บทที่680 กินข้าว กินเธอ
แม้ว่าโห้หลีเฉินมือข้างหนึ่งจะไม่สะดวก แต่มือขวาแค่ข้างเดียว ก็ยังคงมีความสามารถในการทำสิ่งต่าง ๆ อย่างแข็งแกร่งเต็มที่
ถุงนอนในเต็นท์ และเครื่องทำความร้อน เขาล้วนจัดการเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเย้นหว่านเข้าไปในเต็นท์ ทันใดนั้นราวกับว่าจากฤดูหนาวเดือนสิบสองนั้นได้กลายมาเป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว
อบอุ่น
“กอดไว้”
โห้หลีเฉินยัดถุงอุ่นมือใบเล็กลงในมือของเย้นหว่าน
ทันใดนั้นความอบอุ่นที่พาให้รู้สึกสบายจนนึกอยากจะฮัมเพลงจะแล่นเข้ามาในฝ่ามือ
เย้นหว่านมองไปที่โห้หลีเฉินด้วยความประหลาดใจ “นายทำให้มันร้อนได้ยังไง?”
นี่มันไม่ใช่ว่าต้องชาร์จเพื่อทำความร้อนหรอกเหรอ?
นอกจากนี้ ในกระเป๋าเป๋ของเขาเตรียมไว้กระทั่งถุงอุ่นมือ จะไม่หนักเกินไปจริง ๆ เหรอ?
โห้หลีเฉินตอบอย่างสบาย ๆ “มันคือที่ทำความร้อนอย่างเร็วน่ะ”
เขาไม่ได้บอก ว่านี่เองก็เป็นสิ่งที่เขาค้นคว้าอย่างเร่งรีบเพื่อป้องกันสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันในหลายวันที่ผ่านมา
เย้นหว่านมองถุงอุ่นมือในมือ ก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
“คนที่ทำมันขึ้นมานี่สุดยอดจริง ๆ กลับไปฉันต้องไปหานักประดิษฐ์คนนั้นแล้วขอบคุณเขาอย่างดีแล้ว”
ในสถานการณ์ไม่สะดวกในการชาร์จพลังงาน มันก็เหมือนกับอาหารจานด่วนที่อุ่นตัวเองได้ ให้ความอบอุ่นที่ทำให้มีชีวิตต่อไปได้ภายใต้ความหนาวเหน็บที่เลวร้าย
เมื่อได้ยินคำพูดของเย้นหว่าน มุมปากของโห้หลีเฉินก็ยกขึ้นเล็กน้อย แววตาวาวประกายอันน่าหลงใหล
เขาเอ่ยเสียงทุ้ม “เธอคิดจะขอบคุณเขายังไง?”
เย้นหว่านแย้มยิ้ม ตอบไปโดยไม่ต้องคิด
“ก็ส่งของขวัญให้เขา ธงประกาศเกียรติคุณ ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยเขาโปรโมตผลิตภัณฑ์นี้ฟรี ๆ”
โดยเฉพาะสถานที่ที่หนาวเย็น
โห้หลีเฉินเม้มปาก ไม่ค่อยพอใจนัก “เขามีเงิน ไม่ต้องการพวกนั้นหรอก”
เย้นหว่านชะงักค้าง แล้วถึงนึกได้ อันที่จริง หากอีกฝ่ายเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ นักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ คงไม่ต้องการเงินเล็กน้อยนี่หรอก
เธอสับสนเล็กน้อย “งั้นฉัน ฉัน…..”
ไม่รู้จะสามารถทำอะไรได้แล้ว เดิมทีก็เป็นคนที่ไม่รู้จักกันเท่านั้น
“งั้นช่างเถอะ” เธอหงุดหงิดเล็กน้อย “จัดคนไปขายเจ้าถุงอุ่นมือนี่อย่างเงียบ ๆ ก็พอแล้ว”
ก็ไม่จำเป็นต้องขอบคุณด้วยตัวเองซะหน่อย
เย้นหว่านตัดสินใจอย่างง่าย ๆ แต่สีหน้าของชายหนุ่มที่แววตาเต็มไปด้วยความคาดหวังข้างนั้น ๆ กลับห่อเหี่ยวลงทันที
จบแล้ว แค่นี้ก็ยอมแพ้แล้วเหรอ?
“เย้นหว่าน ทำอะไรต้องทำให้ถึงที่สุดสิ ตัดสินใจจะทำแล้ว จะยอมแพ้ง่าย ๆ ไม่ได้ เธอบอกจะขอบคุณเขา ก็ต้องขอบคุณเขาให้ดีสิ”
โห้หลีเฉินพูดอย่างเคร่งขรึม
ทันใดนั้นเย้นหว่านก็รู้สึกอายขึ้นมา ท่าทีของเธอไม่หนักแน่น จนถูกโห้หลีเฉินไม่ชอบใจแล้ว
แต่กับคนที่ยังไม่เคยได้เจอกัน เธอจะขอบคุณยังไงได้?
