เย้นหว่านแข็งทื่อ นี่เรียกเธอว่าอะไรนะ
การเอียงศีรษะอย่างสงสัยของเธอทำให้เห็นโดยบังเอิญว่าผู้คนหลายสิบคนต่างมองมาที่เธอ ด้วยสีหน้าแสดงความเกลียดชังและความรู้สึกเป็นศัตรูอย่างไม่ปิดบัง
เย้นหว่านอึ้ง นี่มันสถานการณ์อะไร
เธอไปยั่วโมโหพวกเขาเหรอ
ยังไม่ทันที่เธอจะเข้าใจ คนพวกนั้นก็เดินเข้ามาหาเธอด้วยหน้าตาไม่พอใจ ยืนห่างๆ ล้อมรอบเธอจนสุดลูกหูลูกตา
ความเป็นศัตรูที่ชัดเจนนั้นทำให้เย้นหว่านยากที่จะเมินเฉยได้
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย มองคนเหล่านี้ด้วยความระแวดระวัง
“คุณก็คือเย้นหว่านเหรอ หน้าตาเจ้าเล่ห์ยั่วยวนอย่างที่คิดเลย กิริยามารยาทไม่สำรวมไม่คู่ควรออกสู่สาธารณะ”
ผู้หญิงรูปร่างหน้าตาสะสวยหนึ่งในนั้นจ้องมองเย้นหว่านหัวจดเท้าอย่างดูถูก
เย้นหว่านเม้มปาก จิตใจค่อนข้างตึงเครียด
เธอเริ่มตระหนักถึงบางสิ่งได้คลับคล้ายคลับคลา เธอออกมาโดยที่ไม่เห็นฉู่ฉู่ แต่คนเหล่านี้กลับโผล่มาที่นี่ ราวกับมารอเธอโดยเฉพาะ
มันเหมือนเป็นกับดัก!
พวกเขาคิดจะทำอะไร
จิตใจของเย้นหว่านขยับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว พยายามสงบสติอารมณ์และถามว่า
“พวกคุณมีเรื่องอะไร”
“ผู้หญิงชั้นต่ำก็คือผู้หญิงชั้นต่ำ ทำเรื่องไร้ยางอายขนาดนั้น กลับยังทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น หน้าตาท่าทางไม่รู้จักละอาย โคตรน่าขยะแขยง”
คนในฝูงชนที่เป็นผู้หญิงด่าออกมา
จากนั้นก็มีคนเห็นด้วย “คุณเป็นคนแบบนี้ ทำให้ผู้หญิงอย่างเราอับอาย ฉันเห็นคุณแล้วอยากอาเจียน”
หนึ่งคนหนึ่งประโยค ราวกับเข็มมาทิ่มแทงเย้นหว่าน
เย้นหว่านยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน แบกรับคำด่าดูถูกเหยียดหยามเหล่านี้อย่างอธิบายไม่ถูก มันทั้งรู้สึกหดหู่และอารมณ์เสียขึ้นมาฉับพลัน แต่เธอยังรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูกไม่รู้ว่ามันเพราะอะไร
เย้นหว่านกัดฟัน มองผู้หญิงที่พูดด้วยสายตารุนแรง
“พวกคุณด่าฉันทำไม ฉันทำเรื่องไม่รู้จักละอายอะไรกันแน่ พวกคุณบอกฉันมาสิ!”
ถูกด่าโดยไม่มีเหตุผล อารมณ์ดีแค่ไหนก็ระเบิด
คนเหล่านั้นเห็นเย้นหว่านโกรธ อารมณ์ไม่พอใจก็ยิ่งพุ่งขึ้นสูง
ผู้หญิงคนหนึ่งในนั้นที่ใส่ชุดกระโปรงสีดำ เดินเข้ามายืนห่างเย้นหว่านสองเมตร ชี้จมูกเธอพร้อมกับด่าว่า
“ยังไม่รู้จักละอายจริงๆ! พวกเรื่องที่คุณทำ ฉันอายเกินกว่าจะพูด ในเมื่อคุณอยากฟัง ฉันก็จะให้คุณตายโดยไม่มีอะไรครุมเครือ”
“คุณคิดว่าคุณอยู่แต่ฝ่ายประสานงานระหว่างประเทศไม่ออกมา แล้วจะไม่มีคนรู้เหรอว่าคุณทำเรื่องน่าขยะแขยงอะไร จะบอกอะไรคุณให้ ตอนนี้ทุกคนรู้หมดแล้ว!”
