บทที่671 โห้หลีเฉิน นายดีจริง ๆ
เธอไม่รู้เลยว่า หันหลังให้เขาแล้วถอดเสื้อผ้าแบบนี้ ยิ่งกระตุ้นไฟในตัวของชายหนุ่ม
หากไม่ใช่เพราะสถานที่ในตอนนี้ไม่ถูกกาลเทศะจริง ๆ เขาจะเอาเธอมาแก้ไขในจุดนั้นแน่นอน
หายใจลึก ๆ แล้วก็หายใจลึก ๆ อีก
โห้หลีเฉินยับยั้งไฟที่เดือดพล่านในร่างกายอย่างยากลำบาก
เย้นหว่านถอดเสื้อผ้าออกด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แล้วใส่เข้าไปใหม่ ทั้งก่อนและหลังนั้นไม่เกินสองนาที
หลังจากสวมเสื้อคลุมแล้ว ร่างเล็กที่หนาแน่นของเธอ ในที่สุดจึงได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เป็นครั้งแรกที่เปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าโห้หลีเฉิน
หลังจากเปลี่ยนเสร็จ เย้นหว่านจึงหันตัวกลับมา ไม่ทันได้เตรียมตัวจะสบสายตาที่ราวกับจะลุกเป็นไฟของโห้หลีเฉิน
เคยคุ้นเคยกับแววตาแบบนี้สุด ๆ หลายวันมานี้เขาแทบจะจ้องมองเธอด้วยสายตาของหมาป่าแบบนั้นตลอด แล้วจากนั้นก็จะจับเธอไปกิน
เย้นหว่านหดคอ เอ่ยเตือนอย่างอ่อนแอ
“ฉันเปลี่ยนเสร็จแล้ว เสื้อผ้าของนายก็เปลี่ยนเถอะ”
โห้หลีเฉินเม้มริมฝีปากบาง แล้วจึงเบนสายตาออกจากร่างของเย้นหว่าน ก่อนหยิบชุดกันความเย็นในถุงอีกใบออกมา
ที่เขาใส่อยู่คือชุดสูท ด้วยไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างใน ไม่นานจึงเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อย
เย้นหว่านนั้นได้เห็นโห้หลีเฉินใส่ชุดกันความเย็นที่ทั้งใหญ่ทั้งหนาแบบนี้เป็นครั้งแรก
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ชุดนี้เมื่ออยู่บนตัวของเขา กลับไม่ทำให้เขาดูบวมป่องเลยแม้แต่น้อย กลับกันได้ทำให้เสื้อผ้าที่ใส่นั้นเกรดสูงขึ้นหลายระดับ ขับให้ยังคงหล่อเหลา
หัวใจของเย้นหว่านเต้นรัวอย่างคุมไม่อยู่ ผู้ชายของเธอ หล่อจัง
เมื่อปะทะกับสายตาหลงใหลของเย้นหว่าน ไฟที่โห้หลีเฉินกดลงไปเมื่อครู่ ก็ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
เขาหรี่ตาอย่างอันตราย แล้วเข้าไปใกล้เธอ “หรือไม่ จะไม่ลงรถกันล่ะ? เราจะได้ทำเรื่องอื่นกัน”
เรื่องอื่น….
เมื่อเผชิญกับไฟที่ลุกโชติช่วงในแววตาของชายหนุ่ม เย้นหว่านก็รู้ได้ว่าเรื่องอื่นที่ว่าของเขาคืออะไรกันแน่โดยไม่จำเป็นต้องคิดมาก
“ฉันลงรถแล้วนะ!”