เธอสับสนอยู่พักหนึ่ง แล้วมองไปยังโห้หลีเฉิน เอ่ยเสียงอ่อน
“งั้นฉันจะเลี้ยงข้าวเขาดีมั้ย?”
โห้หลีเฉินเม้มปาก “แล้วมีอีกมั้ย?”
เย้นหว่านสีหน้าลำบากใจและกลัดกลุ้ม อีกฝ่ายไม่ได้ขาดแคลนเงินและไม่ต้องการตัวแทนขาย เธอยังจะแสดงความขอบคุณอะไรได้อีก?
“รอ รอให้ถึงตอนที่เจอกันก่อน ฉันจะถามเขาอีกทีว่ามีอะไรที่ต้องการหรือปรารถนารึเปล่า ฉันจะช่วยให้เขาสำเร็จเท่าที่จะสามารถ”
เมื่อเห็นท่าทางคิดหนักของเย้นหว่าน มุมปากของโห้หลีเฉินก็อดยกขึ้นไม่ได้
เขาเอ่ยพลางยิ้ม “เธอคิดว่าตัวเองเป็นตะเกียงวิเศษของอลาดินรึไง?”
ถึงจะช่วยทำให้ความปรารถนาเป็นจริง
เย้นหว่านสะอึก หน้าแดงขึ้นมาอย่างอาย ๆ เธอคิดการขอบคุณอะไรแบบอื่นไม่ได้แล้วจริง ๆ จึงได้วิธีการที่ไม่ฉลาดนักแบบนี้
เธอพูดตะกุกตะกัก “ฉัน งั้นฉัน…..”
“แต่เธอก็ยังมีโอกาสนะ”
โห้หลีเฉินขัดคำพูดของเย้นหว่านอย่างมีเลศนัย ร่างสูงค่อย ๆ เข้าใกล้เธอทีละนิด “เธอสามารถตอบสนองความปรารถนาเล็ก ๆ ของเขาได้”
“ความปรารถนาอะไรเหรอ?”
ปัญหาได้รับการแก้ไขโดยฉับพลัน เย้นหว่านประหลาดใจอย่างมาก ไม่ได้สังเกตว่าทำไมโห้หลีเฉินถึงรู้ได้
แขนขวาของโห้หลีเฉินโอบเอวของเย้นหว่านเอาไว้ ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน
เขาก้มหน้า แววตาลึกล้ำราวเปลวเพลิงมองเธอ
“มันหิวแล้ว”
เย้นหว่านสีหน้างงงวย “หา?”
ใบหน้าหล่อเหลาของโห้หลีเฉินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ “ต้องการกินเธอ”
เย้นหว่านค้างไปชั่วขณะ ทันใดนั้นแก้มขาวก็เปลี่ยนเป็นสีแดง แหงนหัวไปข้างหลังอย่างเขินอาย
เธอเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทุกครั้งที่โห้หลีเฉินบอกว่าหิวนั้น มันหมายความว่าอะไร
“นายอย่าเจ้าเล่ห์สิ ฉันไม่ได้จะขอบคุณนายสักหน่อย”
จะมาบอกว่าจะกินเธอก็กินได้ยังไง
โห้หลีเฉินกลับยังขยับเข้ามาใกล้เธอต่อ ลมหายใจตอนพูดปะทะบนใบหน้าของเธอโดยตรง
ความกำกวมอันยั่วเย้า
“สุดท้ายแล้วก็คือขอบคุณฉันนั่นแหละ”
สิ้นเสียงพูดของเขา พร้อมกันนั้นริมฝีปากบางของเขาก็กดลงบนริมฝีปากของเธออย่างแรง
จูบที่เอาแต่ใจ แผดเผาผิวหนังอย่างเร่าร้อน ท้าทายโสตประสาท
จูบกับโห้หลีเฉินมามากมายหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็เป็นเหมือนกัน เย้นหว่านราวกับถูกไฟฟ้าช็อต ทั้งกริ่งเกร็งโดยไม่รู้ตัว
สติของเธอเริ่มเตลิดและหายไป
แต่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนั้นกลับมองย้อนไปรู้สึกอะไรได้บางอย่าง
โห้หลีเฉินพูดว่าสุดท้ายก็ต้องขอบคุณเขา งั้นเขาคนนั้น หรือว่าจะเป็นโห้หลีเฉินอย่างนั้นเหรอ?!
