แต่ละคำถามนั้น เย้นโม่หลินดื่มเหล้าพลางและตอบอย่างเปิดเผยทุกข้อ
ด้วยคำถามเหล่านี้ อคติโดยธรรมชาติที่อยู่ในใจของกู้หรงกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
และในที่สุดก็ได้ข้อสรุปหนึ่งข้อ เย้นโม่หลินนั้นแตกต่างจากลูกเศรษฐีหรือผู้มีอำนาจคนอื่นๆ ตรงกันข้าม เขามีทุกอย่างแต่กลับบริสุทธิ์มาก
มีความจริงใจต่อผู้คน
ในด้านของความรู้สึก ก็เหมือนกับเด็กวัยรุ่น ใสสะอาดเหมือนกับกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง
ผู้ชายแบบนี้อาจพบได้ในหมู่เด็กหนุ่มวัยรุ่น แต่ก็กลับยังเด็กเกินไปไม่ประสีประสา เท่ากับนิสัยที่แท้จริงยังไม่แน่นอน
แต่เย้นโม่หลินกลับผ่านทุกอย่างมาหมดแล้ว ถึงกับเป็นถึงหนึ่งในราชาแห่งชัยชนะ ในเรื่องนี้เขาก็ไร้ที่ติอยู่แล้ว
ในแง่ของนิสัยและอาชีพที่สมบูรณ์แบบ แต่กลับมีความรู้สึกบริสุทธิ์ของวัยรุ่น ผู้ชายแบบนี้หายากยิ่งกว่าหนุ่มโสดผู้เพียบพร้อมเสียอีก
ล้ำค่ายิ่งกว่า
เขาจึงเพิ่งรู้สึกได้ในที่สุด หากกู้จื่อเฟยได้อยู่กับเย้นโม่หลินจะเป็นโชคดีขนาดไหน
ต่อให้เย้นโม่หลินไม่รักคุณ ด้วยนิสัยของเย้นโม่หลินก็จะต้องทำให้กู้จื่อเฟยมีความสุขไปตลอดชีวิตแน่นอน
แต่ตอนนี้….
กู้หรงกึ่งเมากึ่งตื่น แต่กลับถามอย่างต่อเนื่อง
“คุณรักเธอไหม?”
“ไม่รักครับ”
เย้นโม่หลินพูดอย่างไม่มีความลังเลและมุมปากกลับประดับยิ้ม “ผมแค่ชอบอยู่ด้วยกันกับเธอ ตอนที่มีเธออยู่ ไม่ว่าเธอจะทำอะไรผมก็รู้สึกเจริญตาไปหมด อารมณ์เองก็จะดีมากด้วย
ผมชอบมองกู้จื่อเฟยยิ้ม อยากจะปกป้องเธอ และผมสามารถชอบแบบนี้ต่อไปได้เสมอ”
ขณะเย้นโม่หลินกำลังพูด สายตาค่อนข้างพร่ามัว แววตาย้อมไปด้วยความเจ็บปวด
ตอนแรกที่อยู่ชายทะเล เขาทำร้ายกู้จื่อเฟยด้วยคำพูดโหดร้ายแบบนั้น ตั้งแต่นั้นมาเป็นเวลานาน เขาก็ไม่เคยเห็นรอยยิ้มของกู้จื่อเฟยอีกเลย
สำหรับเขาแล้ว ช่วงเวลาแบบนั้นมันเหมือนกับตกนรกเลยทีเดียว
เขาไม่อยากจะเจอเป็นครั้งที่สองอีก
เพราะฉะนั้นเขาจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อปกป้องรอยยิ้มของเธอ
กู้หรงมองตรงไปยังเย้นโม่หลิน จากรอยยิ้มในแววตาของชายหนุ่มก็ยิ่งเห็นถึงความคิดหัวใจของเขาอย่างชัดเจน
ไร้ซึ่งความเท็จเลยแม้แต่น้อย ทั้งหมดเป็นความจริง
คนเมามักพูดความจริง เขาจะไม่โกหก
ในที่สุดหัวใจของกู้หรงก็สงบลง การมอบกู้จื่อเฟยให้เขาคงไม่ผิดแล้วล่ะ
เมื่อภรรยาของเขากลับมาจากต่างประเทศ เธอจะต้องพอใจกับการตัดสินใจของเขาอย่างแน่นอน
“มาเถอะ ฉันมีความสุข วันนี้ไม่เมาไม่เลิก”
กู้หรงยกแก้วไวน์ขึ้นสูง
เย้นโม่หลินดื่มไปเยอะมาก แต่เขาไม่อาจปฏิเสธได้จึงชนแก้วกับกู้หรงอย่างว่องไว
เช้าของวันถัดมา
ในห้องอาหาร เย้นหว่าน โห้หลีเฉิน กู้จื่อเฟยและป่ายฉีต่างมาถึงกันหมดแล้ว แต่กู้หรงที่ปกติจะมาเร็วที่สุดและเย้นโม่หลินที่จะปรากฏตัวอย่างตรงเวลาแทบไม่ต่างกันนั้น กลับไร้ซึ่งเงาร่างของทั้งสอง
พวกเขาล่ะ?
