คนของตัวเองมีมาก เมื่อยิงออกไป ง่ายมากจะพลาดบาดเจ็บ
เขาพูดว่า “ป่ายฉีมันชั่วช้า ใช้กระสุนฉันฆ่าพวกแก ถ้าฉันไม่ยิง พวกแกก็ถูกมันเล่นงานจนตาย”
พูดอย่างนั้นแล้วท่านอาวุโสสี่ก็เก็บปืนพกไป
จุดประสงค์ในการยิงของเขาบรรลุแล้ว ตอนนี้เย้นโม่หลินล้มไปกับพื้น ป่ายฉีก็ได้รับบาดเจ็บ เขาปกป้องคนสองคนพร้อมกันและยังต้องแหวกวงล้อมไปด้วยไม่ได้
ท่านอาวุโสสี่แค่ต้องรอ ให้พวกป่ายฉีถูกล้อมฆ่าจนตาย
เช่นนั้นพวกบอดี้การ์ดถึงได้คลายใจ เพราะถึงอย่างไรการมุ่งหน้าเข่นฆ่าศัตรู ก็แตกต่างจากการโดนลูกหลงที่เจ้านายยิงปืนพลาดฆ่าตายโดยไม่ตั้งใจ
สีหน้าของป่ายฉีย่ำแย่มาก
เขาเป็นหมอ แวบเดียวก็มองออก ตรงที่ที่เย้นโม่หลินบาดเจ็บนั้นสาหัสมาก
ความสามารถในการต่อสู้ของเขาถูกทำลายไปมากกว่าครึ่ง
แถมยังต้องพากู้จื่อเฟยไปด้วย เย้นโม่หลินแทบจะเป็นสัตว์ติดกับดัก
ป่ายฉีแม้จะยังมีพลังในการต่อสู้ แต่ต้องปกป้องทั้งสองคน พาพวกเขาแหวกวงล้อมออกไป เป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เมื่อครู่เขาเพิ่งโดนมีด แต่ตอนนี้ต้องฝืนยืนหยัด…
ในใจป่ายฉีสิ้นหวัง หรือว่าชีวิตที่เหลือเกินครึ่งของเขา ต้องฝังไว้ที่นี่
“ไม่ถึงที่สุด ยอมแพ้ไม่ได้”
เย้นโม่หลินกดเสียงต่ำแหบพร่า
เขายันแขนสั่นพยุงตัวลุกขึ้นยืน ใช้แขนข้างที่กระดูกหัก กอดกู้จื่อเฟยเอาไว้
เขาร่างกายแข็งตึง แต่พลังใจกลับไม่อ่อนแอสักนิด
สายตาเย็นชาน่าหวาดผวา เต็มไปด้วยไอแห่งการฆ่า
ป่ายฉีมองเย้นโม่หลิน ความเศร้าในใจหายวับไปโดยพลัน หัวเราะออกมาได้แล้ว
“ฮ่าฮ่า อย่างที่พี่ใหญ่บอก ไม่ถึงที่สุด ไม่มีทางยอมแพ้ ก่อนที่กูจะตาย จะฉีกพวกมึงเป็นชิ้นๆ”
เขาลงมืออีกครั้ง การกระทำโหดเหี้ยม ไม่ต่างจากปีศาจ
เลือดกระจายไปทั่วอีกครั้ง ระเนระนาดไปทีละคน จนมากมายนับไม่ถ้วน
แต่ก็มีคนพุ่งเข้ามาอีกนับไม่ถ้วนเช่นกัน
กู้จื่อเฟยน้ำตานองหน้าอยู่นานแล้ว ร้องไห้สะอึกสะอื้น
เธอขอร้องให้เย้นโม่หลินไม่ต้องสนใจเธอ แต่อย่างไรเขาก็ไม่ฟัง แม้ว่าตัวเองจะเต็มไปด้วยบาดแผล แค่ยืนก็ลำบากแล้ว กลับยังจะกอดเธอไว้ พาเธอไปด้วยอีก
ทั้งหมดรอบตัวคือคนที่อยากเอาชีวิตพวกเขา
เย้นโม่หลินมองกู้จื่อเฟย นัยน์ตามีแววอ่อนโยน
เขาพูดเสียงต่ำ “กลัวความตายหรือเปล่า”
