“นายน้อย สิ่งที่อยู่ภายในคลังสมบัตินั้นเป็นความลับสุดยอด นอกจากผู้อาวุโสอย่างพวกเราไม่กี่คนนั้น ก็ไม่สามารถปล่อยให้บุคคลอื่นๆเข้าไปสำรวจได้ ด้านในไม่ได้มีเพียงแค่เอกสาร แต่ยังมีของล้ำค่าต่างๆที่จำเป็นต้องขนย้ายออกมา ถึงตอนนั้นก็ต้องการทั้งกำลังคนและพละกำลังเช่นกัน
แม้ว่าผมจะไม่ค่อยเข้าใจคำพูดคำจาที่เป็นทางการพวกนั้น แต่ผมมีพละกำลัง เมื่อเข้าไปแล้วก็สามารถช่วยขนย้ายสิ่งของได้
ดังนั้นการที่ผมเข้าไปนั้นมีประโยชน์เป็นอย่างมาก เป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้ นายน้อยว่าใช่หรือไม่”
หยูสือมองโห้หลีเฉินด้วยสายตาเป็นประกาย เอ่ยวาจาที่ดูจริงใจเป็นพิเศษ
ภายใต้ความซื่อสัตย์โอบอ้อมอารีนั้น กลับแอบซ่อนการกล่าวเตือนและความสวามิภักดิ์เอาไว้เป็นการส่วนตัว
หยูสือไม่ได้ไปขอร้องหยูฉู่สองต่อ แต่กลับมาพูดกับโห้หลีเฉิน และใช้นามของท่านอาวุโสรองในการยอมรับโห้หลีเฉินในตำแหน่งนายน้อย
ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นเพราะว่าเขาเป็นผู้ดูแลควบคุมอำนาจทางการทหารของตระกูลหยู และมีอำนาจที่แท้จริง ถ้าหากว่าภายภาคหน้ามีประโยชน์ ก็จะสามารถช่วยเหลือโห้หลีเฉินได้มากอย่างแน่นอน
หยูฉู่สองเห็นว่าชั่วประเดี๋ยวเดียวหยูสือก็เอ่ยกับโห้หลีเฉินเช่นนี้ จึงมีสีหน้าทะมึน เพลิงโทสะในอกพุ่งสูง
ผู้นำตระกูลเขายังอยู่นะ เขาจะยอมรับผู้นำคนถัดไปแล้วหรือ?
หยูฉู่สองเอ่ยเสียงเข้ม
“ตอนนี้เพียงแค่เข้าไปดูเอกสารเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายอะไร ไม่จำเป็นต้องใช้พละกำลังของคุณ คุณไม่ต้องเข้าไปหรอก”
เป็นอีกครั้งที่กล่าวปฏิเสธข้อเสนอแนะของหยูสือ
ภายในท้องหยูสือยิ่งเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ เดิมก็ไม่ค่อยพอใจต่อการครองความเป็นใหญ่ของหยูฉู่สองอยู่แล้ว ตอนนี้จึงยิ่งไม่สบอารมณ์มากกว่าเดิม
เขากำลังหงุดหงิดว่าควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี ในตอนนั้นก็ได้ยินน้ำเสียงที่สง่างามของโห้หลีเฉินที่ดังขึ้นอย่างไม่รีบร้อน
“ผมถูกใจหยกเจ้าแม่กวนอิมองค์หนึ่ง คิดว่าจะนำออกมาเป็นสินสอดในครั้งนี้ ในเมื่อท่านอาวุโสรองมีพละกำลังมาก ก็รบกวนช่วยผมย้ายออกมาหน่อยแล้วกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยูสือก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที สายตาที่มองโห้หลีเฉินก็มีความเมตตากรุณาเจืออยู่ด้วย
เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ มีคุณธรรมอยู่
เขารีบเอ่ยขึ้นด้วยความดีอกดีใจทันทีว่า “วางใจเถอะ ยกให้เป็นหน้าที่ผม คลังสมบัติของพวกเราตระกูลหยูล้วนเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากบนโลกใบนี้ เดี๋ยวผมจะย้ายของล้ำค่าสักหลายชิ้นออกมาเพื่อมอบให้เป็นสินสอดแก่ตระกูลเย้น”
โห้หลีเฉินยิ้มโดยไม่เอ่ยอะไร
หยูฉู่สองหน้าตึง เกือบจะทนไม่ไหวด่าคนออกมาแล้ว
ของล้ำค่าภายในคลังสมบัติ เขายังไม่ได้ทำข้อมูลรวบรวมว่ามีเท่าใด หยูสือก็กล้าที่จะคิดเองเออเองแล้วมอบให้กับผู้อื่นเสียแล้ว
นี่เป็นการแสดงออกว่าตัวเขาเหมือนกับผู้นำตระกูลยิ่งกว่า
หยูสือมองหยูฉู่สอง พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า
“ท่านผู้นำตระกูล ท่านไม่เห็นด้วยหรือ”
