ที่แท้ ทุกอย่างเป็นอุบายและความคิดของเขา ยิ่งเพื่อการแผนการระหว่างเขาสองคน
โดยเอาความสุขทั้งชีวิตของกู้จื่อเฟยและเย้นโม่หลินมาวางอุบายโดยยอมทุ่มทุกอย่าง
วิธีการนี้……
โชคดีที่เป็นผู้ชายของเธอ แต่ไม่ใช่ศัตรู
“แล้ว……” เย้นหว่านคิดๆแล้วได้ถามอีก “คุณแน่ใจได้ยังไงคะว่าพี่ชายฉันชอบกู้จื่อเฟยแน่นอน? ถ้าเขาไม่ได้สปาร์คเลยล่ะ”
จู่ๆเย้นหว่านนึกได้ว่า บางทีตอนที่ปลอมตัวเป็นกู้ซึงและมาตระกูลเย้นกับกู้จื่อเฟย โห้หลีเฉินก็เริ่มวางแผนให้กู้จื่อเฟยกับเย้นโม่หลินอยู่ด้วยกันแล้ว
เพราะคลี่คลายเรื่องที่เขาปลอมตัวเป็นกู้ซึง วิธีที่ดีที่สุดและไวที่สุดก็คือให้คนที่เย้นโม่หลินรักก็พัวพันเข้ามาในเรื่องนี้ด้วย
ถ้าจะให้อภัย ก็ให้อภัยด้วยกัน
โห้หลีเฉินลูบศีรษะเย้นหว่าน แววตาลุ่มลึกสุดๆ “เรื่องเกี่ยวข้องกับคุณ ผมไม่ทำเรื่องที่ไม่มีความมั่นใจหรอก”
หยุดไปครู่หนึ่ง เขาได้พูดต่อ “ถึงเย้นโม่หลินไม่ปิ๊งรักกู้จื่อเฟย ผมก็มีวิธีอื่นให้พวกเขายอมรับผมเหมือนกัน”
แผนการ ไม่ได้มีแค่แผนAเท่านั้น
และผลลัพธ์ที่เขาต้องการ กลับคือได้อยู่กับเย้นหว่านร้อยเปอร์เซ็นต์
แววตาของเย้นหว่านระยิบระยับอย่างโหด หัวใจยิ่งอยู่ยิ่งเต้นแรง
ไม่เคยรู้สึกสบายใจและมั่นคงแบบนี้มาก่อน
ราวกับถ้าอยู่กับเขา เธอไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องใดๆทั้งสิ้น เพราะโห้หลีเฉินจะแก้ไขทุกอย่างได้เพอร์เฟค
เธอแค่คอยตามเขา พึ่งพาเขา และอยู่กับเขาก็พอ
เธอยื่นมือกอดเขา เอาใบหน้าเรียวเล็กซบไปที่อกของเขา พร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “โห้หลีเฉิน ต่อไปฉันสามารถเป็นมอดที่ไร้ซึ่งความกังวล? วันๆรับผิดชอบแค่กินเที่ยวเล่นนอนอย่างเดียว?”
ไร้ซึ่งความกังวลชั่วชีวิต มีความสุขและเรียบง่าย
โห้หลีเฉินเพ่งมองเย้นหว่าน พริบตาเดียวแววตาก็ลึกซึ้ง เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “กินผม? เล่นผม? นอนผม?”
แต่ละคำถาม ถามเอาเย้นหว่านตกตะลึงจนตาค้าง แก้มแดงเหมือนแอปเปิ้ล
เธอไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น!
เย้นหว่านโกรธเนื่องจากละอายอยากจะอธิบาย นิ้วชี้ของโห้หลีเฉินกลับประทับอยู่ที่ริมฝีปากของเธอเบาๆ
เขาเข้าใกล้เธอ น้ำเสียงอ่อนโยนและมีแดงดึงดูดสุดขีด “ไม่ต้องรีบร้อน รอผมหายดี ผมจะสนองคุณทุกอย่าง”
กิน ดื่ม เล่น นอน!