ทุกคนต่างสับสนกันเล็กน้อย เธอมองฉัน ฉันมองเธอ
“จื่อเฟย คุณพ่อของเธอล่ะ? เธอต้องโทรไปถามสักหน่อยรึเปล่า?”
กู้จื่อเฟยพยักหน้า กู้หรงรักษาเวลามาตลอด วันนี้ไม่มาแถมยังไม่ได้ทักทายกันเลย มันค่อนข้างผิดปกติจริงๆ
ในเวลาเดียวกันนั้น เธอก็มองที่นั่งฝั่งตรงข้ามของเย้นโม่หลินอย่างเป็นกังวล
เมื่อคืนเธอส่งข้อความหาเขา จนตอนนี้เขายังไม่ตอบกลับเลย เธอรู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น
เธอไม่สบายใจขึ้นมาจากจิตใต้สำนึก เอาแต่คิดว่าเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น
“ตู๊ดๆๆ …..”
โทรศัพท์ดังอยู่หนึ่งนาทีจนมันตัดสายเองก็ยังไม่มีคนรับสาย
กู้จื่อเฟยต่อสายอีกครั้ง ก็ยังไม่มีคนรับ
กู้จื่อเฟยถือโทรศัพท์มือถือด้วยความกังวล “พ่อฉันไม่รับสาย” นั่นแทบจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้น้อยมากๆ
เย้นหว่านเองก็วางมือถือลง คิ้วขมวดเล็กน้อย
“พี่ชายฉันก็ไม่รับสายเหมือนกัน”
บรรยากาศพลันเคร่งเครียดขึ้นมาทันใด
เมื่อวานกู้หรงได้ปฏิเสธเรื่องการคบหากันของเย้นโม่หลินและกู้จื่อเฟย ทุกคนเองก็เห็นกับตา นี่ก็เพิ่งผ่านมาคืนเดียว พวกเขาสองคนก็หายตัวไปพร้อมกันพอดิบพอดี
“หรือว่า….” เย้นหว่านยืนขึ้นอย่างแตกตื่น “พวกเขาจะนัดดวลกันรึเปล่า?”
กู้จื่อเฟยหน้าซีดทันที เธอตื่นตระหนกอย่างมาก
นัดดวล?
พระเจ้า ไม่กล้าคิดเลย พ่อของเธอตาแก่นั่นไม่มีทางสู้เย้นโม่หลินได้แน่
แต่เย้นโม่หลินนั้นเพื่อเอาใช่ว่าที่พ่อตา เขาอาจจะไม่ลงมือเลยแล้วปล่อยให้กู้หรงตีเขาตามใจชอบก็ได้
กู้จื่อเฟยสะอื้นไห้อย่างเจ็บปวดใจ “ฉัน ฉันไปจะหาพวกเขาเดี๋ยวนี้”
เย้นหว่านรีบจับกู้จื่อเฟยเอาไว้ “เธอไม่รู้เสียหน่อยว่าพวกเขาอยู่ไหน แล้วจะไปหายังไงเล่า? ถามป้าหวางเถอะ”
ตอนนั้นกู้จื่อเฟยจึงใจเย็นลงเล็กน้อย เธอรีบยืนขึ้นแล้ววิ่งไปหาป้าหวาง
เย้นหว่านรีบตามไป
โห้หลีเฉินที่วางแผนจะมากินอาหารเช้ามองทั้งสองที่เดินจากไปก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เย้นหว่านไม่กินข้าวเช้าอีกแล้ว
เขาสั่งกับสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ เสียงขรึม “เก็บอาหารให้อุ่นไว้”
“ค่ะ คุณให้”
ป่ายฉีมองไปที่โห้หลีเฉินด้วยแววตาอ่อนๆ แล้วพูดติดตลก
“ดูเหมือนสถานการณ์นี้จะมีละครฉากใหญ่นะ นายจะไปดูไหม?”
