เย้นโม่หลินหยิบไฟฉายขึ้นตรวจดูสถานการณ์โดยส่วนใหญ่ของอุโมงค์ จากนั้นเดินไปสองก้าว ก็สังเกตเห็นที่ใต้เท้า
เขาคุกเข่าลง จากนั้นมองดูรอยเท้าบนพื้น
แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งจะมีรถผ่านมาทางนี้”
ถ้ามองสังเกตดูให้ดีจะพบว่ามีรอยยางที่บางมาก บางมาก ๆ อยู่บนพื้นนั้น
ป่ายฉีลูบคาง แล้วยิ้มออกมาด้วยความสนใจ
“เป็นเหมือนที่คิดเอาไว้ไม่ผิด แล้วยังมีรถวิ่งผ่านด้วย อุโมงค์นี้คงจะไม่ได้ใช้มาหลายปีแล้ว”
กำแพงด้านในก่อตัวเป็นน้ำแข็ง ละอองฝุ่นก็เกือบจะหนากว่านิ้วมือแล้ว
ดูแล้วอุโมงค์แบบนี้ ทั้งมืดทั้งเย็น คงจะไม่ได้ใช้งานมานานหลายปี ถ้าไม่ใช่เพราะรถคันนั้นแล่นผ่าน พวกเขาก็คงจะหาไม่เจอ
“ไม่รู้ว่าใครกันที่เข้าออกประเทศเบียนหนานในเวลานี้ รอได้มีโอกาสเจอเขา คงต้องขอบคุณเขาสักหน่อยแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเข้า ๆ ออก ๆ ก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะต้องเสียเวลาไปอีกนานแค่ไหนกว่าจะมาถึงประเทศเบียนหนาน”
ป่ายฉีกำลังหัวเราะเยาะ รู้สึกดีกับคนนำทางที่ไม่เคยพบเจอกันมาก่อนคนนั้นมาก
สีหน้าของเย้นโม่หลินกลับไม่ได้ผ่อนคลายเท่าป่ายฉี เพราะเส้นทางของรถคันนี้ เดี๋ยวไปเดี๋ยวกลับ กว่าจะไปกลับก็อีกหลายวัน
อีกอย่างขามาก็ยังดูชัดเจนกว่าตอนขากลับ อีกทั้งน้ำหนักของรถก็ยังมีเพิ่มขึ้นไม่น้อย
นี่ก็หมายความว่า รถคันนี้ไม่ได้บรรทุกเย้นหว่านและโห้หลีเฉินออกจากประเทศเบียนหนาน อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ยังอยู่ในนั้น
อาจเป็นไปได้ว่ายังนำยาออกมาไม่สำเร็จ
เขาจะต้องรีบไปช่วยพวกเขา
เย้นโม่หลินลุกขึ้นยืน ข่มขู่ว่า “รีบตรวจสอบสถานการณ์โดยรอบของอุโมงค์นี้ให้ชัดเจน ความยาวของระยะทาง เตรียมออกเดินทาง”
ถึงแม้จะอยู่ในอุโมงค์แล้ว แต่พวกเขาไม่มีรถ หนำซ้ำระยะทางในอุโมงค์นี้ก็ยังไกลมาก พวกเขาจำเป็นต้องเดินเท้าและยังต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยเลยทีเดียว
อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าสถานการณ์ของเย้นหว่านและโห้หลีเฉินในตอนนี้เป็นอย่างไรแล้วบ้าง เป็นอันตรายหรือไม่
เขาจะต้องรีบไปถึงให้เร็วที่สุด
เมื่อได้ยินเสียคำสั่งแล้ว เหล่าบอดี้การ์ดก็รีบนำอาวุธติดตัว แล้วเริ่มเข้าสู่ท่วงท่าที่เป็นมืออาชีพ เพื่อเตรียมที่จะออกปฏิบัติงาน
ในเวลานี้เอง อีกฟากหนึ่งของอุโมงค์
มีรถเอสยูวีสไตล์ออฟโรดขนาดยาวสุดหรูคันหนึ่งกำลังขับมาด้วยความรวดเร็ว
ภายในรถ มีที่นั่งครึ่งหนึ่งของรถถูกรื้อออกไปแล้ว ตอนนี้ที่ตำแหน่งกลางได้จัดวางกระบองเพชรขนาดใหญ่ครึ่งตัวคนต้นหนึ่งไว้อย่างสงบ
เซอร์ยุนซีกำลังอยู่ที่เบาะข้างคนขับ แล้วหันกลับไปมองด้วยความห่วงใยเป็นบางครั้งบางคราว่ากระบองเพชรนี้ยังอยู่ดีหรือเปล่า
อากาศหนาวเย็นยะเยือกอย่างนี้ไม่รู้ว่ากระบองเพชรจะทนไหวหรือเปล่า ขออย่าได้ตายก่อนจะไปถึงประเทศเบียนหนานเลย
อย่างนั้นเขาคงต้องถูกโห้หลีเฉินเตะออกมาจากประตูแน่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เซอร์ยุนซีก็รีบพูดกับคนขับว่า
