เย้นโม่หลินเห็นป่ายฉี ก็ลุกขึ้นอย่างรีบร้อน พูดว่า
“พวกเธอถูกวางยา รีบช่วยพวกเธอ”
สายตาป่ายฉีมองไป ก็มองเห็นเย้นหว่านและกู้จื่อเฟยที่นอนอยู่บนเตียงคนละเตียง สีหน้าซีดเซียว ปากเป็นสีม่วง สลบไม่มีสติ
ฤทธิ์ยาพิษ ดูเหมือนค่อนข้างรุนแรง
แต่ว่า……
เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว พิงอยู่ที่ประตูอย่างขี้เกียจ พูดอย่างล้อเล่นว่า
“ผมยังคิดว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็ถูกวางยา พี่ใหญ่ พี่เห็นผมขวางหูขวางตาไม่ใช่เหรอ ให้ผมเฝ้าฐานข้อมูลอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องการผม
ผมรู้สึกว่าผมก็ไม่จำเป็นต้องตามมา ฐานข้อมูลที่บ้านสำคัญขนาดนี้ ผมกลับไปเฝ้าฐานข้อมูลดีกว่า”
น้ำเสียงที่มีความไม่พอใจนั้น ทำให้เย้นโม่หลินรู้สึกโมโห
รีบเดินเข้าไปจับคอเสื้อของป่ายฉีไว้ ดึงตัวเขาไปที่ข้างเตียงด้วยความรุนแรง พูดจาข่มขู่
“รีบช่วยคนเดี๋ยวนี้ ยังพูดมากอีกคำเดียว ฉันตัดสิ้นนายแน่นอน”
ข่มขู่อย่างโหดเหี้ยม
ยังพูดอย่างจริงจัง
ป่ายฉีตัวสั่นไปนิดหนึ่ง ในใจยิ่งไม่พอใจ
รังแกเขาแล้ว ยังไม่ให้เขาบ่นสักคำ? ใช้อำนาจแบบนี้ เขาจำเป็นต้องฟังเขาหมดเหรอ?
เขาจะมีศักดิ์ศรีกับนิสัยหน่อยไม่ได้เลยเหรอ?
ป่ายฉียักไหล่ “ช่วยก็ช่วย แต่ว่า พวกเธอสองคน ผมจะช่วยใครก่อน?”
คำถามนี้ออกไป เย้นโม่หลินอึ้งไปเลย
ช่วยใครก่อน?
เขาไม่เคยคิดเลย
ป่ายฉีพูดอย่างแผ่วเบา “ยาพิษนี้ดูแล้วค่อนข้างรุนแรง ถึงแม้ว่ามีผมอยู่ ไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ว่าได้รับพิษยิ่งนาน คนข้างหลัง ก็จะมีอาการผลข้างเคียงหลังรักษาได้ง่าย”
โห้หลีเฉินสายตาเคร่งขรึมมองไปที่ป่ายฉี
หลังจากคิดไปครู่หนึ่ง เขาเม้มปาก ถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ไม่ให้คำตอบ
เขาเข้าใจ ตอนนี้ป่ายฉียังมีอารมณ์มาเสียเวลา ก็หมายความว่าเย้นหว่านและกู้จื่อเฟยไม่ได้มีปัญหาหนักเท่าไหร่
ส่วนปัญหานี้ เดิมแล้วก็ไม่ได้ถามเขา แต่เป็นปัญหาที่ป่ายฉีโยนให้กับเย้นโม่หลิน
เห็นได้ชัดว่าเย้นโม่หลินอยู่ท่ามกลางปัญหานี้ เป็นห่วงจนวุ่นวายแล้ว
แววตาของเขากะพริบ มองไปที่เย้นหว่าน แล้วมองไปที่กู้จื่อเฟย
ผู้หญิงสองคนนี้ เขาไม่อยากให้พวกเธอได้รับอันตรายอะไรทั้งสิ้น มีผลข้างเคียงอะไรภายหลัง
แต่ว่า ต้องเลือกหนึ่งคน ถ้าอย่างนั้นการเลือกของเขาไม่ควรมีการลังเลใดๆ
“ช่วยเสี่ยวหว่านก่อน”
เธอเป็นน้องสาวสุดที่รักของเขา สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเขา
การตัดสินใจที่ไม่ลังเลเลย ทำให้ป่ายฉีอึ้งไปเลย
มองเย้นโม่หลินอย่างตะลึง “แน่ใจนะ ไม่พิจารณาอีกหน่อยเหรอ?”
