ด้วยใจที่เต้นตึกตักเหมือนมีกระต่ายน้องวิ่งเล่นอยู่ในใจ เย้นหว่านเดินไปที่คลังสมบัติด้วยความประหม่าและตื่นเต้น
เธอมองเห็นชายหนุ่มที่แช่น้ำอยู่ในบ่อและเรียกพร้อมรอยยิ้ม
“โห้หลีเฉิน ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกคุณ”
เธอเดินไปพร้อมกับกล่องอาหารกลางวันอย่างมีความสุข วางมันลงบนโต๊ะข้างๆ แล้วเปิดมันทีละกล่อง
แต่น่าประหลาดใจ หลังจากที่เธอพูดไปครู่หนึ่งโห้หลีเฉินกลับไม่ตอบสนองเธอโดยไม่คาดคิด
นี่เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น
ทุกครั้งไม่ว่าเธอจะพูดอะไร โห้หลีเฉินจะตอบรับเธอในทันทีแล้วยิ่งถ้าเธอบอกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญด้วยแล้ว
เย้นหว่านงุนงง และเธอไม่สนใจที่จะจัดวางอาหารอีกต่อไป เธอหันหน้าไปมองที่โห้หลีเฉิน เธอรู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าโห้หลีเฉินหลับตาและขมวดคิ้วแน่นราวกับว่ากำลังทนความเจ็บปวดอยู่
และใบหน้าของเขาภายใต้ไอน้ำเบาบางนั้นไม่มีเลือดฝาดเลยแม้แต่น้อย มีแต่ซีดขาวและน่ากลัว
เย้นหว่านตกใจรีบวิ่งไปที่บ่อและนั่งลง “โห้หลีเฉิน คุณเป็นอะไรน่ะ?”
เธอยื่นมือไปแตะไหล่เขา และพบเพียงว่าร่างกายของเขาแข็งเหมือนเหล็ก ซึ่งผิดปกติมาก
เย้นหวานยิ่งกระวนกระวาย “โห้หลีเฉิน คุณอย่าทำให้ฉันกลัวสิ คุณไม่สบายตรงไหน? คุณบอกฉันสิ คุณลืมตามองฉันสิ”
เสียงของเธอเกือบจะสั่นสะท้านและหวาดกลัว
มือเล็กๆ สั่นเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับว่าใช้กำลังทั้งร่างกายเขย่าโห้หลีเฉิน
แต่แรงของเธอกลับไม่สามารถจะขยับร่างสูงใหญ่ดั่งเหล็กกล้าได้เลยแม้แต่น้อย
เขาเป็นเหมือนก้อนหิน
ยิ่งเป็นแบบนี้ เย้นหว่านก็ยิ่งกลัว หัวใจเหมือนจะถูกดึงไปยังขุมนรก มีเพียงความมืดมิดแห่งความสิ้นหวังที่กลืนกินเท่านั้นที่อยู่รอบตัวเธอ
ตาของเธอแดงก่ำและร่ำไห้
“โห้หลีเฉิน คุณเป็นอะไรกันแน่ คุณตื่นสิ คุณมองฉันสิ”
“คุณอย่าเป็นแบบนี้ ฉันกลัวนะ…”
ในหัวของเย้นหว่านขาวโพลนไม่กล้าแม้แต่จะคิด มีเพียงความหวาดกลัวไม่รู้จบเท่านั้นที่ท่วมท้นและกลืนเธอไปในพายุ
เธอไม่รู้จะทำอย่างไร เธอกลัวมาก
“ไม่ ไม่เป็นไร…”
เสียงของชายหนุ่มแหบพร่าและแผ่วเบาและถูกเค้นออกมาอย่างยากลำบาก
ขนตาของโห้หลีเฉินสั่นอย่างรุนแรง และใช้เวลาสองสามวินาทีในการเปิดมันอย่างช้าๆ
เย้นหว่านที่เกือบจะตกลงไปในขุมนรกถูกดึงขึ้นมาทันทีด้วยคำพูดเหล่านี้
สีหน้าของเธอสั่นไหว เธอเห็นโห้หลีเฉินและกังวลใจมาก จึงถามอย่างกังวลใจ
“คุณเป็นอะไร? ไม่สบายตรงไหน? ทรมานมากใช่ไหม?”
