ป่ายฉีไม่รอช้า เขาหยิบขวดเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งดูเหมือนว่าในนั้นจะใส่ของเหลวเอาไว้
โห้หลีเฉินหยิบยา ก่อนจะย่อเอวอันสูงส่งลง จับคางของฝู้หงด้วยมือตัวเอง เสียงดัง “แกร๊ก” ทำให้กรามของเขาหลุดจากข้อต่อ
จากนั้น เขาก็เทขวดยาลงในปากของฝู้หง
“อื้อ อื้ออื้อ!”
ฝู้หงพยายามต่อต้านอย่างสุดความสามารถ แต่เขานั้นเป็นแค่เนื้อบนเขียง เขาไม่สามารถควบคุมของเหลวเหม็นคาวที่ไหลจากหลอดอาหารเข้าไปในท้องได้
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ในที่สุดโห้หลีเฉินก็ปล่อย เขาถึงกับไม่สนใจกรามที่หลุดแล้วหมอบคลานลงกับพื้นรู้สึกผะอืดผะอมขึ้นมาทันที
แต่ของเหลวที่ไหลลงไปในท้องนั้น ราวกับหินที่จมในมหาสมุทร อาเจียนออกมาไม่ได้เลยสักนิด
ฝู้หงตัวสั่นไปทั้งตัวด้วยความกลัวสุดขีด พูดอย่างตะกุกตะกัก
“คุณ คุณให้ผม….ให้ผมกินอะไร? คืออะไร….”
พูดยังไม่ทันจบ ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง ความรู้สึกราวกับมีเปลวไฟลุกโชนแล่นขึ้นมาจากในท้องอย่างรุนแรง
ความเจ็บปวดที่เหมือนจะแผดเผาทุกสิ่ง ทำให้ฝู้หงกุมท้องอย่างเจ็บปวดกลิ้งไปบนพื้น
เขาก็ตระหนักได้อย่างหวาดกลัวและสิ้นหวัง ยานี่มัน คือยาพิษ!
และยังเป็นพิษแรงด้วย!
“ยาถอนพิษ ขอยาถอนพิษ โห้หลีเฉิน เอายาถอนพิษให้ฉันสิ เอาให้ฉัน”
ฝู้หงกรีดร้องด้วยตัวสั่นเทา เขาหมอบคลานเข้าไปหาโห้หลีเฉินอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ใดๆ อีกต่อไป
ความหวาดกลัวถึงขีดสุด เขาได้แต่อ้อนวอน
โห้หลีเฉินกำลังถือผ้าไหมและเช็ดมือที่เพิ่งสัมผัสเขา การเคลื่อนไหวสูงส่งและสง่างาม สำหรับเขา มีเพียงความรังเกียจเดียดฉันท์เท่านั้น
โห้หลีเฉินเดินไปด้านข้างสองก้าวอย่างว่องไว รักษาระยะห่างกับฝู้หง
เขามองเขาอย่างเย็นชา ทำลายความเชื่อมั่นทั้งหมดของฝู้หงด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ยานี้แค่เป็นยาที่สกัดออกมาจากยาพิษที่นายเคยใช้และเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นสิบเท่าเท่านั้นเอง ทำให้ความเจ็บปวดรุนแรงขึ้นและไม่สลบ
ยาถอนพิษนายก็มีไม่ใช่เหรอ กินของตัวเองไปสิ”
ฝู้หงเบิกตากว้างด้วยความงงงัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและไม่อยากเชื่อ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงกระแสความร้อนที่พุ่งมาถึงลำคอ
มันคือเลือด
พิษของเขามีอาการทั้งหมดที่เขารู้สึกในตอนนี้จริงๆ แต่อย่างที่โห้หลีเฉินพูด พิษนั้นร้ายแรงขึ้นสิบเท่า!