“คุณเป็นผู้หญิงคนเดียว แต่กลับวิ่งมาอยู่ฝ่ายประสานงานระหว่างประเทศ และใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนอยู่กับกลุ่มผู้ชาย แถมวันวันยังเอาแต่พัวพันอยู่กับพี่ชายของตัวเอง ใกล้ชิดอย่างไม่มีขอบเขต ไม่คำนึงถึงจริยธรรม แม้แต่พี่ชายของตัวเองก็ต้องการยั่วยวน”
ถ้อยคำที่ออกมา ราวกับเสียงปืนกลดังปังปังกระแทกเข้าใส่ร่างของเย้นหว่าน
เย้นหว่านตกตะลึง
เธอคิดไม่ถึงว่ามันคือเหตุผลนี้ เพียงเพราะสองวันนี้เธออยู่ในฝ่ายประสานงานระหว่างประเทศ ก็กลายเป็นผู้หญิงที่ไม่รู้จักละอายในสายตาพวกเขาแล้วงั้นเหรอ
และไม่ต้องพูดถึงที่เธอกับโห้หลีเฉินนั้นเป็นคู่รักที่แท้จริงมาตั้งแต่ต้น แต่ภายนอกพวกเขายังคงรักษาระยะห่างในระหว่างสองวันนี้ ไม่ได้มีความใกล้ชิดต่อกันมากเกินไปเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าจะอยู่ด้วยกัน ก็เป็นเหมือนพี่ชายน้องสาวทั่วไป
ทำไมกลายเป็นว่าไม่คำนึงถึงจริยธรรม ยั่วยวนแม้แต่พี่ชายตัวเอง
เย้นหว่านทั้งหดหู่ทั้งอารมณ์เสีย ทันทีที่มองไปรอบๆ ก็เหมือนเป็นคนโง่ที่มองดูข่าวลือโจมตีส่งเดช
เธอเพิ่มเสียงสูงพูดอย่างจริงจัง
“ช่วงสองวันนี้ฉันอยู่ฝ่ายประสานงานระหว่างประเทศ แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรมากเกินหน้าที่ โห้หลีเฉินทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ยี่สิบสองชั่วโมงต่อวัน ฉันแค่นั่งอยู่ที่นี่เล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเพื่อนเขาเท่านั้น ไม่เคยทำเรื่องไม่รู้จักละอายอย่างที่พวกคุณพูด”
“รบกวนพวกคุณอย่าพูดพร่ำเรื่องไม่มีมูลเหลวไหลไร้สาระ!”
ได้ยินคำแก้ตัว ผู้คนรอบข้างก็ยิ่งดูถูกหนักเข้าไปอีก
ผู้หญิงในชุดดำหัวเราะอย่างแดกดัน นิ้วชี้ยกขึ้นแทบจะทิ่มปลายจมูกของเย้นหว่าน
“คุณยังมีหน้ามาเล่นลิ้นอีกเหรอ คุณคิดว่าทุกคนโง่ตาบอดหรือไง!”
“คุณคิดว่าคุณทำเรื่องสกปรกแล้วจะไม่มีคนรู้งั้นเหรอ วันวันคุณเอาแต่เฝ้าโห้หลีเฉิน ยั่วยวนเขาทุกครั้งที่มีโอกาส ทั้งวันเอาแต่ร่าน”
“ไม่เพียงแค่นั้น ยังไปคุกคามผู้ชายคนอื่นในฝ่ายประสานงานระหว่างประเทศ เสนอเรื่องเพศทุกประเภท เรื่องสกปรกที่คุณทำเหล่านี้ มันแพร่กระจายไปทั่วประเทศเบียนหนานนานแล้ว”
เย้นหว่านดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
ข้อกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีพวกนี้มันมาจากที่ไหนกัน
“ฉันไม่เคยทำเรื่องพวกนี้ เหล่านี้ล้วนเป็นข่าวลือ เป็นการใส่ร้าย! ฉันแค่อยู่ในฝ่ายประสานงานระหว่างประเทศเฉยๆ เท่านั้น ฉันไม่ได้ยั่วยวนโห้หลีเฉิน ยิ่งไม่เคยพูดเรื่องอะไรต่อมิอะไรกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการคุกคามใดๆ ด้วย!”