“อย่าพูดมาก รีบช่วยคน”
เย้นโม่หลินโมโหร้ายอย่างอธิบายไม่ถูก ในใจอึดอัดเหมือนมีอะไรอุดตันอยู่ ทำให้เขาทรมานเหมือนหายใจไม่ออก
ทั้งๆที่เป็นการตัดสินที่มีสติและสมควรที่สุด ทำไมถึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ?
ร่างกายที่แข็งทื่อของเขา แม้แต่สายตาก็เกร็งจนไม่กล้าหันไปมองกู้จื่อเฟย
ในใจ ตัดสินใจอะไรเงียบๆ
ถ้าหากกู้จื่อเฟยมีอาการผลข้างเคียงรุนแรงอะไร เขาจะชดเชยให้เธอเอง ถึงแม้ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตที่เหลือของเธอ
ป่ายฉีเหมือนถูกโยนไปข้างหน้าเย้นหว่าน
มองดูเย้นโม่หลินที่อารมณ์เสียอยู่ตรงหน้า เขาเข้าใจทันที การเลือกในครั้งนี้เป็นการตัดสินที่เย้นโม่หลินทำออกมาได้แน่นอน
ในใจของเขา ไม่ว่าด้วยสติหรืออารมณ์ น้องสาวก็อยู่สูงกว่าเสมอ
อีกอย่างเขายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าในใจเขาคิดยังไงกับกู้จื่อเฟย
บางทีแม้แต่ทำไมตอนนี้ตัวเองถึงรู้สึกทรมานยังไมเข้าใจเลย……
มันช่าง แค่คิดก็รู้สึกสะใจ
ป่ายฉีรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา เย้นโม่หลินใช้อำนาจรังแกเขาแล้วยังไง กดดันเขาทุกอย่างแล้วยังไง ในเรื่องสติทางอารมณ์ เขาเหยียบทับเขาอย่างขาดลอย
ความรู้สึกเหมือนสถานการณ์พลิกผัน ทำให้ป่ายฉีอารมณ์ดีจนตัวลอย
ใช้ยาแก้พิษกับเย้นหว่านด้วยอารมณ์ดีอย่างมาก
ผ่านไปแค่ครู่เดียว ริมฝีปากที่ม่วงดำของเย้นหว่านก็เริ่มเปลี่ยนมาปกติ ใบหน้าก็ค่อยๆมีสีเลือด
โห้หลีเฉินกะพริบตามองเธอ มองดูเธอสีหน้าดีขึ้น ใจที่เกร็งจนเหมือนใกล้จะขาด จึงค่อยๆผ่อนคลายลง
โชคดี เธอไม่เป็นไรแล้ว
แต่ ท่านฝู้รอง เขาไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่
ตอนแรกอยากจัดการปัญหาเรื่องนี้อย่างนุ่มนวล ตอนนี้ เหอะ ไม่ได้ง่ายอย่างนั้นแล้ว
เย้นโม่หลินมองดูเย้นหว่านถูกถอนพิษแล้ว รู้สึกวางใจไปบ้าง แต่อารมณ์ความรู้สึกก็ไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย
ตรงกันข้าม ยิ่งหนักกว่าเดิม
เขาเลือกที่จะช่วยเย้นหว่านก่อน ก็คือเหลือผลข้างเคียงไวให้กู้จื่อเฟย เธอต้องทนรับกับอะไร เขาไม่รู้
แต่ รู้สึกผิด
ป่ายฉียืนขึ้นจากข้างกายเย้นหว่าน พูดกับโห้หลีเฉินว่า
“พิษของเธอถูกถอนแล้ว แต่ว่ายาพิษนี้รุนแรงมา ร่างกายเธอจะอ่อนเพลียอยู่สักพัก คุณเอาเธอกลับไปห้องข้างๆก่อน ดูแลดีๆ นวดร่างกายให้เธอหน่อย เพื่อให้เลือดชีพจรผ่อนคลาย”