ทันใดนั้นเย้นหว่านอายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี “คุณนี่มัน……อันธพาล”
เธอผลักโห้หลีเฉินทิ้ง และหันหลังจะหนีไป
หัวใจกลับเหมือนสูญเสียการควบคุม จนจะทะลักออกมาจากทรวงอก
เธอเฝ้ารอให้อาการบาดเจ็บของเขาหาย แต่ตอนนี้กลับ…….นึกถึงก่อนหน้านี้เขาเคยบอกว่า ครั้งหน้าก็จะเอาเธอแล้วจริงๆ
ครั้งนี้รออาการบาดเจ็บของเขาหายดี เขากับเธอก็จะ…….
แค่คิด เย้นหว่านก็รู้สึกเลือดขึ้นสมอง ร้อนรุ่มไปทั้งเนื้อทั้งตัว
โห้หลีเฉินมองเงาที่เธอวิ่งไปอย่างเร่งรีบ มุมปากมีรอยยิ้มที่รื่นรมย์
จากนั้น ได้ก้าวเท้าตามเธอไปอย่างชิวๆ
ผ่านไปสามชั่วโมง เย้นโม่หลินนั่งเฮลิคอปเตอร์มาถึงจุดหมายปลายทาง
เขาเดินมาอย่างรีบร้อน เห็นประตูใหญ่ของวัดที่อยู่ตรงหน้า จู่ๆคนทั้งคนกลับอึ้งค้างไว้
เขาขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยการต่อต้านและไม่เชื่อ เขาถามด้วยเสียงทุ้มต่ำอีกครั้ง “แน่ใจเหรอว่ากู้จื่อเฟยอยู่นี่จริงๆ?”
ต้วนอานยืนอยู่ข้างๆ และตอบอย่างมีความอดทน “ใช่ครับ หลังจากคุณชายโห้ส่งข่าวมา ผมก็ได้สั่งให้คนที่อยู่ละแวกนี้ตรวจสอบดูแล้ว คุณกู้จื่อเฟยอยู่นี่จริงๆครับ อีกอย่างเท่าที่รู้ข่าว เธออยู่ที่นี่มาค่อนข้างนานแล้วครับ”
ผู้หญิงตัวคนเดียว อยู่ที่วัดมานานมากแล้ว
หัวใจเย้นโม่หลินเย็นวูบ อัดอั้นจนทรมาน
ในหัวเขานึกภาพจื่อเฟยที่ร่าเริงแจ่มใส โกนหัวเป็นแม่ชีไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เขาหน้าห้อย เดินเข้าไปด้านในด้วยอารมณ์ที่หนักหน่วงมาก
ในหัวของเขาคอยคิดคำพูดอยู่นับไม่ถ้วน ว่าพอเจอหน้าแล้ว ควรจะพูดจากับกู้จื่อเฟยยังไง จะพูดอะไรที่ดูเป็นธรรมชาติและไม่แคร์หัวโล้นของเธอ ราวกับเหมือนเมื่อก่อน แค่พูดทักทายบอกว่ามารับเธอกลับไป
หรือว่าเดินไปหาเธอโดยตรง และบอกว่าได้ทำให้เธอทนทุกข์ลำบากแล้ว บอกเธอว่าที่จริงเย้นหว่านไม่ได้ตาย เธอไม่ต้องบวชเป็นแม่ชีเพื่อมาถ่ายบาปแล้ว
หรือว่า……
ในหัวของเย้นโม่หลินคิดคำพูดแล้วคำพูดเล่า แต่ก็ล้มล้างคำแล้วคำเล่า
จนกระทั่งเดินมาถึงประตูด้านในสุดของวัด เขาก็ยังคิดโปรแกรมที่แน่ใจออกมาไม่ได้
ส่วนเขา เงยหน้าก็เห็นเงาเล็กๆที่กำลังคุกเข่าอยู่บนฟูก
เธอกำลังก้มคำนับอยู่ แค่เผยเงาที่ซูบผอมออกมา แทบจะดูอะไรไม่ออก แต่เย้นโม่หลินแค่มองแว็บเดียวก็รู้ว่าเธอคือกู้จื่อเฟย
เขายืนแข็งทื่ออยู่กับที่ มองเธออย่างอึ้ง
เธอใส่ชุดสีเทาที่เรียบง่าย ไม่ต่างอะไรกับแม่ชีที่อยู่ในลานนี้เลย
จริงๆด้วย……
หัวใจเจ็บจี๊ดเหมือนถูกเข็มทิ่ม
เย้นโม่หลินเพ่งมองเธอ จู่ๆเริ่มสงสัยขึ้นมาเรื่องหนึ่ง วันนั้นตอนที่อยู่ริมทะเล เขาไม่ใช่โหดเกินไป แต่คือทำผิด?