หยูฉู่สอง “…” ภรรยาของหลานชายปู่ยังอยู่ตรงนี้ เขาสามารถเอ่ยวาจาออกมาว่าไม่เห็นด้วยเพราะอาลัยอาวรณ์ของล้ำค่าพวกนี้ได้ด้วยหรือ
“แน่นอนว่าเห็นด้วย เคลื่อนย้ายของล้ำค่าออกมามากหน่อย”
หยูฉู่สองแสร้งทำเป็นยิ้ม พลางเอ่ยขึ้น
เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้แล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ยินยอม แต่ก็ยังต้องให้หยูสือตามเข้าไปในคลังสมบัติด้วย
และเมื่อผ่านเรื่องนี้ไป เดิมหยูสือที่ไม่ได้เชื่อฟังคำสั่งเขา 100% ก็เกรงว่าหลังจากนี้คงจะยิ่งไม่เชื่อฟังเขาแล้ว
หยูฉู่สองจิตใจหนักอึ้ง กลิ่นอายความโหดเหี้ยมลอยอบอวล
ท่ามกลางกลุ่มคน ท่านอาวุโสเจ็ดมองท่านอาวุโสแปดที่อยู่ข้างกาย พลางเอ่ยถามว่า
“ไอ้แปดคุณไม่ไปหรือ”
ท่านอาวุโสแปดนั้นเยาว์วัยที่สุดในหมู่พวกเขา อายุ 30 ปี เป็นผู้ใหญ่ที่รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา แต่หว่างคิ้วกลับเต็มไปด้วยความมืดมนอย่างคนคิดไม่ตก
เขาส่ายหน้า “ผมไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไม่ไปครับ”
ไปแล้วก็เป็นการทำให้ตัวเองอับอายเท่านั้น
เขาเด็กที่สุด อำนาจน้อย ทั้งยังไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหยูฉู่สอง หลายปีมานี้ก็พบว่าถูกอิทธิพลของผู้อาวุโสท่านอื่นๆกดดันและบีบคั้นขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะไร้ซึ่งตำแหน่งผู้อาวุโสแล้ว
ท่านอาวุโสเจ็ดมองท่านอาวุโสแปดยิ้มๆ และไม่ได้เอ่ยพูดอะไรต่อ
บุคคลที่ถูกคัดเลือกก็ถูกกำหนดเอาไว้เช่นนี้
ผู้อาวุโสหลายท่านที่จะเข้าไปรีบไปเตรียมตัวกันอย่างรวดเร็ว ทุกคนล้วนนัดกันว่าอีกครู่หนึ่งจะมารวมตัวกัน
ผู้คนล้วนแยกย้ายกันไปแล้ว
โห้หลีเฉินหันหน้าไปเอ่ยกับเย้นหว่าน
“ผมต้องเข้าไปในคลังสมบัติสักช่วงเวลาหนึ่ง อาจจะยุ่งมาก คุณอยู่ข้างนอกตัวคนเดียวได้ไหม”
เย้นหว่านเคยเข้าไปในคลังสมบัติ สามวันมานี้ล้วนอยู่เป็นเพื่อนโห้หลีเฉินตลอด
แต่คราวนี้ผู้อาวุโสตระกูลหยูต้องการจะเข้าไปจัดการเอกสารซึ่งมีความเกี่ยวพันไปถึงความลับของตระกูลหยู เธอจึงควรจะหลบเลี่ยงไป
เย้นหว่านพยักหน้าให้อย่างเอาใจใส่ “ไม่เป็นไรค่ะ คุณไปทำงานของคุณเถอะ ฉันจะรอคุณอยู่ข้างนอก”
“ผมจะพยายามจัดการให้เรียบร้อยโดยเร็วแล้วออกมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำของโห้หลีเฉินชวนหลงใหล ทำให้คนคิดถึงอาลัยอาวรณ์
เย้นหว่านไม่รู้ว่าเขาต้องเข้าไปนานเท่าไร คนยังไม่ทันจะไป เธอกลับเริ่มคิดถึงเขาเสียแล้ว
เธอกัดริมฝีปาก พยักหน้า
ไม่เปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกอะไรให้เขาต้องเป็นห่วงและกังวล
โห้หลีเฉินลูบเส้นผมของเย้นหว่าน เขาไม่ได้จากไปในทันที แต่มองไปยังป่ายฉีที่อยู่อีกด้าน
เป็นเพราะเมื่อครู่นี้ผู้อาวุโสตระกูลหยูเข้ามา ในฐานะที่ฝู้ยวนเป็นคนนอกจึงออกไปแล้ว
ที่นี่จึงมีเพียงแค่ป่ายฉีคนเดียว
โห้หลีเฉินแววตาเข้มคมกริบ เขาถามว่า
“ฝู้ยวนเป็นอย่างไรบ้าง”
แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่คำง่ายๆไม่กี่คำ ป่ายฉีกลับเข้าใจว่าสิ่งที่โห้หลีเฉินถามหมายความว่าอะไร
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และตอบคำถามด้วยความจริงจัง
