เย้นหวานมองโห้หลีเฉินตาเป็นประกาย เต็มไปด้วยความชื่นชม ทำไมเธอถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้ โอหยางฝู่หมดอำนาจแล้ว ยังจะเอาใบยื่นคำร้องทำไมอีก
แค่มีกุญแจก็พอแล้ว
เหล่าองครักษ์ได้ยินคำพูดนี้ ต่างตกตะลึงตาค้างพูดอะไรไม่ออก ปากอ้าใหญ่จนแทบยัดไข่สองฟองได้
ท่านเสนาฯหมดอำนาจ?
เป็นไปได้อย่างไร?
คนที่มีอำนาจขนาดนั้น ใช้อำนาจที่แข็งแกร่งข่มขู่ทั้งประเทศ อำนาจแบบนี้ แม้จะเป็นพระราชาก็ไม่สามารถลงโทษเขาอย่างตามใจ
เป็นไปได้ไงที่หมดอำนาจในชั่วพริบตาเดียว
ช่างแปลกประหลาดเกินไปแล้ว
“ปะ……เป็นไปไม่ได้มั้ง คุณครับ คุณอย่าล้อเล่นสิครับ”
เหล่าองครักษ์ไม่ค่อยเชื่อ
ถึงขั้นมองดูแล้ว ไม่ค่อยอยากจะเชื่อความจริงนี้
ลองคิดดูก็จริงโอหยางฝู่ให้ความสำคัญกับคลังสมบัตินี้มาก แม้แต่พระราชาก็ไม่สามารถเข้ามาอย่างตามใจ คนที่เฝ้าประตู คงจะเป็นคนที่เขาคัดเลือกอย่างละเอียด และน่าจะเป็นคนของเขา
ถ้าหากว่าโอหยางฝู่หมดอำนาจแล้ว คนเหล่านี้ ก็ไม่มีคนให้ท้าย ต้องติดพันอย่างแน่นอน
ไม่มีใครอยากให้เจ้านายของตัวเองจบเห่
โห้หลีเฉินไม่แปลกใจกับปฏิกิริยาของพวกเขา พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“พวกนายสามารถตรวจสอบได้ ตอนนี้ในข่าว กำลังแจ้งแล้ว”
เหล่าองครักษ์ราวกับเจอวิธีได้ทันที
พวกเขารีบเอามือถือของตัวเองออกมา ค้นหาข้อมูลข่าวอย่างกระวนกระวาย
มองดูแล้ว สีหน้าแต่ละคนซีดตามมา
เย้นหว่านมองดูปฏิกิริยาของพวกเขา แล้วเข้าใกล้โห้หลีเฉิน พูดเสียงเบาว่า
“หลังจากแน่ใจแล้วว่าโอหยางฝู่หมดอำนาจแล้ว พวกเขาจะให้พวกเราเข้าไปเหรอ?”
ไม่ว่าจะมองยังไง คนเหล่านี้ก็เหมือนเป็นคนของโอหยางฝู่ แม้ว่าเจ้านายของตัวเองจะพ่ายแพ้ เป็นไปได้เหรอที่จะรีบยอมจำนน?
ถ้าหากว่าพวกเขายังคาดหวังต่อโอหยางฝู่ หรือซื่อสัตย์จงรักภักดี ไม่ยอมเปิดประตู จะทำไงล่ะ?
“ไม่หรอก”
โห้หลีเฉินพูดอย่างเรียบๆ น้ำเสียงมั่นใจ
เย้นหว่านเบิกตาโตกว้าง โห้หลีเฉินบอกไม่หรอก งั้นคนเหล่านี้คงไม่ปล่อยพวกเขาเข้าไปแบบนี้
แล้วโห้หลีเฉินบอกพวกเขาว่าโอหยางฝู่หมดอำนาจแล้ว จุดประสงค์คือ?