“ขับให้ไวกว่านี้หน่อย”
คนขับรถมองดูระดับความเร็ว ทำสีหน้าที่ขมขื่น จนใกล้จะหมดอาลัยตายอยากแล้ว
เขาพูดอย่างอ่อนแรงว่า
“ท่านดยุก ถนนนี้ไม่มีคนใช้มาหลายปีแล้ว อีกทั้งยังไม่มีการทะนุบำรุงดูแลรักษา บนถนนจึงมีหลุมบ่อมากมายที่มองไม่เห็น อีกอย่างอากาศก็ยังหนาวเหน็บจนเกินไป มีน้ำแข็งเกาะอยู่บนพื้นผิวถนนทั่วทุกแห่ง จึงไม่เหมือนถนนปกติทั่วไป ผมก็เลยไม่กล้าขับเร็วเกินไปครับ”
อาจจะเกิดเรื่องเอาได้ ถึงขั้นอันตรายถึงชีวิต
เซอร์ยุนซีเองก็เป็นคนที่เล่นรถอยู่แล้ว ย่อมเข้าใจในสิ่งที่คนขับบอกแน่นอน ก็ถือว่ามีเหตุผล
เขาขมวดคิ้วด้วยความกระสับกระส่าย มองดูทางที่มืดมิดตรงหน้า
ความเร็วแบบเต่าคลานอย่างนี้ คงต้องใช้เวลาอีกสองสามวันกว่าจะกลับไปถึงประเทศเบียนหนาน
แต่นี่เพิ่งจะเดินทางไปแค่ไม่กี่วัน เขาก็คิดถึงเย้นหว่านมากแล้ว มากจนแทบอยากจะบินไปอยู่ตรงหน้าเธอ
และผู้หญิงคนนั้นก็คงจะคิดถึงเขาเช่นกัน
คนขับรู้สึกได้ถึงความเร่งรีบของเซอร์ยุนซี หัวใจก็พลันหดเกร็งด้วยความหวาดกลัว
จึงรีบเอ่ยว่า
“เดิมทีจากประเทศเบียนหนานออกไปข้างนอกไปกลับอย่างน้อยสามเดือน คุณเย้นก็อาจจะคิดว่าต้องใช้เวลานานถึงขนาดนั้นก็ได้นะครับ นี่เพิ่งจะผ่านมาไม่กี่วัน เธอคงไม่ใจร้อนอยากให้คุณรีบกลับไปขนาดนั้นหรอกครับ”
“คุณทำเพื่อคุณเย้น ถึงขนาดใช้เส้นทางนี้ใช้เส้นทางนี้ใหม่เป็นพิเศษอีกครั้ง ความเร็วในการไปกลับแค่ไม่กี่วัน หลังจากที่ผ่านไปอีกสองสามวันก็จะได้เจอคุณเย้นแล้ว เธอจะต้องรู้สึกดีใจที่คุณกลับมาเร็วขนาดนี้แน่นอน แล้วก็จะต้องประทับใจแน่ ๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดอย่างนี้แล้ว ความร้อนใจที่พัวพันอยู่รอบตัวของเซอร์ยุนซี ก็ค่อย ๆ สลายหายไปทีละนิด
ถูกต้อง ถ้าผู้หญิงคนนั้นเห็นเขากลับมาไวขนาดนี้ หนำซ้ำยังพากระบองเพชรสุดที่รักของเธอมาด้วย จะต้องดีใจจนโผเข้ามาในอ้อมกอดของเขาแน่นอน
ไม่เสียแรงที่ไปกลับซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้ เพื่อที่จะได้อ้อมกอดของเย้นหว่าน ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
เมื่อสัมผัสได้ว่าบรรยากาศโดยรอบนั้นดีขึ้นมาแล้วบ้าง คนขับก็ค่อย ๆ ถอนหายใจ แล้วลูบเหงื่อเย็น ๆ ตรงหน้าผากที่ไหลออกมาด้วยความตกใจ
ยังโชคดี ในที่สุดแล้วก็ปลอบโยนท่านดยุกได้ ก็เลยรอดพ้นจากภัย
เมื่อมองดูอุโมงค์ที่มืดมิดนี้อีกครั้ง เขาไม่อาจบอกได้ว่าความรู้สึกในใจนั้นมันเป็นอย่างไร
เขาเป็นคนขับรถของพระราชวงศ์มาก็ตั้งหลายปี คิดไม่ถึงเลยว่า จะมีวันหนึ่งที่ได้มีโอกาสขับรถเข้าไปในอุโมงค์ที่เคยร่ำลือกันนี้
ความจริงแล้วอุโมงค์แห่งนี้ได้สร้างเสร็จตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนตั้งนานแล้ว
ในตอนนั้นได้สิ้นเปลืองแรงงานคนและวัสดุไปจำนวนมาก ก็เพื่อสร้างอุโมงค์ทะลุภูเขาหิมะนี้ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมีความลำบากและอันตรายมากเกินไป หลังจากที่สร้างเสร็จจึงทำให้มีคนตายไปจำนวนไม่น้อย