เย้นหว่านโกรธจนท้องแผดเผา
ทั้งๆที่เธอไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ถูกคนกล่าวหาว่าเป็นแบบนี้กลับอธิบายไม่ได้ แถมยังมาไล่ตามด่าทอเธอถึงที่
และยังรู้ไปทั่วประเทศอีกงั้นเหรอ
เหมือนวัสดุสีดำที่ประดิษฐ์ขึ้นจากอากาศไร้แก่นสาร แพร่กระจายไปทั่วโดยไม่มีหลักฐาน ทำลายเธอที่บริสุทธิ์
“คุณมันผู้หญิงชั้นต่ำราคาถูก ยังจะทำตัวเสแสร้งเป็นดอกบัวสีขาว ทุกอย่างมาถึงตอนนี้แล้ว ยังกล้าจะปฏิเสธอีกเหรอ”
ผู้หญิงในชุดดำก้าวออกมา อยากจะคว้าเส้นผมของเย้นหว่าน
กำลังเริ่มตรงเข้ามาลงมือ
เย้นหว่านตกตะลึงขนาดหนัก ตอนที่เพิ่งมาถึงประเทศเบียนหนาน เธอได้เห็นผู้หญิงหยาบช้าที่นี่ หลังจากผ่านการตบ ตอนนี้ก็ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำ
เธอแทบจะถอยอัตโนมัติโดยสัญชาตญาณ เพื่อหลบหลีกมือของผู้หญิงคนนี้
ทันใดนั้น———-
“เพี๊ยะ!” เสียงฝ่ามือดังสนั่น มันดังขึ้นที่ด้านข้างแก้วหูของเธอ
เย้นหว่านเจ็บปวดแสบร้อนไปทั้งพวงแก้มในทันที
ตรงหน้าของเธอ มีผู้ชายอายุประมาณห้าสิบคนหนึ่งยืนอยู่ หน้าตาขึงขัง ฝ่ามือที่ตบเธอกำลังชูอยู่สูง
ผู้ชายคนนั้นถลึงตาจ้องเย้นหว่านอย่างโกรธจัด ด่าเสียงดังลั่น
“ผู้หญิงไม่รู้จักความละอาย! ผมไม่สามารถทนให้ผู้หญิงอย่างคุณลอยหน้าลอยตาในประเทศเบียนหนานได้!”
พลังแข็งแกร่งของเขารุนแรงอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นคนที่ดุร้ายโดยปกติ
เย้นหว่านกุมใบหน้า ความโกรธค่อยๆ ปะทุขึ้นจากอก
คนพวกนี้คิดว่าตัวเองเป็นใคร ทำไมเอาเรื่องนินทาไร้สาระมาด่าว่าเธอ และทำไมมาลงมือทำร้ายเธอแบบนี้!
เย้นหว่านเต็มไปด้วยความโกรธ จ้องผู้ชายคนนั้นอย่างดุดัน
กัดฟันพูดทุกคำทุกประโยค “ฉันไม่เคยทำเรื่องแบบนั้น คุณไม่มีสิทธิ์มาตบฉันแบบนี้!”
“ผมจะตบแล้วคุณจะทำไม ผมฆ่าคุณไปก็ไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนมีแต่จะสมใจ ต่างจะตบมือพร้อมกับกู่ร้องว่าดี”
ผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะโกรธที่เย้นหว่านตอบสนองด้วยความโกรธ จึงยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น
มือที่ยกขึ้นจะเข้ามาตบเย้นหว่านอย่างรุนแรงอีกครั้ง
ครั้งนี้เย้นหว่านมีการเตรียมตัวแล้ว รีบหลบหนี แต่เธอเพิ่งก้าวไปสองก้าว ข้างหลังก็มีชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่สองคนพุ่งเข้ามาจับเธอไว้ซ้ายคนขวาคน
“รัฐมนตรีอาวุโส คุณลงมือเลย ฆ่าผู้หญิงสารเลวนี่ให้ตาย เธอไม่เพียงแต่ยั่วยวนพี่ชายตัวเอง คุกคามผู้ชายในฝ่ายประสานงานต่างประเทศ ยังทำเสน่ห์ใส่ท่านดยุก ทำให้ท่านดยุกแหกประเพณี เอาแต่ฟังผู้หญิง นี่เป็นการพยายามทำลายประเทศเบียนหนานของเรา เป็นแม่มดที่ไม่รู้จักความละอาย”
“คนประเภทนี้ ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย วันนี้เรามาถึงที่นี่ ไม่เพียงแต่ต้องสอนบทเรียนให้เธอ ต้องให้เธอสูญสิ้นไปจากดินแดนประเทศเบียนหนานด้วย คนประเภทนี้ไม่สมควรมีชีวิตอยู่”
ผู้ชายสองคน พูดอย่างโกรธขึ้งตัดสินกำหนดชะตาชีวิตความเป็นตายอย่างโหดร้าย