บทที่ 644 อยากต่อยเพราะว่าวิธีการทั้ง 1 2 3 วิธีนั่นแหละ
หัวคิ้วของโห้หลีเฉินขยับเล็กน้อย แม้ว่าจะเป็นเรื่องไม่คาดคิดก็ตาม
เย้นโม่หลินหน้าดำคร่ำเครียดหนักกว่าเก่าทันที พร้อมทั้งพูดอย่างโกรธเคือง “แกลองพูดอีกรอบสิ?!”
ร่างกายของป่ายฉีสั่นไม่รู้ตัว
พูดอีกรอบ เขาจะเอาความบ้าบิ่นที่ไหนมา
เขาได้แต่พูดเสียงอ่อน “โรคนี้ของตระกูลหยู เป็นโรคทางพันธุกรรมอันแปลกประหลาดของบรรพบุรุษ ต้องให้ลูกหลานมีลูกถึงสามารถแก้อาการได้ เช่นนั้นการมีลูกจะเป็นวิธีการรักษาที่หายขาดได้ ส่วนการมีอะไรกันนั้นจะช่วยให้อาการมันผ่อนหนักเป็นเบา…”
“มึงหุบปากพูดให้กูซะที!”
เย้นโม่หลินตะคอกใส่ด้วยความโกรธเคือง ความเดือดดาลพลุ่งพล่านจนอยากจะต่อยป่ายฉีทันที
มุมปากป่ายฉีกระตุกตลอดเวลา เป็นหมอนี่มันเป็นยากจริง พูดออกมาตรงๆ ก็มีอันตรายถึงชีวิต
“อือ…เป็นอะไรไป?”
เย้นหว่านตกใจตื่นก็เพราะว่าเสียงดัง พลันจ้องมองชายหนุ่มทั้งสามคนด้วยอาการมึนงง
เธอก็แค่นอนหลับเอง ทำไมเย้นโม่หลินถึงอยากจะฆ่าป่ายฉีได้ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ปฏิกิริยาของเย้นโม่หลินค้างเติ่ง พร้อมทั้งเอากำปั้นที่เงื้อขึ้นมาลดลงอย่างยากลำบากที่สุด พลันเม้มริมฝีปากบาง พร้อมทั้งเก็บอาการความเดือดดาลเอาไว้
สีหน้าของเขาดูไม่เป็นตัวของตัวเองมาก “เปล่า ไม่มีอะไร”
“ไม่มีอะไร? งั้นทำไมเมื่อครู่พี่ถึงได้จะต่อยป่ายฉีล่ะ?”
เย้นหว่านขมวดคิ้วอย่างสงสัย พลันสายตาต้องมองสามหนุ่มวนไปวนมา ท่าทางไม่เชื่อสักนิด
แววตาของเย้นโม่หลินทอประกาย พร้อมทั้งรู้สึกเครียดอยู่บ้าง อีกทั้งความรู้สึกหดหู่ตามมา
เรื่องนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ให้เย้นหว่านรู้เรื่อง ไม่งั้นการตัดสินใจของเธอก็คงแข็งแกร่งเกินกว่าที่ฟ้าฟาดลงยังมิอาจขยับเขยื้อนได้
ทว่าเป็นไปตามที่ป่ายฉีพูดแล้ว ถ้าเย้นหว่านไม่ไป ถ้าโห้หลีเฉินอาการกำเริบขึ้นมาก็ยุ่งยากมาก
แล้วทำไมจะต้องเป็นน้องสาวของเขาด้วยล่ะที่จะเอาร่างกายของตนเองไปเป็นยาแก้พิษให้กับโห้หลีเฉิน? สมควรตายไปซะ!
“พี่ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เย้นหว่านยิ่งทำหน้าสงสัยขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่หาวแล้วก็ถือว่าตื่นได้สติเกินครึ่งแล้ว จากนั้นก็ลุกขึ้นจากโซฟา
เย้นโม่หลินตัวแข็งทื่อ สีหน้าท่าทางดูไม่เป็นตัวของตัวเอง
คำพูดนี้ เขาจะพูดอย่างไรดีเนี่ย?