“อืม”
โห้หลีเฉินเดินไปข้างเตียง อุ้มเย้นหว่านขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เดินออกไปข้างนอก
โห้หลีเฉินยังเดินไม่ถึงประตู เย้นโม่หลินก็ทนไม่ไหวรีบเร่งป่ายฉี
“รีบช่วยกู้จื่อเฟย”
“ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องใจร้อน ยังไงก็เสียเวลาทองในการรักษาไปแล้ว ผลข้างเคียงของเธอต้องมีแน่นอน เร็วหน่อยหรือช้าหน่อยก็เหมือนกัน”
คำพูดอันใจเย็นนั้น ทำให้อารมณ์โมโหของเย่นโม่หลินลุกเป็นไฟขึ้นมา โมโหจนอยากซ้อมเขาสักยก
แต่ว่า ซ้อมเขาแล้ว ยิ่งทำให้เสียเวลาการรักษาของกู้จื่อเฟย
เย้นโม่หลินต้องอดกลั้นเอาไว้ กัดฟันพูด “เร็วๆ”
“เห้อ จื่อเฟยผู้น่าสงสาร โดนยาพิษเหมือนกัน แต่กลับถูกทอดทิ้ง ถูกเลือกให้ช่วยทีหลัง”
ป่ายฉีเริ่มถอนพิษไป ก็พูดอย่างถอนหายใจไปด้วย “ถ้าคุณเป็นอะไรไป อีกหน่อยร่างกายไม่ดี เจ็บโน่นเจ็บนี่ ก็ไม่มีคนรับผิดชอบ ไม่มีคนเป็นห่วง น่าสงสารจริงๆ”
คำพูดแต่ละคำนั้น เหมือนดั่งเข็มทิ่มแทงอยู่ในใจของเย้นโม่หลิน
ทำให้ใจของเขาที่รู้สึกผิดอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งราวกับถูกดาบพันเล่มเฉือนคมอยู่ ทั้งหมดทั้งหลายนั้นเขารู้สึกผิดต่อเธอ
เขาเป็นคนทำให้เธอเป็นแบบนี้
เขายินดียอมรับผลลัพธ์ทุกอย่างเอง ขอแค่ให้เธอดีขึ้น
ถึงแม้ยาพิษจะร้ายแรง แต่ท่านฝู้รองก็คิดไม่ถึงว่าทางด้านพวกเขาจะมีหมอเทวดาที่เก่งที่สุดในโลกซ่อนอยู่คนหนึ่ง แค่ชั่วพริบตาเท่านั้น เหมือนดั่งฟื้นคืนชีพจากมือยมบาล ก็ถอนพิษเรียบร้อยแล้ว
กู้จื่อเฟยริมฝีปากเหมือนเย้นหว่าน ค่อยๆกลับคืนมาเป็นสีชมพู
ใบหน้าก็ค่อยๆกลับมามีสีแล้ว จากนั้นก็ค่อยๆแดง……
เย้นโม่หลินจ้องกู้จื่อเฟยไว้ เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเธอ ก็เริ่มรู้สึกวางใจ แต่ยังไม่ได้รู้สึกวางใจเต็มที่ ก็เริ่มกังวลขึ้นอีก
กู้จื่อเฟยสีหน้าไม่ค่อยปกติ
เขาขมวดคิ้วถาม “เธอเป็นอะไรไป?”
ป่ายฉีเก็บกระเป๋ายาพกพาของตัวเองอย่างใจเย็น พูดอย่างเชื่องช้า
“ผลข้างเคียงมั้ง”
“นี่มันผลข้างเคียงอะไรกัน?”
เย้นโม้หลินขมวดคิ้วไว้แน่น ในใจมีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดี
ผลข้างเคียงทั่วไป ส่วนมากจะซ่อนอยู่ในร่างกาย ถึงเวลาจะกำเริบออกมา ผลข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรง ผลกระทบหนัก อันตรายมากหน่อย ถึงจะแสดงอาการให้เห็นทันที