บทที่616 ไหล่ของฉัน ให้เธอ
“เรื่องที่ฉันหลอกนาย ก็ผ่านไปด้วยเหรอ?”
พอพูดจบ กู้จื่อเฟยก็รู้สึกเสียใจทันที
เรื่องนี้เป็นเรื่องต้องห้ามที่ระหว่างเธอกับเย้นโม่หลินยังไม่ได้พูดให้เข้าใจกัน ไม่มีใครพูดก่อน แต่ต่างฝ่ายก็สนใจในเรื่องนี้มาก
แต่ตอนนี้เธอถามออกมา หรือว่ากำลังคาดหวังอะไร?
กู้จื่อเฟยหัวใจร้อนรน กระวนกระวายไปหมด จิตใจกระสับกระส่าย แต่กลับหลบสายตา มองดูเย้นโม่หลินด้วยความคาดหวัง
คิด คิดอยากได้คำตอบที่จะทำให้ตายใจอย่างงั้นแหละ
สีหน้าเย้นโม่หลินเย็นชา เม้มริมฝีปากแน่น ทั้งตัวเหมือนถูกครอบงำไปด้วยความมืดมน
สายตาเขาเคร่งครึ้ม มองดูกู้จื่อเฟยด้วยแววตาที่ซับซ้อน
นานมากก็ไม่ยังไม่พูดอะไร
บรรยากาศเงียบแผ่ซ่านไปทั่วห้องอาหาร เหมือนบรรยากาศถูกดูดซึมไปหมด ทำให้คนหายใจลำบาก
กู้จื่อเฟยหัวใจร้อนรน ด้วยเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆ ก็ใจเย็นลงช้าๆ ตกลงไปในหลุมลึกเรื่อยๆช้าๆ
ไม่พูดก็เป็นเหมือนคำปฏิเสธที่อ้อมค้อม
เขา แม้จะไม่โทษเธอ แต่สำหรับเขาแล้ว หลอกก็คือหลอก ไม่มีวันยกโทษให้ได้แน่นอน
แม้เขาจะอนุญาตให้เธออยู่ข้างเย้นหว่านต่อไป เป็นเพื่อนสนิทกับเย้นหว่าน แต่นี่ก็เพื่อเย้นหว่านเท่านั้น สำหรับเขาแล้ว การหลอกลวงของกู้จื่อเฟย เป็นเส้นกั้นระหว่างเขากับเธอที่ลบเลือนออกไปไม่ได้
แม้พวกเขาจะอยู่ที่เดียวกัน แม้ระยะห่างพวกเขาจะห่างกันแต่สามก้าว แต่กู้จื่อเฟยกลับรู้ดีว่า ระหว่างพวกเขาแล้วมีรอยแยกที่ก้าวข้ามไม่ได้
ความคิดที่เธออยากจะอยู่กับเขา ทั้งชีวิตนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะ
เขาไม่ยกโทษในการหลอกลวงของเธอ เธอก็ไม่มีวันได้เดินเข้าหัวใจของเขา และเป็นคู่รักของเขาได้
กู้จื่อเฟยหัวใจเย็นวาบ หลบสายตา เอ่ยปากอย่างยากลำบากและพูดออกมา
“ฉัน ฉันถามมากไปแล้ว ฉันไม่หิว ฉันไปก่อนนะ”
พูดจบ กู้จื่อเฟยก็รีบหันหลังเดินออกจากห้องอาหารไป
ท่าทีเธอดูร้อนรน ไม่กล้าอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว เธอกลัวว่า เธอจะอดไม่ได้และหัวใจสลายไปต่อหน้านั้น
ความสิ้นหวังที่สูงสุด
ชัดเจนและแจ่มแจ้ง
เธอตายใจแล้ว ยังจะไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนอีก
เย้นโม่หลินยืนตัวแข็งทื่อที่เดิม มองดูแผ่นหลังกู้จื่อเฟยที่เดินจากไปอย่างรีบร้อน หัวในเหมือนถูกคนควักออกไปในตอนนั้นเลย
หายออกไปก้อนใหญ่ทันที
และเสียอะไรไป ทำให้เขากระวนกระวาย แต่ก็คว้าเอาไว้ไม่ได้
“จื่อเฟย เธอไปไหนเหรอ?”