ตอนที่กำลังอยู่ในช่วงคับขันเหมือนขี่หลังเสือแล้วลงยาก โห้หลีเฉินก็ก้าวเท้าจ้ำอ้าวเข้ามาหา จากนั้นก็มายืนบริเวณด้านหน้าของเย้นหว่าน พลันเกี่ยวเอวคอดแล้วอุ้มเธอทันที
อยู่ดีๆ ก็ทรงตัวไม่ได้ เย้นหว่านตกใจจนหน้าถอดสี สัญชาตญาณเลยเกี่ยวกระหวัดคอของโห้หลีเฉินเอาไว้
เธอจ้องมองเขาอย่างตกใจ “คุณ คุณจะทำอะไร?”
“นอนต่อเถอะ ผมจะพาคุณกลับ”
โห้หลีเฉินพูดไป ก็อุ้มตัวเย้นหว่านเดินออกไปด้านนอกทันที
เย้นหว่านซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขา จนใบหน้าแดงแจ๋อย่างไม่รู้ตัว
แววตาของเธอทอประกาย พลางเอ่ยออกมา “พวกคุณคุยกันเสร็จแล้วเหรอ?”
ยังหรอก
โห้หลีเฉินเม้มริมฝีปาก จากนั้นก็พูดตามธรรมชาติ “ถึงเวลาคุณนอนแล้ว”
ส่วนเรื่องอื่นๆ ค่อยไว้พูดกันทีหลัง
เย้นหว่านจ้องมองท่าทางเท่ของเขา จนเกิดความรู้สึกอันอบอุ่นไหลในใจ มันทั้งมีความสุขทั้งหวานหยดย้อย
แต่ก็มีความกังวลอยู่บ้าง
เธอพูดเสียงอ่อย “ฉันไม่เป็นไร…”
“พวกเราคุยกันพอรู้เรื่องกันแล้ว น้องกลับไปนอนให้สบายใจเถอะ”
เย้นโม่หลินรีบพูดทันควัน เพื่อจะได้ตัดบทคำพูดของเย้นหว่าน
ประเด็นหลังจากนั้น คุยหรือไม่คุย เพราะถึงอย่างไรมันไม่เหมาะสมที่จะให้เย้นหว่านมาฟังอีกแล้ว
เมื่อคิดอยู่นั้น แววตาของเขาก็จ้องมองโห้หลีเฉินด้วยความสับสน เรื่องพรรค์นี้สำหรับเขาแล้วถือว่าเป็นประโยชน์ข้อดีมาก แต่เขาได้แค่พูดตัดบทคำพูดเย้นหว่านไป จากนั้นก็พาตัวเธอไป นี่มันดูอะไรอยู่นิดหน่อย….
เป็นสุภาพบุรุษโดยเนื้อแท้
ไม่ใช่พวกผู้ชายน่ารังเกียจน่าขยะแขยงแน่นอน
อยู่ดีๆ เย้นโม่หลินก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยกับโห้หลีเฉิน
เย้นหว่านมองเย้นโม่หลินที่บอกว่าคุยกันจบแล้ว แม้ว่ายังคงมีความสงสัยกันอยู่บ้าง แต่ก็ยอมให้โห้หลีเฉินอุ้มออกไปอย่างโดยดี
พวกเขาเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน มีเงาตะคุ่มก็ค่อยๆ อยากจะหายตัวไปจากด้านข้างประตูเช่นกัน…
“หยุด”
เย้นโม่หลินใช้แววตาคมกริบมองจดจ้องไปทางเขาอย่างเชือดเฉือน
ป่ายฉีที่ก้มตัวเตรียมตัวแอบหนีถึงกับหยุดยืนอยู่ที่เดิมอย่างตัวแข็งทื่อ
เขาค่อยๆ หันศีรษะกลับมา ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเจตจำนงประสงค์ดีอย่างเต็มเปี่ยม “พี่ชาย ไม่ใช่ว่าคุยกันจบแล้วเหรอ ฉันยังมีธุระต่อ ถึงเวลาต้องไปแล้ว”
รีบหนีให้ไว แนววิ่งหนีได้ไกลเท่าไหนก็ให้วิ่งหางจุกตูดไปเลยแบบนั้น
แววตาของเย้นโม่หลินจ้องมองเขาอย่างเย็นชาเชือดเฉือน ราวกับใบมีดอันแหลมคมค่อยๆ เชือดเฉือนลงบนตัวป่ายฉีเช่นนั้น
“นอกจากเรื่องเย้นหว่าน….กับโห้หลีเฉินนั่นแล้ว ยังมีวิธีอื่นอีกไหม?”