เย้นหว่านไม่เข้าใจ ก็เห็นโห้หลีเฉินที่ยืนสบายๆ จู่ๆก็เดินเข้าไปข้างหน้า ความเร็วเร็วราวกับผี ท่าทางว่องไว ได้ยินเพียงแค่เสียงเงียบ องครักษ์คนหนึ่งก็ล้มลงตามเสียง
จากนั้น คนที่สอง คนที่สามล้มตาม……
แค่ในชั่วพริบตา โห้หลีเฉินก็ทำให้องครักษ์สามคนสลบไป
เย้นหว่านตกตะลึง ชื่นชมไม่หยุด
หลังจากที่องครักษ์คนอื่นเห็นเพื่อนล้มลง ก็ดึงสติกลับมา รีบดึงความสนใจจากโทรศัพท์กลับมา แล้วทำท่าป้องกันอย่างรวดเร็ว
แต่ โห้หลีเฉินไม่ให้โอกาสพวกเขาต่อต้าน
ความเร็วของเขานั้นทั้งเร็วทั้งเหี้ยม ในตอนที่องครักษ์คนอื่นไปเอาปืน ก็ไปถึงตรงหน้าพวกเขาแล้ว “พึ่บพึ่บพึ่บ”เสียงเงียบอีกเช่นเคย
องครักษ์ทั้งหมด ล้มลมกับพื้นโดยไม่รู้ที่ตาย
มองดูพวกคนที่นอนอยู่กับพื้น เย้นหว่านค่อยๆดึงสติกลับมาจากการตกใจ ที่แท้โห้หลีเฉินไม่ได้จะให้พวกเขาปล่อยเข้าไป แต่จะให้พวกเขาดูโทรศัพท์ เบี่ยงเบนความสนใจ รอให้ไม่ทันตั้งตัว แล้วทำให้พวกเขาล้มลงทั้งหมด
ใช้ทั้งความไหวพริบและกำลังทั้งหมด แก้ปัญหาได้อย่างง่ายดาย
“มองผมอย่างหลงใหลแบบนี้ อยากให้ผมทำอะไรคุณสักหน่อยเหรอ?”
โห้หลีเฉินสบตาเข้ากับแววตาเปล่งประกายของเย้นหว่าน จู่ๆร่างที่สูงใหญ่ก็เดินเข้าไปตรงหน้าของเย้นหว่าน โอบเอวของเธอ ดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด
ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก้มลง แทบจะแนบเข้าหน้าของเย้นหว่าน
หัวใจของเย้นหว่าน เต้นตุบตับอย่างควบคุมไม่ได้ขึ้นมา
แก้มแดงเล็กน้อย เธออยากจะให้เขาทำอะไรเธอซะที่ไหนล่ะ? เธอแค่ชื่นชมเฉยๆ
เธอตอบอย่างเขินอาย “พวกเรา พวกเรารีบเข้าไปเถอะ เดี๋ยวมีคนพบเห็นเหล่าองครักษ์ที่สลบบนพื้นนี้ จะมีเรื่อง”
“ตลอดทั้งทางนี้ ไม่เห็นแม้แต่คนเดินถนนหรือพนักงานเสิร์ฟใดๆเลย ที่นี่ คงไม่มีใครมาหรอก”
โห้หลีเฉินพูดเสียงทุ้มต่ำ ปากบางเข้าใกล้เรื่อยๆ
“ผมสามารถหาเวลาสักนิดหนึ่ง หนำใจคุณสักหน่อย”
หนำใจเธออะไร?