เย้นหว่านพึ่งเดินมาถึงห้องอาหาร ก็เห็นกู้จื่อเฟยที่เดินออกมาอย่างรีบร้อน
เห็นสีหน้ากู้จื่อเฟย ขอบตาแดงก่ำ ท่าทีที่พยายามปกปิดความเจ็บปวด
ทำเอาเย้นหว่านเห็นแล้วก็ต้องเจ็บปวดหัวใจไปตามๆกัน
เธอรีบจับมือกู้จื่อเฟยไว้ ถามอย่างเป็นห่วงว่า “จื่อเฟย เป็นอะไรไป?”
ดวงตากู้จื่อเฟยมีน้ำตาคลออยู่ในนั้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ
เธอพยายามกดเสียงไว้ ทำเอาเสียงตัวเองปกติมากที่สุด
พูดว่า “ฉันไม่หิว กลับไปก่อนนะ พวกเธอไปกินก่อนเลย”
เย้นหว่านจะไว้ใจกู้จื่อเฟยเดินไปคนเดียวแบบนี้ได้ยังไงกัน
เธอรีบมองไปที่ห้องอาหาร ก็เห็นเย้นโม่หลินยืนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นเย็นชาไปหมด ดูอาการท่าทีก็ไม่ดีมาก
ไม่ต้องคิดมาก เมื่อกี้ทั้งสองต้องเกิดเรื่องอะไรกันแน่นอน
เย้นหว่านคิดได้เช่นนี้ ก็รีบตัดสินใจทันที
หันไปบอกโห้หลีเฉินว่า “ฉันไปกับกู้จื่อเฟยก่อน นายไปกินข้าวเช้ากับพี่ชายฉันนะ”
พูดจบ ก็ไม่รอโห้หลีเฉินตอบตกลง เย้นหว่านก็ดึงกู้จื่อเฟยออกไปด้านนอกทันที
กู้จื่อเฟยยังคงก้มหน้าก้มตา เดินตามเย้นหว่านไปด้วยฝีก้าวที่รวดเร็ว
โห้หลีเฉินมองดูแผ่นหลังเย้นหว่านด้วยสายตาลึกซึ้ง เขาเม้มปากบาง
ต่อมาก็หันหลัง โบกมือ
สาวรับใช้ที่ยืนรอรับใช้อยู่ในห้องอาหารก็รีบเดินมาทันที และถามอย่างมีมารยาทว่า “คุณชายโห้ รับอะไรดีคะ?”
“หลังจากสิบนาที ส่งอาหารเช้ารสจืดสองที่ไปที่ห้องนอนแขกที”
โห้หลีเฉินพูดสั่ง
เย้นหว่านไปปลอบใจกู้จื่อเฟย เขาไม่ห้าม แต่อาหารเช้า เธอต้องกิน
สาวรับใช้เดินออกไป และรีบไปทำตามคำสั่งทันที
เย้นโม่หลินยืนตัวตรงที่เดิม สายตาเย็นชา มองไปที่โห้หลีเฉินช้าๆ
สง่า เรียบสงบ เรื่องทั้งหมดเหมือนอยู่ในการควบคุมแล้ว ดูไม่รีบร้อนเลย
แต่เรื่องทั้งหมด จะเป็นเหมือนดั่งที่เขาคิดไว้เหรอ?