อาการกำเริบของโห้หลีเฉินเป็นเรื่องที่ไม่สามารถแน่นอนเวลาได้ ถึงเวลานั้นเย้นหว่านก็คงทำทุกอย่างเพื่อช่วยโห้หลีเฉินอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีก
ทว่าก่อนหน้าความเป็นความตายของโห้หลีเฉิน เย้นโม่หลินก็อดใจไม่ไหวที่จ้องมองน้องสาวของตนเองที่ต้องมาทนทุกข์ทรมานเฉกเช่นนี้ด้วย
ป่ายฉีจ้องมองเย้นโม่หลินพร้อมทั้งคิดตามไปด้วย
เมื่อลังเลแล้วอยู่สักพัก ถึงได้ยอมปริปากพูดออกมา “พี่ชาย ความจริงแล้วในสมัยนี้ การที่ชายหนุ่มหญิงสาวมีลูกก่อนแต่งงานก็เป็นเรื่องปกติ เรื่องรักๆ ใคร่ๆ บนเตียงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่คู่รักต้องเตรียมพร้อมไว้ทั้งนั้น”
ดังนั้นคุณไม่ต้องคิดมากเลยเถิดกับเรื่องนี้เลยได้ไหม?
ใบหน้าของเย้นโม่หลินเริ่มหน้าดำหน้าแดงอีกแล้ว นิ้วมือเริ่มกำหมัด พร้อมทั้งใช้แรงทั้งตัวถึงสามารถอดกลั้นไม่ต่อยป่ายฉี
สำหรับเขาแล้ว เรื่องราวระหว่างชายหนุ่มหญิงสาวนั้น การยังไม่แต่งงานกันก็ไม่ควรจะมีอะไรกันก่อน แต่เมื่อมีอะไรกันแล้วก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ
ป่ายฉีก็พูดแล้ว เขาไม่เห็นด้วยสักนิด
“เปลืองน้ำลาย กูถามว่ามึงยังมีวิธีอื่นไหม?” เย้นโม่หลินตะคอกใส่อย่างหงุดหงิด
ป่ายฉีเองก็เริ่มอึดอัด เลยตามกับแบบกวนๆ แทน
“อันที่จริง ก็มีวิธีอยู่ 3 วิธี”
เย้นโม่หลินได้ยินแล้ว พลันดีใจทันที มีอยู่ตั้ง 3 วิธี เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้เย้นหว่านต้องเสียสละตัวเองอีกแล้วสิ
ป่ายฉีค่อยๆ พูดอธิบาย “วิธีที่หนึ่ง ตอนที่โห้หลีเฉินอาการกำเริบ ก็ให้ทางตระกูลเย้นไปหาหญิงสาวคนอื่นมาอยู่เป็นเพื่อนกับเขา”
ขมับเย้นโม่หลินถึงกับเต้นตุบๆ
นี่ยังเรียกวิธีอีกเหรอ?!
“วิธีต่อไปล่ะ!”