เมื่อความคิดนั้นผุดขึ้นมา คำพูดของโห้หลีเฉินทั้งหมดที่พูดมาก่อนหน้านี้ ก็เชื่อมต่อเข้าด้วยกันทั้งหมด
ถุงน้ำร้อนนี้เป็นเกิดจากการค้นคว้าวิจัยของเขา ดังนั้นเขาถึงได้ชักนำให้เธอให้แสดงความขอบคุณยังไงล่ะ!
โดยปกติแล้วหากเธอบอกจะไปขอบคุณใคร เขาก็รับผิดชอบเองทั้งหมด เขาไปก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ! เพียงแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน
ผู้ชายใจดำ!
เพิ่งจะตระหนักได้ว่าตัวเองตกลงไปในหลุมพรางของชายหนุ่ม เย้นหว่านก็ไม่มีโอกาสจะหนีไปได้แล้ว
ในขณะที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว เธอก็ถูกโห้หลีเฉินกดทับไว้บนถุงนอนแล้ว
น้ำหนักของชายหนุ่ม ลมหายใจและกลิ่นอายของเขา ราวกับภูเขาลูกใหญ่ที่กักขังและบดขยี้เธอ
การต่อต้านเล็กน้อยนั้นของเย้นหว่าน เปลี่ยนเป็นคล้อยตามไปในขณะที่ไม่รู้ตัว
วันนี้เองก็เป็นวันที่สามแล้ว
ทั้งสองจูบกันอย่างลึกซึ้ง จูบที่เลือนลาง จูบที่สูญเสียสติสัมปชัญญะ ต้องการเพียงดื่มด่ำกับทะเลลึกอันอ่อนโยนของอีกฝ่าย ไม่ผละออกไปชั่วนิรันดร์
แต่ในขณะที่โห้หลีเฉินถอดเสื้อผ้าของเย้นหว่านออก ความหนาวเย็นที่แทรกเข้ามานั้น ทำให้ร่างกายของเย้นหว่านสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ และก็ทำให้เปลวไฟที่โหมกระหน่ำของโห้หลีเฉินมอดลงไปกว่าครึ่งในทันที
แม้ว่าในเต็นท์จะกันความหนาวเย็นและให้ความอบอุ่นอยู่บ้าง แต่สภาพอากาศของที่นี่นั้นอุณหภูมิต่ำเกินไป อุณหภูมิในเต็นท์จึงสูงไปไหนได้ไม่มากนัก
ยังคงมีความหนาวที่โชยมา
ถ้าหากถอดเสื้อผ้ามีอะไรกันตรงนี้ ร่างกายที่อ่อนแอของเย้นหว่าน จะเป็นหวัดได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้ เพราะเป็นถุงนอนฉุกเฉินจึงอยู่แยกกัน พวกเขาก็ไม่สามารถนอนในเครื่องนอนเดียวกันได้
ถ้ามีอะไรกัน ไม่หนาวตายก็น่ากลัวว่าจะต้องหนังถลอกแล้วล่ะ
“ช่างเถอะ งั้นมื้อนี้ติดไว้ก่อน ค่อยกินวันอื่น”
เสียงทุ้มของโห้หลีเฉินเอ่ยอย่างหดหู่ แล้วดึงเสื้อผ้าของเย้นหว่านที่ถอดออกกลับไปอีกครั้งทันที
เย้นหว่านที่นอนอยู่บนถุงนอนนั้นสับสนมึนงง
ความหนาวเย็นอย่างกะทันหันเมื่อครู่ บวกกับการลุกขึ้นของโห้หลีเฉิน ทำให้สติที่วิ่งหายไปของเธอกลับคืนมา
แต่ร่างกายของเธอกลับกลับมาได้รวดเร็วยิ่งกว่าจิตวิญญาณซะอีก
ในตอนนั้น มือเล็กทั้งสองข้างของเธอจับชายผ้าของโห้หลีเฉินเอาไว้แน่น
แววตาของเธอวูบไหว แต่ท่าทีกลับแสดงออกมาอย่างแน่วแน่
“ฉันทำได้”
คำพูดง่าย ๆ สามคำนั้น เป็นคำเชิญชวนอย่างเงียบ ๆ
เมื่อสบเข้ากับดวงที่เป็นประกายดั่งดวงดาวของเย้นหว่าน แปลวไฟที่เพิ่งจะเย็นลงของโห้หลีเฉิน ก็แทบจะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
เขายับยั้งความพลุ่งพล่านที่อยู่ภายใน แล้วเอื้อมมาตบเบา ๆ ที่หัวของเธอ
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก อีกสองวันค่อยให้เธออีกครั้งนะ เด็กดี”