“เป็นไปได้ว่า…นั่งนานไป ตัว…แข็ง…”
ทุกคำพูดของโห้หลีเฉินนั้นเชื่องช้าและทรมาน “คุณพยุงผม…ขึ้นไป…”
แม้แต่จะพูดยังลำบาก มันจะเกิดจากการนั่งนานเกินไปได้ยังไงกัน
เย้นหว่านรู้ว่าโห้หลีเฉินพูดเพียงเพื่อปลอบโยนเธอ และสภาพร่างกายในปัจจุบันของเขาอาจแย่มาก
เธอปวดร้าวใจ กัดฟันแน่น กลั้นน้ำตา ก้าวเท้าข้างหนึ่งก้าวลงไปในบ่อน้ำพุร้อน จับเขาแล้วดึงขึ้น
โห้หลีเฉินที่สูงร้อยเก้าสิบเซนติเมตรและน้ำหนักของเขาเกือบสองเท่าของน้ำหนักเย้นหว่าน ปกติไม่มีอะไร แต่ตอนนี้โห้หลีเฉินไม่มีแรงเลยและน้ำหนักมากกว่าหนึ่งร้อยกิโลกรัมก็ทับอยู่บนตัวของเย้นหว่าน
เป็นเหมือนภูเขาที่ไม่สั่นคลอน
เย้นหว่านรวบรวมกำลังของเธอ แก้มของเธอแดงระเรื่อ และเธอก็ช่วยโห้หลีเฉินได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
และร่างกายของเขาก็ขยับขึ้นเล็กน้อย น้ำหนักของทั้งตัวเป็นเหมือนภูเขาที่กดทับร่างกายของเธอ ประกอบกับที่เขาไม่สามารถยืนได้เอง ทำให้เป็นการเพิ่มน้ำหนักขึ้นอีก
ผ่านไปเพียงไม่นาน เย้นหว่านเหงื่อออกเต็มหน้าและขาสั่น
แทบจะยันไม่อยู่
แต่เธอไม่กล้าปล่อย เธอกัดฟันแน่นจนเหงือกของเธอแทบแตก และยึดไว้อย่างสิ้นหวัง
ก่อนเธอไปโห้หลีเฉินก็ยังดีๆ อยู่ แต่เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง จู่ๆ เขาก็ตัวแข็งและหมดเรี่ยวแรงและทรมานไปทั้งตัว
แม้เย้นหว่านจะไม่ทราบสาเหตุ แต่เธอก็ไม่กล้าปล่อยให้เขาอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนอีกต่อไป
“เย้นหว่าน อย่าฝืน…วางฉันลงเถอะ ออกไปพาคนเข้ามา…”
โห้หลีเฉินขมวดคิ้วแน่นและพูดช้าๆ
ทุกคำที่เขาพูดดูเหมือนจะใช้กำลังส่วนใหญ่ของเขา ทำให้ใบหน้าของเขาซีดลง
เย้นหว่านตาแดงก่ำและส่ายหน้าอย่างยืนกราน
“ฉันทำได้ คุณไม่ต้องออกแรง ฉันจะพาคุณออกไป”
เวลานี้ ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่กล้าจะปล่อยเขาไว้ในบ่อน้ำพุร้อน และยิ่งไม่กล้าปล่อยให้เขาอยู่ในนี้คนเดียว
เธอกลัวว่าเพียงในชั่วพริบตา เขาจะได้รับผลที่ไม่อาจจะแก้ไขกลับคืนมาได้อีก
“ฉัน ไม่เป็นไร เธออย่า…ฝืนเลย…”
โห้หลีเฉินมองเย้นหว่านอย่างทุกข์ใจ เธอเหงื่อท่วมและหน้าแดง
เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าร่างกายของเขาจะสูญเสียการควบคุมไปถึงจุดนั้นในทันใด ตัวเขาแข็งทื่อจนไม่มีแรงเหลือแม้แต่น้อย และเพราะตัวที่แข็งทื่อและทรุดตัว ทำให้น้ำหนักถ่ายไปทางเย้นหว่านเป็นเท่าตัว
ทำให้ตัวเธอต้องรับน้ำหนักไว้จนเกือบจะทนไม่ได้
