เธอเดินมาที่ด้านข้างของโห้หลีเฉินและเห็นว่าเขาที่ยังคงมองดูและเคาะแป้นพิมพ์อยู่
บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ มีรายการข้อมูลและตัวเลขถี่ยิบที่เธอแทบจะไม่เข้าใจ
เย้นหว่านขมวดคิ้วเล็กน้อย “นายไปพักสักหน่อยเถอะ”
นับตั้งแต่ที่เธอมาจนถึงตอนนี้ ก็เป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว นอกจากที่เธอกินข้าวแค่ชั่วครู่นั้นโห้หลีเฉินก็ได้พักไปแค่แป๊บเดียว ส่วนเวลาอื่นมือของเขาก็ไม่ได้หยุดพักเลย
มือของโห้หลีเฉินหยุดชะงักไปสักพัก แล้วมองเย้นหว่านด้วยสายตาที่รักใคร่
“ฉันเริ่มหิวนิดหน่อยแล้ว เธอให้เวนเดลล์พาเธอไปหาอะไรให้ฉันกินหน่อยก็แล้วกัน ดีไหม?”
เย้นหว่านรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวใจ
ความจริงแล้วเมื่อครู่นี้ตอนที่เธอมา ก็เป็นเวลาทานข้าวพอดี แต่เพราะเป็นของที่ ซาอินติส่งมา ดังนั้นโห้หลีเฉินจึงไม่คิดที่จะกินเลยสักคำ
แต่ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว เขายังไม่ได้กินอะไรเลยสักคำ
ส่วนเธอ ก็หิวตั้งนานแล้ว
“นายรอก่อนนะ ฉันจะรีบไปเอามา”
เย้นหว่านรีบเดินไปหาเวนเดลล์ที่ห้องทำงาน
โห้หลีเฉินมองเห็นแผ่นหลังที่รีบร้อนของเย้นหว่าน มุมปากก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มแวบหนึ่ง
สำหรับเขาแล้ว หิวแค่ไม่กี่มื้อไม่ได้สำคัญอะไรนัก
แต่เย้นหว่านห่วงใยเขา เทียบกับการกินน้ำผึ้งแล้วยังหวานกว่าด้วยซ้ำ
เพียงแต่รอยยิ้มในดวงตาของเขาก็หายแวบไปทันที ใบหน้าที่หล่อเหลากลับมามองดูคอมพิวเตอร์อีกครั้งและเดิมมีท่าทางทำงานอย่างรวดเร็ว
เวลาของเขามีไม่มาก จึงต้องรีบแข่งกับเวลา
ในเมื่อที่เย้นหว่านบอกกับเขาในห้องว่าเธอคิดถึงเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็ยิ่งเบื่อหน่ายคุณป้าเข้าไปอีก ถึงได้วางยาใส่ร้ายคุณป้า ถือโอกาสหนีออกมา
จากความเข้าใจที่เธอมีต่อเย้นหว่าน แต่ไรมาเย้นหว่านไม่ใช่คนที่ทำอะไรซี้ซั้วอย่างนี้
คำพูดของเธอนั้น แน่นอนว่าพูดให้ซาอินติฟัง
คนที่เฉียบแหลมอย่างโห้หลีเฉิน ก็ยังรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับคำพูดของเย้นหว่านและแทบจะคาดเดาความจริงได้ทั้งหมด
เธอใส่ร้ายคุณป้าเป็นเรื่องโกหก แต่ในอาหารมียาพิษอยู่จริง ๆ เธอตั้งใจพูดให้ ซาอินติฟัง อย่างนั้นคนที่ลงมืออยู่เบื้องหลังก็คือซาอินติ
ในตอนที่เขาไม่อยู่ คิดไม่ถึงเลยว่าซาอินติจะกล้าวางยาฆ่าเย้นหว่าน
รนหาที่ตาย!