เขาผิดไปแล้วเหรอ?
ถ้าไม่ใช่เขา กู้จื่อเฟยก็จะไม่เสียใจจนโกนหัวบวชเป็นแม่ชี………
“กู้จื่อเฟย กลับไปกับผม!”
อารมณ์ที่อยู่ในใจ อดทนไม่ไหวอีกต่อไป
เย้นโม่หลินก้าวเท้าเดินเข้าไปในอุโบสถทันที ยื่นมือดึงกู้จื่อเฟยที่คุกเข่าอยู่บนฟูกลุกขึ้น
กู้จื่อเฟยกำลังคุกเข่าภาวนาอยู่ กลับถูกคนฉุดดึงขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างกายยิ่งกระโจนไปด้านหน้าอย่างสูญเสียการควบคุม
ศีรษะของเธอชนเข้าที่ไหล่ของผู้ชาย
เธออึ้งไปครู่หนึ่ง ต่อมาก็ได้ยกมือตบ “เพี๊ยะ” ไปที่หน้าของเขา
“ไอ้อันธพาล!” เธอด่าด้วยความโกรธ
ฝ่ามือที่มาอย่างกะทันหัน ได้ตบเข้าที่ใบหน้าของเย้นโม่หลินอย่างแรง
ใบหน้าหล่อเหลาของเขา มีรอยฝ่ามือโผล่ขึ้นมาทันที
เขายืนแข็งทื่ออยู่กับที่ สีหน้าถึงขั้นแข็งกระด้าง ชีวิตนี้เขายังไม่เคยถูกใครตีมาก่อน ยิ่งอย่าบอกว่าถูกตบหน้าเลย!
รู้สึกได้ถึงความแข็งทื่อของผู้ชาย กู้จื่อเฟยรีบขัดขืนออกจากมือของเขา และถอยหลังไปสองก้าว
ตอนที่เงยหน้าเตรียมตัวด่าทอ กลับเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่คุ้นเคยสุดขีดอย่างเหนือความคาดหมาย
เธอเบิกตากว้างอย่างตะลึงงัน สีหน้าไม่กล้าจะเชื่อ แม้แต่เสียงก็ติดขัดแล้ว “พี่…..พี่เย้น?”
เป็นเขาได้ยังไง? เธอตาฝาดแล้วมั้ง?
เย้นโม่หลินหน้าแดง ปวดแสบปวดร้อนอย่างไม่คุ้นชิน สีหน้าเขาแข็งทื่อ มองกู้จื่อเฟยด้วยสายตาเคร่งขรึม พูดออกมาจากปากอย่างแข็งกระด้าง “ผมเอง”
แววตาของกู้จื่อเฟยระยิบระยับอย่างรุนแรง ไม่กล้าเชื่อว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ แถมยังถูกตบฉากหนึ่งจะเป็นเย้นโม่หลินจริงๆ เธอถึงขั้นไม่เคยคิดมาก่อนว่าชาตินี้จะได้เจอหน้าเขาอีก
หลังจากประหลาดใจไปครู่หนึ่ง กู้จื่อเฟยเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ แววตาลึกๆมีความลนลานและความเจ็บปวดแว็บผ่าน เธอกัดฟันไว้ หันหลังก็จะเดินจากไป
ฝีเท้าเร็วมาก เหมือนวิ่งหนียังไงอย่างงั้น แค่พริบตาเดียวก็จะเดินออกจากอุโบสถแล้ว
เย้นโม่หลินมึนไปครู่หนึ่ง
เขาบินมาหาเธอแต่ไกล ถูกตบฉากหนึ่งไม่ว่า ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ เธอเห็นเขาก็วิ่งหนีเฉยเลย?
ไม่ชอบขี้หน้าเขาขนาดนี้เลยเหรอ?