เธอรีบถอยหลังไป ก่อนเปิดประตูรถอย่างรีบร้อนและลนลาน แล้วยกขาเดินลงไป
เพิ่งลงรถไป เธอก็รู้สึกได้ถึงความเย็นที่เข้ามาปะทะใบหน้า
มันเป็นความหนาวไปถึงกระดูก ราวกับน้ำแข็งแทรกเข้าไปในไขกระดูกในร่างกายโดยตรง
เย้นหว่านถูกแช่แข็งไปแล้ว จนมึนงงไปเล็กน้อย
เธอไม่นึกว่าข้างนอกจะหนาวขนาดนี้ หนาวกว่าพายุหิมะเดือนสิบสองตั้งเยอะ
“ใส่หมวกสิ”
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้นบนตัวของเธอ ทันทีที่หมวกอุ่นใบใหญ่สวมลงบนศีรษะของเย้นหว่าน ก็ครอบใบหูของเธอจนหมด
จากนั้น โห้หลีเฉินก็เดินไปยังเบื้องหน้าของเย้นหว่าน แล้วดึงซิปชุดกันความเย็นของเธอขึ้น
คอเสื้อที่ตั้งสูง บดบังใบหน้าของเย้นหว่านไปแล้วกว่าครึ่ง
ลมหนาวที่ปะทะหน้านั้น แทบจะถูกปิดกั้นจนหมด แล้วที่เข้ามาแทนที่คือความอบอุ่นที่เข้าไปถึงหัวใจ
เย้นหว่านมองโห้หลีเฉินทำทั้งหมดนั้นอย่างเหม่อลอย มุมปากอดยกโค้งขึ้นมาไม่ได้
อยู่ ๆ เธอก็รู้สึกขึ้นมาว่า เธอสามารถทำเรื่องอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ ส่วนเขาก็จะเก็บรายละเอียดและตามมาทีหลังได้อย่างเหมาะเจาะเสมอ
ปกป้องเธอเอาไว้อย่างดี
เย้นเอื้อมมือไปกอดเอวเขาอย่างอดไม่ได้ “โห้หลีเฉิน นายดีจริง ๆ”
โห้หลีเฉินอึ้งไปเล็กน้อย น้อยมากที่เย้นหว่านจะมากอดเขาเองแบบนี้ เห็นได้น้อยมาก มุมปากของเขาเองก็ยกยิ้มขึ้นมา
แต่จากนั้น เขาก็ดึงมือของเย้นหว่านที่กอดอยู่ออก
เย้นหว่านมองเขาอย่างสงสัย
ก็เห็นโห้หลีเฉินกุมมือเล็กของเธอเอาไว้ในมือ กอบกุมไว้แน่นและมิดชิด
กันความหนาวเย็นทั้งหมดไว้ข้างนอก ทำให้เย้นหว่านรู้สึกแต่เพียงความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขา
ในใจของเย้นหว่านยิ่งหวานชื่นขึ้นไปอีก
“โอ๊ย พวกเธอสองคนจะลงรถมาพลอดรักกัน หรือมาชมวิวกันแน่น่ะ?”
ไม่ไกลออกไป ป่ายฉีตะโกนอย่างล้อเลียน
หยานว่านสะดุ้งทันใด แก้มของเธอพลันแดงระเรื่ออย่างเขินอาย
เธอคิดจะดึงมือเก็บกลับมาจากมือของโห้หลีเฉินอย่างไม่รู้ตัว แต่โห้หลีเฉินกลับจับมือเล็กเอาไว้ แล้วใส่เข้าไปในกระเป๋าชุดของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
เขาจ้องมองเธอด้วยแววตาอ่อนโยน แล้วพูด “ไปเถอะ ไปดูหิมะกัน”
พูดดังนั้น เขาก็นำเธอ เดินไปยังรถอีกคันข้าง ๆ
ที่นี่เป็นตำแหน่งที่เลือกมาเป็นพิเศษ อยู่ข้างถนนแคบ ๆ เป็นที่คล้ายพื้นที่ราบที่ค่อนข้างใหญ่ ด้านล่างนั้นเป็นเนินไถลสูง และฝั่งตรงข้ามเป็นภูเขาใหญ่อีกลูก
ยืนอยู่ที่นี่ จะสามารถมองเห็นที่ที่ไกลโพ้น มองเห็นภูเขาน้ำแข็งลูกใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป ทั้งยังมองลงไปเห็นผืนหิมะใต้ฝ่าเท้า
ถ้าเป็นเขตชมวิวล่ะก็ ที่นี่จะต้องเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนหลงใหลหมกมุ่นแห่งหนึ่งแน่
เย้นหว่านเดินไปยังที่ราบ มองทิวทัศน์งดงามตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง ดวงตาเป็นประกาย ราวแสงดาวที่พราวเต็มฟ้า
“สวยจังเลย ฉันได้เห็นสถานที่ที่สวยงามขนาดนี้เป็นครั้งแรกเลย!”
ราวกับสวรรค์บนดินเลย
โห้หลีเฉินมองเย้นหว่านด้วยแววตาอ่อนโยน เต็มไปด้วยความเอาอกเอาใจ “อยากถ่ายรูปมั้ย?”