พิษแบบเดียวกัน เมื่อผ่านการปรับปรุงประสิทธิภาพแล้ว ยาแก้พิษแบบเดิมนั้นจะไม่มีผลใดๆ เลยแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้นยาพิษที่เขาให้คนปรุงขึ้นมา ก็ยิ่งรู้ดีว่าพิษนี้สามารถคร่าชีวิตให้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง พิษนั้นรุนแรงมาก
ยาถอนพิษชุดนั้นของเขาปรุงขึ้นมาอย่างยากลำบาก แต่พิษที่แรงขึ้นสิบเท่า น่ากลัวว่ามันจะไม่มียาถอนพิษเลย
“ไม่นะ ไม่ ฉันยังไม่อยากตาย ฉันไม่อยากตาย”
ฝู้หงหวาดกลัวจนถึงขีดสุด เขาไม่สนใจความเจ็บปวดบนร่างกายแล้วตะเกียกตะกายไปที่เท้าของโห้หลีเฉินอย่างบ้าคลั่ง
น้ำเสียงขอร้องอ้อนวอน “คุณโห้ ผมผิดไปแล้ว ผมไม่สมควรวางยาพิษคุณหนูทั้งสองท่านอย่างเด็ดขาด ต่อจากนี้ไปผมไม่กล้าแล้ว คุณสามารถลงโทษผมได้ตามใจชอบ ทรัพย์สินทั้งหมดของฉันก็ให้คุณได้หมด ได้โปรด ได้โปรดไว้ชีวิตผมด้วยเถอะ”
เมื่อมองไปยังผู้ชายที่เหมือนหมาจนตรอกคนนั้น โห้หลีเฉินก็ไม่เกิดความสนใจใดๆ ในตัวเขาอีก
ได้รับการยกย่องว่าเป็นท่านรองแล้วมันยังไง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย ก็เป็นคนขี้ขลาดเช่นนี้
“ไปเถอะ อย่าให้เขามาแปดเปื้อนดวงตาของเธอเลย”
โห้หลีเฉินยื่นมือไปโอบเย้นหว่านไว้ในอ้อมแขน น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน
เย้นหว่านเองก็ไม่อยากเห็นฝู้หงทุรนทุราย สภาพนั้นมันช่างน่าเวทนาจริงๆ
ในเมื่อได้รับค่าตอบแทนที่สมควรแล้ว และก็ไม่จำเป็นที่จะให้เธอสนใจต่อไป
เย้นหว่านพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินตามโห้หลีเฉินออกไป
เธอเดินไปพลางเอ่ยถาม “นายคิดจะจัดการยังไงกับคนอื่นๆ เหรอ?”
นอกจากผู้ชายสามคนที่ถูกควบคุมไว้ในห้องส่วนตัวแล้ว ยังมีผู้ควบคุมคอมพิวเตอร์อีกสิบกว่าคนในห้องลับ
เธอไม่รู้แน่ชัดว่าพวกเพียงแค่ทำงานอย่างบริสุทธิ์ หรือเป็นคนช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญอยู่ข้างเดียวกับฝู้หง
โห้หลีเฉินนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้จึงพูดขึ้นว่า
“โทษไม่ถึงตาย งั้นก็ทรมานให้เต็มที่ซะ”
พูดคำพูดที่ทำให้คนสั่นสะท้านด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
ทรมานให้เต็มที่?
เมื่อมองฝู้หงที่ร่วงจากหิ้งลงสู่พื้น สภาพเหมือนหมาจนตรอก การทรมานนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้หวั่นกลัวได้แล้ว
พ่อบ้านคำรามลั่น
“โห้หลีเฉิน แกจะทำอย่างนี้ไม่ได้ อวดดีนัก! ถึงแกจะเป็นเจ้าแห่งเมืองหนาน แต่สำหรับอิทธิพลต่อจีน แกก็แค่หนึ่งสิ่งที่เล็กน้อยมากในนั้นเท่านั้นเอง!
ต่อให้เป็นตระกูลโห้ก็ชดใช้ไม่ไหว! ถ้าแกกล้าฆ่าท่านรองล่ะก็ ฉันกล้ารับประกันเลยว่าตระกูลฝู้จะไม่ปล่อยแกไว้แน่ ไม่เกินหนึ่งเดือน โห้ถิงรวมไปถึงคนรอบตัวแกทุกคนจะต้องพินาศย่อยยับ!”