“วิธีที่2เหรอ ก่อนหน้านั้นก็ให้โห้หลีเฉินไปหาเมล็ดแมกโนเลียมาก่อน อาการก็จะไม่กำเริบ หลังจากหาเมล็ดแมกโนเลียเจอแล้ว ฉันสามารถใช้สารตัวยาในเมล็ดแมกโนเลีย มาควบคุมอาการป่วยของเขาได้”
ป่ายฉีหยุดพูดไปชั่วครู่ จากนั้นก็พูดเสริมต่อ “สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษก็คือ ก่อนหน้านั้น อย่าให้โห้หลีเฉินออกจากการจำศีล ไม่งั้น ก็ต้องสนองตัณหาไฟราคะทั้งวันทั้งคืนถึงจะรอด”
“สนองตัณหาบ้านพ่อมึงนะสิ!” เย้นโม่หลินสบถด่าอย่างรำคาญ จนอยากจะเอาปากของป่ายฉีตัดทิ้งอย่างอดไม่ได้
หมอเทวดาห่าเหวอะไร ขนาดอาการป่วยยังรักษาไม่หายเลย แถมยังพูดไม่ถูกต้องอีก
ถ้าหากว่าก่อนที่จะเจอเมล็ดแมกโนเลีย โห้หลีเฉินเกิดอาการกำเริบขึ้นมาอีกแล้วล่ะ? เรื่องนี้มันมีความเป็นไปได้มาก
ไม่มีสักเรื่องที่สามารถรับประกันได้เลย
เย้นโม่หลินหน้าดำคร่ำเครียด จากนั้นก็ถามกลับ “วิธีที่ 3 คืออะไร?”
ป่ายฉีเม้มริมฝีปากไว้ สีหน้าเคร่งเครียดมาก
จากนั้นก็ตอบเน้นทุกคำออกมา “ก็เหลือแค่ว่า ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ให้โห้หลีเฉินรีบตายไปซะ”
เย้นโม่หลิน “…..”
วิธีการหาหอกอะไรเนี่ย?
นอกจากวิธีการที่ 2 ที่พอจะไปวัดไปวาได้ นอกจากนั้นที่เขาพูดถึงวิธีการที่ 1 กับวิธีการที่ 3 มันไร้สาระเปลืองน้ำลายสิ้นดี!
วิธีการที่ 2 ก็ใช่อีก!
เย้นโม่หลินหน้าดำคร่ำเครียดไปทั่วทั้งใบหน้า พร้อมทั้งใช้สายตาโหดเหี้ยมเอาเรื่องจ้องมองป่ายฉี
“ฉันว่าแกนี่มันคงเบื่อการมีชีวิตอยู่แล้วมั้ง”
ถึงขนาดกล้าแกล้งยั่วโมโหเขา!
ป่ายฉีได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างบริสุทธิ์ใจ “ฉันพูดอธิบายวิธีการใน 3 สถานการณ์ให้แกซึ่งมันออกมาจากใจจริงๆ … พี่ชาย อย่าเข้ามานะ…..ช่วยด้วย…..”
ป่ายฉีตกใจจนก้าวเท้าวิ่งหนีทันที
คนด้านหลังก็วิ่งตามทันที ซึ่งไม่เหมือนคนเลย เหมือนพวกผู้คุมวิญญาณที่ผุดมาจากขุมนรก!
โห้หลีเฉินอุ้มเย้นหว่านเอาไว้ตลอดทาง เมื่อเท้าแตะลงพื้นได้พร้อมทั้งสามารถทรงตัวได้ดีเป็นปกติแล้วก็เดินไปทางสวนบ้านของเธอ
ตลอดทางมีการขัดขืนอยู่สักระยะ เธออยู่ในอ้อมกอดของโห้หลีเฉิน จากนั้นก็ถูกวางตัวลงบนเตียงอันอ่อนนุ่มอย่างสบายๆ
สายตาของเธอจ้องมองเขาอยู่อย่างงงงวย จากนั้นก็ถามกลับอย่างไม่สบายใจ
“โห้หลีเฉิน พวกคุณคุยกันแล้วเป็นยังไงบ้าง?”
จะพาเธอไปหรือไม่?