เย้นหว่านสีหน้างุนงง ยังไม่ทันรอให้เธอเข้าใจ ความอุ่นนุ่มของปากก็ทาบเข้ามา
ลมหายใจของเขาพุ่งเข้ามา สัมผัสกับต่อมความรู้สึกของเธออย่างก้าวร้าว ปากของเขา ราวกับโจรที่มีพลัง สอดไปในโพรงปากของเธอและตวาดไปมาอย่างเคลิบเคลิ้ม
“อื้อ……”
เย้นหว่านตกใจ สมองราวกับระเบิดทันที ว่างเปล่าไม่มีอะไร
อันธพาลคนนี้ กล้าจูบเธอในเวลานี้และสถานที่นี้
เธอทั้งโมโหทั้งอาย ยื่นมือจะผลักเขาออก แต่กลับถูกเขากอดแน่นมากขึ้น มือทั้งสองถูกกดทับในตรงกลางระหว่างพวกเขาสองคน ขยับไม่ได้สักนิด
ร่างกายของเธอ อ่อนระทวยอย่างควบคุมไม่ได้
ไม่สามารถต่อต้านเขาได้ชัดๆ ทำได้เพียงถูกเขารังแก ฮือๆ
ไม่รู้ว่าจูบไปนานเท่าไหร่ สติของเย้นหว่านหายไปหมด ทั้งคนละลายเป็นน้ำอยู่ในอ้อมกอดของโห้หลีเฉิน เขาถึงปล่อยเธออย่างไม่หายอยากสักที
สายตาเขามืดลง เหมือนพยายามยับยั้งอะไรบางอย่าง
เขาจ้องมองไปที่เธอตรงๆ น้ำเสียงแหบอันตราย “เจ้าปีศาจน้อย อยากจะทำเธอให้เสร็จที่นี่ซะจริงๆ”
เล่นกับไฟเข้าซะแล้ว
โห้หลีเฉินได้เข้าใจชัดเจนสักที ถ้าไม่รู้ว่าที่นี่เป็นที่อะไร เขาแทบอดไม่ไหวจะกินเธอที่นี่
เย้นหว่านขาอ่อนซบอยู่ในอ้อมกอดของโห้หลีเฉิน ใบหน้าแดงระเรื่อ จู๋ปาก น้อยใจเล็กน้อย
เขาจูบเธอก่อนแท้ๆ ยังโทษเธอว่าเป็นปีศาจน้อยอีก
หน้าไม่อาย
ท่าทางน้อยใจของเย้นหว่าน ราวกับจั๊กจี้ในใจคน เกี้ยวจนโห้หลีเฉินไฟลุกทุกที
ลมหายใจเขาหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เขากัดฟันแน่น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หายใจเข้าลึกๆ แล้วหายใจเข้าลึกๆอีก……
ทนไว้ ทนอีกสักนิด รอกลับไปค่อยจัดการเธอ!
โห้หลีเฉินทำหน้าบูด ดึงมือเย้นหว่านแล้วเดินก้าวเท้าใหญ่เข้าไปในประตู
ปลดล็อก เปิดประตู เข้าไปอย่างราบรื่น
เย้นหว่านเดิมตามหลังเขาอย่างลืมตัว มองหน้าด้านข้างที่บูดบึ้งของชายหนุ่ม ร่างกายที่แข็งทื่อ ความคิดหลากหลายในใจ แต่กลับไม่ได้พูดออกมาอย่างรู้กาลเทศะ
ถึงเธอจะซื่อบื้อแค่ไหนก็รู้ว่าโห้หลีเฉินเป็นระเบิดที่ระเบิดได้ตลอดเวลา แค่จุดก็ระเบิด ระเบิดได้ทุกวินาที
ถ้าเธอไม่กลัวตาย ยังไปยั่วอีก ก็เตรียมมือรับผลที่จะถูกเขากินได้เลย
แย่สุดๆ
เธอน้อยใจต่อไปดีกว่า
ระหว่างที่ครุ่นคิด โห้หลีเฉินพาเย้นหว่านเดินเข้ามาสักระยะแล้ว
พวกเขาไม่ได้สนใจสมบัติล้ำค่าและหายากของที่นี่ เป้าหมายจะหาเมล็ดแมกโนเลียอย่างชัดเจน
กับโห้หลีเฉินกวนอยู่ส่วนกวน หลังจากที่เข้ามา เย้นหว่านดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว เริ่มตั้งใจหาเมล็ดแมกโนเลีย
ดวงตาเธอหมุนไปรอบๆ แม้แต่ป้ายต้นไม้เล็กๆตรงมุมห้องก็ไม่ปล่อยไว้
ตาเธอดูจนแทบจะลายแล้ว จู่ๆก็เบิกตากว้าง ตะโกนอย่างตื่นเต้น
“อยู่ตรงนั้น! เมล็ดแมกโนเลีย!”
เห็นแค่ข้างหน้าไม่กี่เมตร มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ตรงกลางของกิ่งที่แตกออกมา เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ หญ้า และส่วนตรงกลาง มีต้นเล็กๆ ที่คล้ายกับเห็ดสีแดงเข้มที่ไม่สะดุดตาอยู่ตรงนั้น
ซึ่งเป็นรูปร่างของเมล็ดแมกโนเลียที่มีบันทึกในหนังสือ