มันคือการเตือน และข่มขู่ด้วยเช่นกัน
ทว่า โห้หลีเฉินนั้นไม่สนใจสักนิด เขายังจะกลัวตระกูลตระกูลหนึ่งอีกงั้นเหรอ?
เขาไม่สนใจพ่อบ้านที่ร้องตะโกนคนนั้น แล้วโอบเย้นหว่านเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
แผ่นหลังกว้างองอาจห้าวหาญไร้ซึ่งความเกรงกลัว
และนำมาซึ่งความสิ้นหวัง
ไม่ว่าจะเป็นฝู้หงที่ดิ้นรนหรือพ่อบ้านก็ล้วนตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขานั้นหมดทางรอดแล้วจริงๆ
แต่เย้นหว่านกลับฟังคำพูดของพ่อบ้าน
เธอใคร่ครวญอยู่เล็กน้อยแล้วพูดขึ้น
“เหมือนพ่อบ้านคนนั้นจะรู้อะไรอยู่มากและคงจะเข้าใจเกี่ยวกับตระกูลฝู้มากด้วย นายกำลังพยายามบังคับให้เขาสารภาพที่ตั้งของตระกูลฝู้ใช่ไหม?
ถ้าเป็นอย่างนั้น อาจจะได้คำตอบเร็วขึ้น
โห้หลีเฉินส่ายหน้า น้ำเสียงราบเรียบ
“เขาผ่านการฝึกมาอย่างมืออาชีพ ฝู้เหวยข่ายปกปิดเบื้องหลังของตัวเองมาตลอด พ่อบ้านคนนี้เองก็คงไม่เปิดปากออกมาง่ายๆ หรอก แทนที่จะเสียเวลามาทรมานเขาเพื่อให้ได้ข้อมูล สู้รอให้ข้อมูลปรากฏคำตอบออกมาดีกว่า”
มันจะเร็วกว่า
ฟังดูแล้วก็มีเหตุผล แต่เย้นหว่านที่กำลังมองโห้หลีเฉินนั้นกลับมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกว่า นั่นเป็นเพียงเหตุผลเล็กน้อยข้อหนึ่งเท่านั้น
แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็นั้น เขาทำลายล้างจิตใจของพวกฝู้หงจนสิ้นซากโดยที่ไม่ถามอะไรและไม่อย่างรู้อะไรทั้งนั้น
นั่นคือการตัดสินใจแน่วแน่ เป็นการแก้แค้นโดยเฉพาะที่ไร้การปรึกษาหารือใดๆ
พูดไป ทั้งหมดก็เพื่อเธอทั้งนั้น
เย้นหว่านอารมณ์อ่อนไหว เธอขยับเข้าไปกอดแขนของโห้หลีเฉินเอาไว้ด้วยความตื้นตันใจ เธอเอ่ยอย่างนุ่มนวล
“โห้หลีเฉิน ฉันโล่งใจมากเลยที่มีนายอยู่ข้างๆ ”
เธอสามารถกลายเป็นเจ้าหญิงที่ไร้กังวลและได้รับการปกป้องจากปีกกว้างของเขาได้จริงๆ
โห้หลีเฉินรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ส่งมาจากแขน มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ความเกลียดชังที่เหลืออยู่ในร่างกายของเขาหายไปในพริบตา
เขาเองก็ต้องมีเธออยู่ข้างๆ ถึงจะรู้สึกสงบใจได้โดยสมบูรณ์
“หิวรึยัง? อยากกินข้าวเช้าไหม?”
โห้หลีเฉินถามอย่างอ่อนโยน
เมื่อถามขึ้น เย้นหว่านจึงนึกขึ้นได้ เดิมทีเธอก็ตื่นมาเพื่อกินอาหารเช้าแต่เพราะเจอกับกู้จื่อเฟยเข้า จึงปล่อยเลยมาจนถึงตอนนี้
เธอเริ่มรู้สึกท้องหิวขึ้นมาจริงๆ แล้ว
เธอพยักหน้าแล้วหันไปตะโกนเรียกกู้จื่อเฟยที่ยังยืนอยู่ในห้องพิเศษ
“จื่อเฟย เธออยากไปกินข้าวเช้าด้วยกันไหม?”