“จากสภาพการณ์ในตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ดูท่าว่าหวาดกลัวต่ออำนาจของพวกเราจริงๆ และยังนำสารานุกรมทางการแพทย์ทั้งหมดออกมาแบ่งปันด้วย เขาชื่นชอบในสมุนไพรจริงๆ เป็นคนที่ลุ่มหลงในการแพทย์คนหนึ่ง
สารานุกรมทางการแพทย์ฉันก็เคยตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ไม่พบร่องรอยการปรับเปลี่ยนแก้ไขอะไร คำอธิบายด้านบนล้วนเป็นเรื่องจริง สำหรับเรื่องที่ฝู้ยวนรู้ เขาล้วนพูดออกมาทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง”
ป่ายฉีพูดแล้วก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสรุปว่า “บางทีพวกเราอาจจะคิดมากเกินไปจริงๆ จึงเข้าใจเขาผิดไป”
โห้หลีเฉินเม้มริมฝีปากบาง แววตาสีนิลดำครุ่นคิด
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า
“สารานุกรมทางการแพทย์นั้นไม่เลวเลย นายก็อาศัยช่วงเวลานี้ในการคบหาสมาคมกับเขา และอ่านเนื้อหาภายในสารานุกรมทางการแพทย์ให้เยอะหน่อย”
สามารถเรียนรู้ได้เท่าไรก็เท่านั้น
ไม่สามารถกระทำเรื่องอย่างการฆ่าคนและปล้นเอาทรัพย์สินไปกับฝู้ยวนได้
ป่ายฉีเบะปากอย่างไม่พอใจ “โทษของการเห็นอกเห็นใจ ถ้าไม่ใช่ว่าพวกนายติดค้างน้ำใจเขา ฉันก็ไม่จำเป็นต้องกังวลจนไม่กล้าทำอะไร พวกนายติดค้างน้ำใจฉันอีกครั้งหนึ่งแล้ว จำเอาไว้ด้วยว่าต้องคืนในภายหลัง”
โห้หลีเฉินสีหน้าเย็นชา ไม่สนใจป่ายฉีที่พูดพล่ามอยู่
โห้หลีเฉินนำกลุ่มคนตระกูลหยูไปยังคลังสมบัติอีกครั้ง
เย้นหว่านนั่งเล่นอยู่ในห้องของปราสาท รอจนโห้หลีเฉินออกมาแล้วค่อยไปจัดการเรื่องสู่ขอแต่งงานกับครอบครัวเธอ
เมื่อคิดได้ว่าเจ็ดวันหลังจากนี้จะต้องกลับบ้านไปเจอคุณพ่อคุณแม่ เพื่อกำหนดเรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานของตัวเอง เย้นหว่านก็เบิกบานใจเป็นอย่างมาก
“ก๊อกๆๆ”
เสียงเคาะประตูที่ไม่ดังและไม่เบาดังขึ้น
เย้นหว่านที่กำลังคิดเพ้อฝันอย่างมีความสุขอยู่นั้นจึงได้สติกลับมาทันที รีบจัดท่าทางการนั่งบนเก้าอี้ให้เรียบร้อย ค่อยเอ่ยขึ้นว่า “เข้ามาได้ค่ะ”
ประตูห้องถูกเปิดออก คนที่เข้ามานั้นทำให้เย้นหว่านประหลาดใจอยู่บ้าง
ไม่ใช่สาวใช้ที่นำขนมหวานหรือน้ำชายามบ่ายมาเสิร์ฟ แต่กลับเป็นท่านอาวุโสแปดที่อ่อนวัยที่สุด
ใบหน้าของเขาประดับไปด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงเต็มไปด้วยมิตรไมตรี
เอ่ยว่า “คุณเย้น รบกวนแล้ว เนื่องจากผมเป็นผู้รับผิดชอบจัดเตรียมเรื่องที่ต้องจัดการในงานแต่งงานของคุณ ดังนั้นจึงมาสอบถามคุณว่า สำหรับการจัดการในงานแต่งงานนั้น มีเงื่อนไขอะไรไหมครับ?”
เย้นหว่านตะลึงค้าง และมึนงงเล็กน้อย
เธอคิดไม่ถึงว่าท่านอาวุโสแปดท่านนี้จะเป็นคนมาถามเรื่องนี้ นั่นก็หมายความว่า การจัดการเรื่องงานแต่งงานของเธอ จะมีท่านอาวุโสแปดเป็นผู้จัดการด้วยตนเอง?
เธอต้องการงานแต่งงานแบบไหนก็บอกเขา
แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ เดิมไม่ควรเป็นโห้หลีเฉินที่ต้องปรึกษาและจัดการกับเธอหรอกหรือ หากเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่าโห้หลีเฉินจะไม่ได้เข้าร่วมใดๆในทุกขั้นตอน เพียงแค่เข้าร่วมเป็นฝ่ายเจ้าบ่าวในงานแต่งงานตอนท้ายเท่านั้น?
ในใจของเย้นหว่านอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อยในทันที…