ในขณะที่โอบกอดร่างนุ่มนิ่มของหญิงสาว ก็สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นเฉพาะตัวจากร่างของเธอไปด้วยหัวใจของโห้หลีเฉินได้ถูกเติมเต็ม และเต็มอิ่มอย่างไร้ที่ติ
เขายิ่งอยากจะกอดเธออย่างนี้ตลอดไปและจูบเธอให้หนำใจ
แต่ทว่า สติสัมปชัญญะนั้นยังคงทำงานอยู่
เสียงที่ทุ่มต่ำของโห้หลีเฉินเจือความหยอกล้อและขี้เล่นเอาไว้ “พวกเขาคงใกล้จะตื่นแล้ว ถ้าออกมาเห็นเธอกำลังอิงแอบแนบชิดอยู่ในอ้อมอกอย่างนี้ คงจะต้องเข้าใจผิดแน่”
เข้าใจผิด?
อิงแอบแนบชิดอยู่ในอ้อมอก?
เย้นหว่านตัวแข็งทื่อไปโดยฉับพลัน ความรู้สึกราวกับมีน้ำท่วมอยู่เต็มท้อง หลงเหลือเพียงความกลุ้มใจและจนปัญญา
รวมถึงความเขินอายด้วย
เธออิงแอบแนบชิดอยู่ในอ้อมแขนไปแล้ว ด้วยความสัมพันธ์นี้ของพวกเขา เธอจะกอดเขาก็สมเหตุสมผลไม่ใช่เหรอ! เหมือนอิงแอบแนบชิดตรงไหนกัน?
เป็นเพราะความคิดไร้สาระในใจ เย้นหว่านก็เลยปล่อยโห้หลีเฉินอย่างว่องไว แล้วกลับไปนั่งที่เดิมของตัวเอง เว้นระยะห่างให้ไกลจากเขา
โห้หลีเฉินเอื้อมมือไปบีบใบหน้าเล็กที่กำลังงอนอยู่ของเย้นหว่าน หัวเราะแล้วพูดว่า
“เด็กดี กลับไปแล้ว พอพวกเราได้อยู่ด้วยกันสองคน จะให้เธอกอดให้หนำใจเลย อยากจะทำอะไรกับฉันก็ตามสบายเลย”
“ใครเขาอยากจะทำอะไรกับนาย? ชิ!?”
เย้นหว่านเอามือของโห้หลีเฉินออกด้วยความโกรธและเขินอาย
โห้หลีเฉินไม่โกรธเลยสักนิด แล้วหัวเราะอย่างรักใคร่ว่า “เป็นฉันเองที่อยากจะทำอะไรกับเธอ”
คำสารภาพที่ตรงไปตรงมาและจริงใจนั้น ทำให้แก้มของเย้นหว่านแดงก่ำราวกับลูกแอปเปิลทันที
เธอทั้งโกรธทั้งอายไม่รู้จะเผชิญหน้ากับความไร้ยางอายของผู้ชายคนนี้อย่างไรดี
โห้หลีเฉินรู้สึกมีความสุขมาก มองดูสีหน้าท่าทางที่ทั้งโกรธทั้งโมโหของเย้นหว่าน สายตามีความอ่อนโยนที่หลั่งไหลมากมายนับไม่ถ้วน
เสียงทุ้มต่ำของเขาพูดว่า “คงจะหิวแล้วสินะ? เธอไปที่ห้องครัวเล็กแล้วต้มโจ๊กดื่มสักหน่อยดีไหม?”
เย้นหว่านถามไปโดยไม่รู้ตัวว่า “นายจะกินไหม?”