อุโมงค์แห่งนี้ จึงเรียกได้ว่าสร้างขึ้นมาจากเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อของผู้คนในประเทศเบียนหนาน
เพียงแต่ อุโมงค์แห่งนี้ไม่ได้ประสบความสำเร็จในเรื่องการติดต่อแลกเปลี่ยนและการค้าระหว่างประเทศเบียนหนานกับประเทศภายนอก
หลังจากที่สร้างอุโมงค์เสร็จ ทางประเทศก็ได้ส่งคนมาเพื่อติดต่อคบค้าสมาคมกับโลกภายนอก แต่ในตอนนั้นโลกภายนอกกำลังวุ่นวาย มีความไม่สงบและไฟสงครามอยู่ทุกหนแห่ง ผู้คนต่างเดือดร้อนจนไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ได้
เมื่อเทียบกับประเทศเบียนหนานที่แสนสงบแล้ว ทุกอย่างดูต่างกันราวฟ้ากับดิน
ตอนนั้นทางเชื้อพระวงศ์ต่างเห็นว่าโลกภายนอกมันทุกข์ทรมานอย่างนี้เอง อีกทั้งประเทศที่แข็งแกร่งกว่าก็เข้ารุกรานประเทศที่อ่อนแอกว่าตามอำเภอใจ จึงได้เริ่มมีความกังวลใจกับความปลอดภัยของประเทศตัวเอง
เพียงแต่ เพื่อปกป้องตัวเองแล้ว จึงได้ปิดผนึกเส้นทางอุโมงค์นี้เอาไว้ แล้วไม่ให้คนของประเทศเบียนหนานใช้อีก
มาจนถึงตอนนี้ หลังจากที่ผ่านไปหลายสิบปี รวมไปถึงการตั้งใจปกปิดของเชื้อพระวงศ์ เลยทำให้แทบจะทุกคนในประเทศเบียนหนานต่างก็ไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของอุโมงค์นี้
และคนที่รู้นั้น ส่วนใหญ่ก็มีแต่คนของเชื้อพระวงศ์
หนึ่งในนั้นมีเซอร์ยุนซีรวมอยู่ด้วย
ก่อนหน้าที่จะมีกฎหมายของประเทศ เส้นทางอุโมงค์นี้ไม่ได้ใช้งานง่ายถึงขนาดนั้น เพื่อใช้เส้นทางอุโมงค์นี้แล้วเซอร์ยุนซีเองก็พบเจออุปสรรคไปไม่น้อย
แล้วในที่สุดก็สามารถเปิดเส้นทางอุโมงค์นี้ได้ใหม่อีกครั้งและวัตถุประสงค์ก็คือเพียงเพื่อไปนำกระบองเพชรที่เย้นหว่านต้องการกลับมา
หลังจากที่รอให้เซอร์ยุนซีกลับมาแล้ว อุโมงค์แห่งนี้ก็จะถูกปิดผนึกใหม่อีกครั้ง
หากไม่มีเรื่องที่ไม่คาดฝัน ก็คงจะไม่ถูกเปิดต่อไปนานอีกหลายสิบปี
คนขับรถได้รับมอบหมายให้เดินทางในครั้งนี้และขับรถผ่านเส้นทางนี้ ทั้งหมดนี้มันเป็นประสบการณ์ชีวิตที่รุ่งโรจน์และพิเศษมากที่สุดในอาชีพการงานของเขา
——
เย้นหว่านใช้เวลาต้มโจ๊กไปทั้งหมดสามชั่วโมง จงใจถ่วงเวลาและตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ จนในที่สุดก็ต้มโจ๊กที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นกลมกล่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เธอถือโจ๊กสองชาม เดินไปที่ข้างโต๊ะทำงานของโห้หลีเฉิน จากนั้นวางลงเบา ๆ
เดิมทีเธอยังลังเลอยู่ว่าควรจะปลุกโห้หลีเฉินดีรึเปล่า แต่เธอเพิ่งจะเข้าใกล้ โห้หลีเฉินที่ฟุบตัวหลับอยู่บนโต๊ะ ก็ได้เงยหน้าขึ้นมาแล้ว
ใบหน้าที่หล่อเหลาสง่างามของเขามีรอยยิ้มที่แสนรักใคร่ “ลำบากเธอแล้ว”
แค่ประโยคเรียบง่ายเพียงประโยคเดียว กลับทำให้ทุกสิ่งที่เย้นหว่านได้ทุ่มเทลงไป ต่างก็ได้รับการตอบแทนอย่างสูงสุดก็มิปาน
ความสุข มันเรียบง่ายอย่างนี้เอง
หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จ สติของโห้หลีเฉินก็ชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นมาและมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย
เขาเริ่มกลับมาทำงานอย่างจริงจังอีกครั้ง