หลังของเย้นหว่านเหมือนจะถูกทับตลอดเวลาจนทำให้เกิดความเจ็บปวด
เหงื่อไหลลงจากหน้าผากเป็นหยดใหญ่ และในพริบตา เธอก็เปียกโชกจนเหมือนมนุษย์น้ำ แต่เธอก็กัดฟันและพยายามอย่างเต็มกำลังประคองร่างของโห้หลีเฉินทีละเล็กทีละน้อย
เธอพยุงเขาไปที่ขอบบ่อด้วยความเร็วที่ช้ากว่าหอยทาก
โห้หลีเฉินขมวดคิ้วแน่นขึ้นและมองเย้นหว่านด้วยความปวดใจ
เธอตัวเล็กนิดเดียวแต่ต้องแบกรับน้ำหนักขนาดนี้คงจะต้องเจ็บมากแน่
เขาแทบอยากจะให้ตัวเองมีแรงและยืนขึ้นในตอนนี้เลย
โห้หลีเฉินฝืนทนความเจ็บปวดในร่างกายของเขา พยายามอย่างสุดให้ความสามารถในการควบคุมร่างกายของเขากลับคืนมา
อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเขากลับไม่เป็นไปอย่างที่เขาต้องการ ไม่มีความรู้สึกใดๆ เลย ราวกับว่าเขาถูกฉีดด้วยยาสลบหลายสิบตัน
“โครม”
ด้วยเสียงดังเย้นหว่านลากโห้หลีเฉินให้ลุกขึ้นเพื่อจะขึ้นจากสระ แต่เธอไม่มีพลังงานมากนักและร่างกายของเธอไม่สมดุลและทั้งสองล้มลงที่ขอบบ่อด้วยกัน
ขาของโห้หลีเฉินยังอยู่ในน้ำ
สมองของเย้นหว่านหมุนติ้ว แต่เธอไม่สนใจตัวเองเลย และรีบลุกขึ้นเพื่อกอดโห้หลีเฉิน
“คุณเป็นอะไรไหม? ล้มรึเปล่า?”
ในตอนที่เธอพูดนั้น น้ำเสียงนั้นสั่นเครืออย่างไม่สามารถจะควบคุมได้ ด้วยกลัวว่าโห้หลีเฉินที่เจ็บอยู่แล้วจะเจ็บหนักกว่าเดิม
โห้หลีเฉินขมวดคิ้วแน่นและอ้าปากแต่กลับไม่มีเสียง
เย้นหว่านเห็นแล้วยิ่งรู้สึกกลัว
เธอไม่กล้าคิดว่าโห้หลีเฉินเป็นอะไรกันแน่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เขาจะเป็นยังไง
มือที่สั่นเทาของเธอใช้แรงทั้งหมดที่มีและรีบพยุงโห้หลีเฉินนอนลงที่ข้างบ่อ
เธอพูดขึ้นด้วยความกระวนกระวาย “โห้หลีเฉิน คุณรอฉันอยู่นี่นะ ฉันจะไปหาป่ายฉี แป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว คุณต้องรอฉันนะ จะต้องรอฉันนะ!”
เธอไม่กล้าจะไปไหนแม้แต่เสี้ยววินาที แต่ก็ต้องไป
สถานการณ์ของโห้หลีเฉินในตอนนี้ ไม่ใช่อะไรที่เธอสามารถแก้ไขได้ หรือแม้แต่เวลาก็เป็นสิ่งมีค่า
เธอจะต้องรีบหาป่ายฉีให้เจอ
ในคลังสมบัติไม่มีสัญญาณ เธอจำเป็นต้องวิ่งออกไปข้างนอกคลังถึงจะติดต่อป่ายฉีได้ ถ้าเธอวิ่งให้เร็ว ไปกลับหนึ่งรอบก็ใช้เวลาไม่นาน
เย้นหว่านไม่กล้าจะชักช้า เธอลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไป
พอเธอขยับ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีมือใหญ่จับขาของตนเองไว้
สายตาของเขามืดมนและลึก ริมฝีปากขยับไปมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“เย้นหว่าน กอดฉัน”