นั่นเป็นปฏิกิริยาตอบรับตามสัญชาตญาณ ราวกับว่าขอเพียงเขาอยากจะดื่ม ย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
จู่ ๆ โห้หลีเฉินก็พลันรู้สึกอบอุ่นในใจ แล้วพยักหน้าเบา ๆ “อืม”
“ฉันจะรีบไปต้มนะ”
เย้นหว่านลุกขึ้นยืนอย่างกระตือรือร้น แต่กลับไม่ได้รีบร้อนออกไป แต่มองโห้หลีเฉินและพูดอย่างจริงจังว่า
“นายต้องนอนก่อนสักพัก”
ต่อให้จะรีบสักแค่ไหน ก็ไม่อาจทำอย่างต่อเนื่องไม่หยุดได้ สายตาเองก็จะไม่ได้พักสักครู่เช่นกัน
เดิมทีโห้หลีเฉินอยากจะอาศัยตอนที่เย้นหว่านไปต้มโจ๊กแล้วทำงานต่อ แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะยังไม่ลืมเรื่องที่จะให้เขานอนหลับ
ก็เลยรู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง แต่กลับยิ่งรู้สึกรักใคร่มากขึ้น
โห้หลีเฉินพยักหน้า “ฉันจะนอนฟุบอยู่ตรงนี้สักพัก รอเธอไปต้มโจ๊กดีๆ ”
ถ้าจะต้มอย่างดีเลยละก็ ต้องใช้เวลาต้มสองสามชั่วโมง
ถึงแม้จะเทียบกับการนอนหลับให้เพียงพอแปดชั่วโมงไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าการไม่ได้นอนเลย
เย้นหว่านขบคิดสักพัก แล้วจึงตอบตกลง “ได้ ฉันจะไปต้มโจ๊ก ส่วนนายนอนหลับดี ๆ ล่ะ”
ในขณะที่พูดเธอถอดชุดคลุมออกมา แล้วพาดไว้บนร่างของโห้หลีเฮิน
ถ้าตอนนอนไม่สวมเสื้อผ้า จะหนาวเอาได้ง่าย ๆ
เมื่อเห็นการกระทำที่เอาใจใส่ของหญิงสาว สีหน้าของโห้หลีเฉินก็ยิ่งอ่อนโยนขึ้นและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ราวกับไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขอเพียงมีเย้นหว่านอยู่เคียงข้าง ทุกอย่างก็จะสวยงามเช่นนั้นได้
——
หิมะตกหนักปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ลอยละล่องราวกับจะไม่มีวันหยุดไปตลอดชีวิต
ภูเขาสูงตระหง่านเป็นชั้น ๆ รอบด้าน ไม่มีจุดสิ้นสุด ไม่มีทางเดิน แล้วก็ไม่มีทางออก
เย้นโม่หลินและป่ายฉีพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ มีกองหิมะเกาะสะสมอยู่บนร่างกาย พวกเขามีอาวุธครบมือและปิดบังใบหน้า เผยให้เห็นแค่เพียงดวงตาคู่หนึ่งที่อยู่ภายใต้แว่นตากันลม
พวกเขาเสียรถไป เนื่องจากถนนชำรุด หากจะเข้าไปมีเพียงแต่ต้องเข้าไปด้วยมือเปล่าด้วยเครื่องมือที่คล่องตัวในการใช้ปีนป่ายที่สูงชัน
บัดนี้ได้เดินทางอยู่ในหิมะเป็นเวลาสิบกว่าวันแล้ว ต่อให้ให้เป็นกลุ่มชายที่มีความสามารถยอดเยี่ยมก็ตาม ก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าเกินจะทนได้
แต่พวกเขาก็จะกล้าล่าช้าแม้แต่นิดเดียว ต่อให้ต้องใช้สองขาเดิน ก็จะได้มุ่งไปข้างหน้า แล้วไปที่ประเทศเบียนหนานให้ได้
เพราะหลายวันก่อน พวกเขาได้ค้นพบสัญญาณชีวิตของเย้นหว่านและโห้หลีเฉินซึ่งเดิมทีอ่อนแรงมาก แต่จู่ ๆ ก็กลับฟื้นฟูคืนมา
ในพื้นหิมะได้ปรากฏสัญญาณชีพที่อ่อนแรงไม่หยุด เป็นการขาดน้ำขาดอาหารและอดอยากทั้งยังถูกแช่แข็ง เดินไปสู่ความสิ้นหวัง
แต่สู่ ๆ กลับฟื้นคืนขึ้นมา นั่นหมายความว่าพวกเขาได้เดินออกจากความสิ้นหวังแล้วหรือไม่ก็ถูกคนช่วยเอาไว้
ยังมีชีวิตอยู่ นี่ถือเป็นข่าวดี
นี่ก็คือเป้าหมายในการมุ่งไปข้างหน้าที่สำคัญที่สุดของพวกเย้นโม่หลิน
ถ้าหากพวกเขาเดาไม่ผิดละก็ เย้นหว่านและโห่หลีเฉินคงจะไปถึงประเทศเบียนหนานแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าก็คงจะรอพวกเขาอยู่ในประเทศเบียนหนาน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรีบเข้าไปให้เร็วที่สุดและช่วยพวกเขาถึงจะถูก
เพียงแต่ไม่มีรถ จึงได้สูญเสียอุปกรณ์ส่วนใหญ่ไป ดังนั้นทางที่พวกเขามุ่งไปข้างนั้น จึงได้มีความลำบากมาก
เมื่อผ่านภูเขามาแล้วมากมาย ระยะทางที่ก้าวเดินไปข้างหน้าก็ยิ่งน้อยลงจนน่าสงสาร
ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่รู้ว่าปีไหนเดือนไหนจะไปถึงประเทศเบียนหนาน
แต่พวกของเย้นหว่านมีกันแค่สองคน หนำซ้ำยังตกหน้าผาอีกแต่ทั้งคู่กลับไปถึงที่ประเทศเบียนหนานก่อน
หากเป็นอย่างนี้นั่นหมายความว่าใต้หน้าผาต่างหากที่เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง ถึงได้มีคนออกมาพอดีแล้วช่วยพวกเขาเอาไว้
ถ้าเป็นแบบแรกนั่นหมายความว่าทางที่พวกเย้นโม่หลินมุ่งไปนั้นไม่ถูกต้อง แต่เป็นแบบที่สองนั้นจริง ๆ ละก็ คงต้องทนความลำบากต่อไปอีกอย่างไม่รู้วันรู้คืน
ทางตรงหน้าดู
หนทางข้างหน้าดูไร้ขอบเขต
“นายน้อย เจอแล้วครับ!”