ละคร?
เขาไม่สนใจหรอก เขาต้องการดูแลเย้นหว่านต่างหาก
โห้หลีเฉินไม่ตอบ เขาเพียงแค่ยืนขึ้นแล้ววิ่งไปยังทิศทางที่เย้นหว่านไป
คนไปกันหมดแล้ว ป่ายฉีเองก็ไม่มีใจจะนั่งกินอาหารเช้าคนเดียวเช่นกัน เขายิ่งอยากดูว่าเช้านี้จะมีละครสนุกๆอะไรขึ้นแสดงรึเปล่า
เขาลุกขึ้นด้วยรอยยิ้มร่าแล้วเดินตามไปอย่างสบายๆ
กู้จื่อเฟยป้าหวางเจออย่างรวดเร็ว จากที่รู้มาจากป้าหวางว่าคุณท่านอยู่ที่ห้องหนังสือตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ยังไม่ได้ออกมาเลย
ตอนกลางคืน เย้นโม่หลินไปหาเขา ตอนนี้ก็ยังไม่ออกมาเหมือนกัน
ตอนเช้าป้าหวางไปเคาะประตูเรียกให้มาทานอาหารเช้าแล้ว ก็ไม่มีใครตอบรับ
เพราะกฎเมื่อก่อนของบ้าน เมื่อเรียกไปครั้งหนึ่งแล้วจะไม่สามารถรบกวนต่อไปได้ เธอเองจึงไม่ได้เรียกต่ออีก
จนกระทั่งกู้จื่อเฟยมาหาอย่างรีบร้อน ป้าหวางเองก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
“ตั้งแต่คุณท่านกลับมาจากสวนดอกไม้เมื่อคืน เขาก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่พอใจเรื่องของหนูกับคุณชายเย้นอย่างมาก แต่กลับไม่สามารถโน้มน้าวหนูได้อีก
เขาอยู่กับคุณชายเย้นในห้องหนังสือทั้งคืน บางทีอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ได้”
คำพูดของป้าหวาง ทำให้จิตใจที่เป็นกังวลอยู่แล้วของกู้จื่อเฟยขึ้นมาห้อยต่องแต่งอยู่ที่ลำคอทันที
กู้หรงคือพ่อของเธอ เย้นโม่หลินคือแฟนหนุ่มของเธอ หากเกิดอะไรขึ้นกับใครในพวกเขาสองคน เธอก็รับไม่ไหวทั้งนั้น
กู้จื่อเฟยไม่คิดเลยว่าเพียงแค่เปิดเผยความสัมพันธ์ มันจะทำให้มาถึงจุดที่ร้ายแรงขนาดนี้
เธอทั้งเสียใจและหวาดกลัว วิ่งไปยังห้องหนังสือด้วยความตื่นตระหนก
เย้นหว่านขมวดคิ้วอย่างเป็นห่วง เธอวิ่งไปพูดปลอบไปด้วย
“จื่อเฟย ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก คุณอากู้กับพี่ฉัน ไม่ใช่คนไร้เหตุผลที่หุนหันพลันแล่น”
ตามปกติแล้วเป็นแบบนั้น แต่สถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าทั้งสองคนโกรธจนขาดสติล่ะ?
ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเพราะเธอ กู้จื่อเฟยจะไม่มีทางให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต
เธอยิ่งคิดก็ยิ่งสับสนวุ่นวาย แทบจะวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดในชีวิต
เย้นหว่านไล่ตามอยู่ข้างหลัง เธอไล่ไม่ทันเลย ระยะห่างระยะทั้งสองไกลออกไปอย่างมองเห็นได้
เย้นหว่านหอบฮัก “จื่อเฟย ช้าๆ หน่อย ระวังขั้นบันไดด้วยนะ”