ่ม
ดวงตาของเธอเป็นประกายและเธอพูดว่า “เดี๋ยวฉันจะให้พ่อครัวทำอาหารเพิ่มอีกสองสามอย่างดีกว่าค่ะ รอเดี๋ยวนะคะ”
“ไม่จำเป็น.”
เย้นโม่หลินพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม ก่อนจะมองไปทางโห้หลีเฉินที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยแววตาเคร่งเครียด
น้ำเสียงของเขาเป็นปรปักษ์อย่างไม่ปกปิด“ น้องสาวของผมที่เป็นคนชอบกินอาหารรสเผ็ดมาก ๆ กลับต้องยอมกินอาหารรสชาติจืดชืดเป็นเพื่อนคุณชายโห้ ผมจะกินด้วยสักมื้อสองมื้อ ก็คงไม่เป็นไร จริงไหมครับ”
ความหมายของแฝงในคำพูดนั้นค่อนข้างชัดเจน
ความหมายก็คือ โห้หลีเฉินอาศัยว่าเขาเป็นผู้ป่วยและได้รับบาดเจ็บ โดยไม่คำนึงถึงรสนิยมและความชอบของเย้นหว่าน ที่จะต้องมากินอาหารรสชาติจืดชืดที่ยากต่อการกลืนเหล่านี้กับเขา
นั่นก็หมายความว่า เขาเห็นแก่ตัว
โห้หลีเฉินนั่งตัวตรง ใบหน้าหล่อเหลาของเขา ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
เย้นหว่านฟังความในแฝงออก แต่เธอคิดไม่ถึงว่าเย้นโม่หลินจะเข้าใจผิดโห้หลีเฉิน จึงรีบอธิบาย
“พี่คะ อาการบาดเจ็บของหนูเองก็ยังไม่หายดีค่ะ โห้หลีเฉินก็เลยไม่ให้หนูกินของที่ไม่ดีต่อการฟื้นตัวค่ะ”
เย้นโม่หลินผงะไปเล็กน้อย
เย้นหว่านเองก็ได้รับบาดเจ็บจริงๆ โห้หลีเฉินทำแบบนี้ หมายความว่าเขาได้คำนึงถึงสุขภาพร่างกายของเย้นหว่านแล้ว
ดูเหมือนเขาจะเข้าใจผิดโห้หลีเฉินแล้วจริงๆ
เย้นโม่หลินมองไปที่โห้หลีเฉินด้วยแววตาสับสน แล้วก็ยังรู้สึกไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายเหมือนเดิม ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมา
แล้วเอ่ยพูด “อย่ายืนอยู่เฉยๆสิ กินข้าวกันได้แล้ว”
เมื่อเห็นเย้นโม่หลินขยับตะเกียบ เย้นหว่านก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก เธอจึงนั่งลงข้างๆ โห้หลีเฉินอย่างเรียบร้อย
ทันทีที่เธอนั่งลง แทนที่จะหยิบชามและตะเกียบของตัวเอง เธอกลับหยิบชามซุปของโห้หลีเฉินขึ้นมาและตักซุปให้เขา
จากนั้น เธอก็หยิบตะเกียบกลาง คีบอาหารให้เขา และพูดไปด้วยว่า อาหารจานนี้บำรุง อาหารนั้นบำรุง
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ชามของโห้หลีเฉินก็เต็มไปด้วยอาหาร
โห้หลีเฉินมองไปที่เธออย่างทำอะไรไม่ถูกและพูดเบา ๆ “พอแล้วครับ คุณก็กินด้วย”
ด้วยคำพูดนั้น โห้หลีเฉินจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาและหยิบเนื้อใส่จานเย้นหว่าน
เย้นหว่านมองไปที่ชิ้นเนื้อในชามของเธอ พร้อมกับยิ้มหวานที่ริมฝีปากของเธอ เธอรู้สึกมีความสุขมาก
เธอหันหน้าไปมองเขา“ แขนของคุณก็เจ็บเหมือนกัน ถือตะเกียบแล้วรู้สึกเจ็บไหมคะ คุณต้องการให้ฉันป้อนคุณไหม!”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา เย้นโม่หลินที่กำลังดื่มซุปก็แทบจะสำลัก
เขาก็มองไปที่เย้นหว่านประหลาดใจ และทำสีหน้าโมโหต่อความซื่อบื้อของน้องสาวตัวเอง
โห้หลีเฉินฟื้นแล้ว และเขาสามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีคนมาป้อนอาหารเขา
น้องรัก เป็นห่วงมากเกินไปหรือเปล่า
โห้หลีเฉินมองไปที่ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของเย้นหว่าน มุมปากของเขาค่อยๆยกขึ้นอย่างมีความสุขและสายตาของเขาก็ดูรอคอยเอามากๆ
เขาอยากจะเสพสุขกับการบริการดูแลของเธอจริงๆ ให้อาหารเขาทีละคำ
แต่ว่า……
“เมื่อกี้พี่เห็นเขาถือตะเกียบได้สบายๆ พี่คิดว่าอาการบาดเจ็บก็คงจะใกล้หายดีแล้ว ”
เย้นโม่หลินขมวดคิ้ว เขาไม่สามารถทนมองต่อไปได้แล้ว จึงพูดอย่างเย็นชา
สายตาคมจ้องตรงไปที่โห้หลีเฉิน
เต็มไปด้วยแววตาเฉียบคมและดูถูก
เย้นหว่านขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอรู้สึกถึงบรรยากาศความเป็นปรปักษ์ที่ลอยอยู่ในอากาศ
พี่ชายของเธอเป็นอะไรไป พอเขากลับมาก็อารมณ์เสียแบบนี้ ทำตัวเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยหนามทั้งตัว และมันก็มุ่งเป้าไปที่โห้หลีเฉินคนเดียว
โห้หลีเฉินเพิ่งช่วยชีวิตเธอไว้ และยังบาดเจ็บอยู่ด้วย เขาจะสุภาพกับอีกฝ่ายบ้างไม่ได้หรือไงกัน
เย้นหว่านรู้สึกรำคาญและอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ใต้โต๊ะ ฝ่ามือกว้างของโห้หลีเฉิน ค่อยๆจับมือเล็ก ๆ ของเธอและส่ายหน้าไม่ให้เธอพูด
เธอมองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย
ใบหน้าของโห้หลีเฉินซีดเล็กน้อย แต่ท่าทางของเขาดูไม่แยแส ไม่มีร่องรอยของความตื่นตระหนกเลย
เขาตอบอย่างใจเย็นว่า “แม้ว่ามันจะยังไม่หายดีทั้งหมด แต่ก็ไม่มีปัญหาในการเดิน หรือทำสิ่งต่างๆ ถ้า คุณชายเย้นรีบร้อนอยากจะกลับไป ผมก็สามารถให้ความร่วมมือได้ครับ”
เย้นหว่านรู้สึกไม่มีพอใจ อาการบาดเจ็บของโห้หลีเฉิน เพิ่งหายเป็นปกติเพียงบางส่วน เขาจะออกไปได้ยังไงกัน
ยังไงก็ต้องพักรักษาตัวอีกสักพัก
เย้นหว่านไม่พอใจ แต่โห้หลีเฉินกลับไม่ยอมให้เธอโต้เถียง เธอจึงมองไปที่เย้นโม่หลินด้วยสายตาไม่พอใจ