ในเวลานี้ มีผู้ชายสองคนประคองกันและกัน แต่ทว่ากลับเดินออกมาจากหิมะด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
เย้นโม่หลินที่ยืนอยู่ตรงหน้าผารีบหันกลับไปทันที แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า
“เจออะไร?”
เขาพาบอดี้การ์ดหลายคนนี้ออกมาด้วยตัวเอง ต่างก็มีสมรรถภาพทางร่างกายที่แข็งแรงมาก ส่วนทางด้านจิตใจก็เข้มแข็งมากเช่นกัน ไม่หวาดกลัวต่อความเป็นและความตาย โดยปกติแล้วก็มักจะเงียบขรึมและสงบนิ่งต่อทุกสถานการณ์
แต่เรื่องที่จะสามารถทำให้พวกเขาขาดสติได้อย่างนี้ คงจะต้องเป็นการค้นพบครั้งสำคัญจริง ๆ
เหมือนว่าชายหนึ่งคนในนั้นจะดูตื่นเต้นมาก ถึงกับดึงผ้าปิดปากลงแล้วพูดว่า
“ในตอนที่พวกเราไปตรวจสอบด้านหน้า กลับพออุโมงค์ลับแห่งหนึ่ง! เป็นอุโมงค์ที่คนสร้างขึ้นมา!”
ที่นี่เป็นภูเขาที่แห้งแล้ง เป็นภูเขาที่แห้งแล้งจริง ๆ มีหิมะตกหนักตลอดทั้งปี ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ในระยะหลายพันลี้ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีถนน
แต่จู่ ๆ กลับพบว่ามีคนขุดอุโมงค์ที่นี่ นั่นมันหมายความว่าอะไร?
ไม่มีใครคิดที่จะสร้างอุโมงค์ในภูเขารกร้างอย่างนี้หรอก คนที่จะสร้างเพียงหนึ่งเดียวนั้น มีแค่คนจากประเทศเบียนหนาน
ชายหนุ่มพูดต่อไปว่า “อุโมงค์ถูกอำพรางไว้เป็นอย่างดี ทั้งยังถูกหิมะปกคลุมเอาไว้ ในสถานการณ์ปกติ คงไม่มีทางค้นพบได้แน่ แต่ดูเหมือนสองวันนี้จะเคยมีคนใช้ ก็เลยจัดการเอาหิมะที่สะสมอยู่บริเวณทางเชื่อมออกเพื่อให้เดินทางสะดวกดังนั้นจึงเผยเค้าโครงภายนอกออกมาเล็กน้อย เลยถูกพวกเราพบเข้า ”
ในขณะที่พูด ก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้
ทางออกเล็กของอุโมงค์นั้นอยู่ไกลมาก อีกทั้งที่ตั้งก็ยังเล็กและห่างไกลมาก ไม่มีทางที่จะพบเจอได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นหิมะก็ยังตกหนัก ถึงจะเพิ่งได้รับการทำความสะอาด แต่ไม่นานก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
หากไม่ใช่เพราะพวกเขามาในเวลานี้พอดี แล้วเดินผ่านที่นั่น เกรงว่าพวกเขาคงจะพลาดที่อยู่ของอุโมงค์นั้นไปเสียแล้ว
พอได้ยิน เย้นโม่หลินก็ดีใจมาก แล้วรีบพูดว่า
“อยู่ตรงไหน รีบพาฉันไปเร็วเข้า”
มีอุโมงค์ นั่นก็หมายความว่ามีทางลัดไปสู่ประเทศเบียนหนาน
กลุ่มคนที่ดูไม่มีชีวิตชีวาและเซื่องซึมเพราะถูกหิมะที่ตกหนักนั้นทรมาน ในตอนที่มองเห็นทางเข้าอุโมงค์นั้น ก็ดูราวกับได้เห็นหนทางสว่างก็มิปาน นี่ช่างเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมเสียจริง
พวกเขาทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ ในที่สุดก็ได้เข้าไปในอุโมงค์นี้แล้ว
ภายในอุโมงค์นี้ไม่มีแสดงสว่าง ทั้งยังหนาวเหน็บและมืดมิด หาทางดูยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด
แต่เทียบกับอากาศที่หนาวเหน็บจากภายนอกแล้ว ยังดีกว่ามาก
กลุ่มคนเดินเข้าไป แล้วเริ่มสังเกตรอบด้านอย่างระมัดระวัง ด้วยเพราะเข้าใจสถานการณ์