วิวสวยขนาดนี้ จะไม่ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำได้ยังไง
เย้นหว่านรีบพยักหน้า “เอาสิ ๆ นายถ่ายให้ฉันนะ?”
แม้จะกำลังถาม แต่มีอีกข้างของเธอนั้น ก็หยิบมือถือในกระเป๋าเสื้อออกมาเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะปรับเป็นกล้องความงาม
โห้หลีเฉินรับมือถือมา เพียงหันไปที่หน้าของเย้นหว่าน ก็จะเห็นเอฟเฟกต์ตกแต่งข้างบนนั้น
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยเสียงทุ้ม
“ที่จริงเธอไม่ต้องใช้กล้องแบบนี้ก็ได้”
เย้นหว่านอึ้ง
แล้วจึงได้ยินโห้หลีเฉินพูดต่อ “เดิมทีเธอก็ดูดีมากอยู่แล้ว”
ไม่ต้องใช้กล้องความงามก็สวยมากแล้ว
คำพูดนั้นไม่ใช่คำรักหวาน ในกลับร้อนแรงยิ่งกว่าเสียอีก
ดวงหน้าเล็กของเย้นหว่านแดงผ่าว มุมปากยกสูงขึ้นไปอีกอย่างอดไม่ได้
คนรักในสายตานั้นเช่นหญิงงามไซซี จะว่าโห้หลีเฉินก็เป็นประเภทนั้นล่ะ
เธอตอบอย่างเขิน ๆ “งั้นก็ปิดเถอะ”
ขอแค่เขารู้สึกว่าดูดี แต่งรูปไม่แต่งรูป เขาก็ไม่สนใจอะไรแล้ว
ป่ายฉีและเย้นโม่หลินยืนข้างกันอยู่ไม่ไกลออกไป ฟังบทสนทนาระหว่างทั้งสองโดยไม่ตกหล่นเลยสักคำ
เย้นโม่หลินรอยยิ้มดั่งดอกไม้งามของเย้นหว่านด้วยสายตาที่ซับซ้อน ในใจก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
ตอนนี้เขาก็ถือว่าเห็นชัดเจนแล้ว ไม่ว่าจะสภาพแวดล้อมไหนสถานการณ์อะไร ขอแค่เย้นหว่านอยู่ด้วยกันกับโห้หลีเฉิน รอยยิ้มของเธอก็จะออกมานัยน์ตาอย่างจริงใจ
เธอจะมีความสุข
มีความสุขยิ่งกว่าตอนไหนก็ตามที่โห้หลีเฉินไม่อยู่ข้างกายเธอ
เขาไม่เข้าใจ หรือสิ่งที่เรียกว่าความรักนั้นสำคัญกว่าทุกสิ่งงั้นเหรอ? ถึงทำให้ผู้คนติดอยู่ในนั้นเช่นนี้
แต่สิ่งที่คิดป่ายฉีกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เขามองคนอวดแฟนทั้งสองอย่างขยะแขยง เอ่ยสบประมาท
“ดีใจล่ะสิ ตอนนี้เห็นหิมะน่ะสวยอยู่ ขึ้นภูเขาไปอีกไม่กี่ลูก เห็นหิมะคงได้ช็อกกันล่ะ”
ถึงตอนนั้นดูซิว่าพวกเขายังจะพลอดรักกันยังไง
เย้นโม่หลินตวัดสายตามองป่ายฉี “ถ้านายกล้าทำให้เสี่ยวหว่านตกใจกลัว ฉันจะโยนนายลงจากภูเขา”
ป่ายฉี “…..”
แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ถึงกับต้องขู่เขาแบบนี้เลยรึไง?
เจ้าปีศาจพี่ชายติดน้องจอมบ้าคลั่ง!
มีโห้หลีเฉินเป็นช่างเก็บภาพวิดีโอ เย้นหว่านถ่ายภาพไปมากมายอย่างสนุกสนาน
ทิวทัศน์ของที่นี่เองก็ทำให้เธอชอบสุด ๆ
แต่ขณะที่เธอยังไม่ได้เล่นจนพอ โห้หลีเฉินกลับเก็บมือถือ
“ควรจะขึ้นรถแล้วล่ะ”
อากาศหนาว อยู่ข้างนอกนานแล้ว อาจเป็นหวัดได้