ในใจของโห้หลีเฉินมีความปรารถนาที่จะฆ่าอย่างแรงกล้า แต่ด้วยแก่นแท้ของจิตใจนั้นเข้มแข็ง จึงทำให้เขาข่มกลั้นไม่เผยการกระทำและการแสดงออกใด ๆ เลยสักนิด
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาฆ่าซาอินติ
แต่เขารับรองเลยว่า ซาอินติจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่นานแน่ เธอกล้าทำร้ายเย้นหว่าน ย่อมต้องชดใช้ราคาที่น่าเวทนาเป็นร้อยเท่า
นอกจากนี้เหตุผลที่โห้หลีเฉินไม่สามารถพักผ่อนได้ ก็เป็นเพราะที่นี่ยังเหลือคนอยู่อีกห้าหกคน
แม้จะบอกว่าเหลือเอาไว้ช่วยงาน ทว่าแต่ละคนกลับว่างงานไม่มีอะไรทำ แต่การที่มีพวกเขาอยู่กลับเหมือนเป็นการเฝ้าติดตามดูสถานการณ์อยู่กลายๆ
ถ้าหากตอนนี้โห้หลีเฉินเมินเฉยต่อการพักผ่อน คนที่เหลือก็จะเปิดโอกาสให้ซาอินติเข้ามาอีกครั้ง
สวรรค์รู้ดีว่าเขารังเกียจมากแค่ไหน จนแทบไม่อยากจะมองหน้าผู้หญิงคนนั้น
เย้นหว่านรีบวิ่งเข้าไปในห้องของเวนเดลล์ มองดูเขาที่กำลังนั่งเล่นเกมอยู่บนโซฟา
เย้นหว่านอึ้งไปสักพัก
โห้หลีเฉินรีบจะตายอยู่แล้ว แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเวนเดลล์จะยังมีเวลามานั่งเล่นเกมอยู่?
นี่มันอะไรกัน?
หลังจากที่เวนเดลล์รู้สึกประหลาดใจอยู่พักหนึ่ง ก็รีบเก็บโทรศัพท์มือถือในมือ ยิ้มอย่างอาย ๆ เล็กน้อย
“คุณเย้น คุณอย่าเข้าใจผิดนะครับ งานตรวจสอบของคุณโห้ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กต่างก็ไม่มีเบาะแสอะไรเลย ผมเป็นคนแก่สายตาเลอะเลือน ก็เลยช่วยอะไรไม่ได้มาก ดังนั้นความจริงแล้วในเวลาปกติก็เลยมีเวลาว่างมาก”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ช่วย แต่เป็นเพราะเขาช่วยอะไรไม่ได้จริง ๆ
ข้อมูลตัวเลขกองนั้นของโห้หลีเฉิน โยงใยกันอันต่ออัน แค่ขยับอันเดียวก็จะเละทั้งกอง นอกจากคนที่มีประสิทธิภาพในการจัดการอย่างเขาแล้ว หากรับหน้าที่แล้วช่วยเหลือไม่ได้ก็มีแต่จะทำให้เละเทะ
เย้นหว่านรู้สึกประหลาดใจไป เพราะนึกไม่ถึงว่าจะมีสถานการณ์อย่างนี้ด้วย
เธอรู้ว่าการตามหาเมล็ดแมกโนเลียเป็นเรื่องที่ไม่สามารถแพร่งพรายได้ ดังนั้นเลยไม่สามารถให้เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ช่วยเหลือได้ แต่เวนเดลล์ที่รู้เรื่องทุกอย่างกลับไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้
มิน่าล่ะโห้หลีเฉินถึงได้รีบเสียจนเท้าไม่ติดพื้นอย่างนี้
เธอรู้สึกปวดใจอีกครั้งแล้ว
“ฉันเข้าใจแล้ว คุณทำเพื่อความปลอดภัยและความสะดวกของโห้หลีเฉิน ก็เลยเข้าออกเป็นเพื่อนเขาทุกวัน ลำบากมากจริง ๆ ”
เย้นหว่านพูดขอบคุณอย่างสุภาพ
โห้หลีเฉินนั้นแทบจะทำงานล่วงเวลาทุกวัน วันเว้นวันถึงจะได้กลับไปครั้งหนึ่ง เป็นเพราะยุ่งมากจริงๆ
แต่เห็นได้ชัดว่าเวนเดลล์กลับไม่ยุ่งเลย แต่จังหวะการทำงานล่วงเวลาเหมือนกับโห้หลีเฉินทุกวัน เข้าและออกพร้อมกัน สิ้นเปลืองเวลาส่วนใหญ่ไปกับการอยู่เป็นเพื่อน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อโห้หลีเฉิน
พอได้ยินเย้นหว่านพูดอย่างนี้แล้ว เวนเดลล์ก็รู้สึกปลื้มปีติยินดีมากและถอนหายใจอย่างโล่งอก
เย้นหว่านเข้าใจเขาก็ดีแล้ว
เขายิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า “คุณเย้น คุณบอกว่าจะหาอะไรให้คุณโห้ทานใช่ไหมครับ?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ เย้นหว่านก็รีบพยักหน้า
“ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณจะมา ก็เลยให้ห้องครัวเล็กนำอาหารมาให้แล้ว วางอยู่ในกล่องเก็บความร้อนครับ คุณตรงไปหยิบมาได้เลย”
เวนเดลล์เดินไปที่ด้านข้าง แล้วจึงได้นำกล่องอาหารที่สวยงามออกมาจากกล่องเก็บความร้อนสามชั้น ก่อนจะยื่นให้เย้นหว่าน
เย้นหว่านรีบรับไป แล้วยิ่งซาบซึ้งใจเต็มเปี่ยมกับการเตรียมการที่ละเอียดรอบคอบของเวนเดลล์
“คุณเป็นคนที่ดีมากจริงๆ ขอบคุณนะคะ”
มีเพียงความช่วยเหลือที่จริงใจและห่วงใยเท่านั้น ถึงจะสามารถทำอะไรได้รอบคอบถึงขั้นนี้
ยิ่งไม่ต้องถาม เย้นหว่านก็รู้เลยว่า อาหารที่โห้หลีเฉินทานเป็นประจำล้วนเป็นเวนเดลล์ที่เป็นคนจัดการให้
เวนเดลล์รีบหัวเราะฮ่า ๆ แล้วพูดว่า “นี่เป็นสิ่งที่ผมสมควรทำครับ คุณถือซะว่าผมตอบแทนบุญคุณเถอะ ถ้าปีนั้นไม่ได้ป่ายฉีช่วยชีวิตเอาไว้ ผมก็คงตายไปนานแล้ว”
ที่ตอนนี้พยายามทุ่มเทช่วยเหลือโห้หลีเฉินอย่างสุดความสามารถ ทุกอย่างเป็นเพราะจดหมายแนะนำของป่ายฉี
เวนเดลล์เป็นชายชราแสนดีที่รู้จักตอบแทนบุญคุณ
เย้นหว่านเองก็รู้สึกขอบคุณและเคารพนับถือเขาด้วยใจจริง
หลังจากที่พูดเวนเดลล์กับอีกไม่กี่ประโยค เย้นหว่านก็ค่อย ๆ ถือกล่องอาหารไปที่ด้านข้างโต๊ะทำงานของโห้หลีเฉิน
เธอเป็นฝ่ายนั่งลง แล้วขยับมือด้วยตัวเอง เปิดกล่องอาหารออกและวางมันลงทีละชั้น
เพิ่งจะวางได้ไม่นาน กลิ่นหอมของอาหารก็ลอยโชยออกมา
เย้นหว่านมองดูชายหนุ่มที่กำลังเคาะแป้นพิมพ์อยู่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า
“โห้หลีเฉิน กินข้าวก่อนเถอะ”
“ได้”
โห้หลีเฉินตอบเสียงต่ำ ตอนนี้จึงได้หยุดการเคลื่อนไหวในมือลง
เขามองดูเย้นหว่านแวบหนึ่ง ความละอายใจวาบผ่านในดวงตาแวบหนึ่ง
เขาเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า
“คืนนี้เธอก็นอนอยู่ในห้องพักเจ้าหน้าที่ตลอดทั้งคืนเถอะ สองวันนี้ ฉันจะต้องหาที่อยู่ของเมล็ดแมกโนเลียให้ได้”
เมื่อมองดูขอบตาที่เริ่มแดงเล็กน้อยของโห้หลีเฉินแล้ว เย้นหว่านก็รู้สึกปวดใจอย่างสุดซึ้ง
“นายไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ พวกเรายังมีเวลาอีกมาก ค่อยเป็นค่อยไปได้ นายอย่าเหนื่อยจนทำให้ตัวเองแย่สิ”
จากที่มองดูแล้ว ก็รู้เลยว่าระดับความเข้มข้นการทำงานของโห้หลีเฉินนั้นสูงมาก
นิ้วมือที่เคาะแป้นพิมพ์ไม่หยุด ดวงตาที่มองดูข้อมูลกองใหญ่ในขณะนั้นคร่าว ๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือสมองต้องประมวลผลอย่างรวดเร็วไม่หยุด
หากเป็นคนธรรมดา แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ทนไม่ได้แล้ว
แต่ไม่รู้ว่าโห้หลีเฉินนั้นอดทนมาได้กี่วันกี่คืนแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะทำเข้มแข็งต่อไป ก็ต้องมีวันหนึ่งที่ร่างกายฝืนต่อไปไม่ไหว
โห้หลีเฉินพยักหน้าเบา ๆ มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่หยอกล้อ
“นี่เริ่มก้าวก่ายผมแล้วเหรอ?”
เขาเน้นคำว่าก้าวก่าย แล้วพูดอย่างมีเลศนัย
เย้นหว่านเข้าใจความหมายของเขาในทันที ฉับพลันนั้นแก้มก็เห่อแดงราวกับลูกแอปเปิลเลยทีเดียว
การก้าวก่ายแบบนี้ ดูเหมือนเป็นการก้าวก่ายของภรรยาที่มีต่อสามี
แต่พวกเขา ยังไม่ได้แต่งงานกันนะ
เย้นหว่านมองเขาอย่างเขินอายแวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “มีความคิดเห็นเหรอ?”