ในโลกนี้ โหดร้ายอยู่แล้ว
เย้นโม่หลินจ้องมองโห้หลีเฉินตรงๆ และพูดเสียงเข้มว่า “ตอนนี้อาการของหยูซือห้านคงที่แล้ว ส่งกลับไปที่ตระกูลหยูได้แล้วล่ะ”
ความหมายของคำพูดนี้ อาการของโห้หลีเฉินก็ไม่แย่ขนาดนั้นแล้ว ก็สามารถเดินทางได้แล้วล่ะ
กลับไปตระกูลหยู สิ่งที่ต้องพบเจอก็คือการแยกจากกันของโห้หลีเฉินกับเย้นหว่าน
โห้หลีเฉินอยู่ตระกูลหยู
เย้นหว่านกลับตระกูลเย้น
โห้หลีเฉินเม้มปาก สายตาเรียบเฉยพูดว่า “เวลาออกเดินทาง นายกำหนดเลย”
ความหมายก็คือปล่อยให้เย้นโม่หลินกำหนดเองทั้งหมด
เย้นโม่หลินรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขาคิดว่า โห้หลีเฉินจะหาข้ออ้างเพื่อยื้อเวลาไว้ซะอีก
เพราะยังไงก่อนที่ยังไม่ได้รับการอนุญาตจากเขา เขากลับไปตระกูลเย้น ไม่เป็นเรื่องดีสำหรับเรื่องที่เขากับเย้นหว่านอยู่ด้วยกันเลย
แต่นี่เขามีความมั่นใจ หรือว่ากลับไปตระกูลหยูแล้วจะได้มีอำนาจในมือ และจะดูถูกเย้นหว่านได้เหรอ?
สำหรับผู้ชายที่มีความคิดการณ์ไกลแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ทั้งหมด
สายตาเย้นโม่หลินมองโห้หลีเฉินอย่างเย็นชา
พูดอย่างเย็นชาว่า “ยังมีอีกสามวัน ผลการตรวจสอบร่างกายนายก็จะออกมา ก็จะต้องกลับตระกูลหยู ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ฉันจะทำตามสัญญา จะไม่เปิดโปงว่านายอาจจะไม่มีคนสืบทอด”
นี่เป็นข้อตกลง
สายตาโห้หลีเฉินมืดมนลง “ฉันสนใจแค่ผลตรวจร่างกาย”
ส่วนเย้นโม่หลินพูดไม่พูด ปิดบังหรือไม่ เขาไม่สนใจ
เย้นโม่หลินกระตุกยิ้ม “ตอนนี้นายยังปากแข็งอีก แต่ก็ไม่เป็นไร แต่ว่า……”
ทันใดนั้นเขาก็เดินเข้ามาสองก้าว ร่างกายสูงกำยำนั้นเข้าใกล้โห้หลีเฉินในทันที
สายตาที่เย็นชา อันตรายจนคล้ายกับคมมีดที่แหลมคม กรีดบนตัวโห้หลีเฉินอยู่หลายครั้ง
“ถ้านายไม่มีความสามารถในการมีลูก ฉันก็จะให้เย้นหว่านเลิกกับนายทันที! จะไม่อนุญาตให้รบกวนเธอ และทำให้เธอลำบากอีก!”
คำพูดที่แน่วแน่ แต่ละคำพูด ชัดเจนแจ่มแจ้งดี
โห้หลีเฉินเม้มปากแน่น สายตามืดมนเฉียบคม เหมือนกับหลุมลึกที่มองไปเห็นพื้น
เย้นหว่านจับมือกู้จื่อเฟยเดินออกจากห้องอาหารอย่างรวดเร็ว เดินมาถึงห้องรับแขก
ตอนที่เดินเลี้ยวและเดินมาถึงทางเดิน ทันใดนั้นเย้นหว่านก็หยุดลง หันไปกอดตัวกู้จื่อเฟยไว้แน่น
กู้จื่อเฟยชนเข้าไปในอ้อมกอดเธอ แปลกใจอย่างมาก
เย้นหว่านกอดกู้จื่อเฟยไว้แน่น ฝ่ามือตบหลังเธอเบาๆ พูดกระซิบข้างหูเธอเบาๆว่า
“จื่อเฟย ฉันให้เธอยืมไหล่ได้นะ ร้องไห้ออกมาเลย”
อย่าอดทนเลย
กู้จื่อเฟยอึ้งไปทันที ภายในหัวใจที่อ่อนที่สุดถูกคนทิ่มแทง น้ำตาเหมือนไม่ฟังคำสั่งอีกต่อไป ไหลออกมาอย่าควบคุมไม่ได้