กู้จื่อเฟยยิ่งน้ำตาไหลพราก
เธอถูกเย้นโม่หลินถามออกมาแบบนี้ ใจของเธอก็สงบลงทันใด ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว
เธอส่ายหน้าและพูดกลั้วสะอื้นว่า
“ไม่กลัว”
ตราบใดที่อยู่กับเขา แม้เป็นความตาย ก็ยังสมบูรณ์แบบ
เย้นโม่หลินมองเธอตรงๆ สายตาลึกซึ้ง ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามหัวใจ ริมฝีปากบางประทับลงไปแผ่วเบาบนหน้าผากของกู้จื่อเฟย
ในจิตใจของเขา ปรากฏขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล กับคำว่าชีวิตและความตายในหลุมเดียวกัน
ในช่วงเวลาระหว่างทางแยกชีวิตและความตาย เมื่อได้มองดูเธอ เขาก็พอใจแล้ว
ไม่สำคัญว่าจะรู้สึกผิดหรือไม่ มันไม่สำคัญว่าจะช่วยเธอได้ไหม เป็นธรรมดาที่ชีวิตและความตายเป็นของคู่กัน
ความรู้สึกแบบนี้ มันมหัศจรรย์ยิ่งนัก รสชาตินี้เย้นโม่หลินไม่เคยมีมาก่อน
กู้จื่อเฟยมองเขาอึ้งๆ รู้สึกชื้นและร้อนกับจูบบนหน้าผาก
ร้อนจนแผดเผาจิตใจ
ที่แท้ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก ตราบใดที่อยู่กับคนที่รัก ชีวิตและความตายไม่หวั่นเกรง
เธอไม่หลบหนีอีกแล้ว แขนเรียวบางกอดเอวเย้นโม่หลินจากด้านหลัง
อยู่ด้วยกันกับเขา แม้หนทางข้างหน้ามีเพียงความตาย
เย้นโม่หลินแย้มยิ้มริมฝีปากบางเล็กน้อย
มือเดียวกอดกู้จื่อเฟยและพุ่งไปข้างหน้า ไปยืนข้างป่ายฉี อีกมือลงมือโจมตีทันทีทันใด
การโจมตีที่แข็งแกร่ง ทำให้บอดี้การ์ดล้มระเนระนาดไปตามๆ กัน
และเมื่อเวลาผ่านไป เย้นโม่หลินกับป่ายฉีที่บาดเจ็บ ยิ่งยืนหยัดไม่อยู่หนักขึ้นเรื่อยๆ
บาดแผลบนร่างกายของพวกเขาเพิ่มขึ้นทีละนิด
ทั้งสองคนกลายเป็นมนุษย์เลือด
แม้แต่กู้จื่อเฟยก็ไม่เว้น อยู่กลางวงล้อม บนร่างกายจึงได้รับบาดเจ็บหลายที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ท่ามกลางกองเลือด คือการต่อสู้ไม่คิดชีวิต และความสิ้นหวังที่ไม่มีหนทางข้างหน้า
“พลั่ก!”
เสียงทุ้มหนักนั้น เป็นเย้นโม่หลินถูกตีด้วยกระบองไฟฟ้าหลายแท่ง ในที่สุดก็ยืนไม่อยู่ล้มลงกับพื้น
ขณะเดียวกัน ป่ายฉีที่อยู่อีกด้านก็ล้มลงกับพื้นเช่นกัน
เลือดท่วมตัวเขา จนหาที่ดีไม่ได้ หน้าซีดราวกับผี
เขาเองก็ถึงลิมิตแล้ว
ป่ายฉีมองเย้นโม่หลิน ทั้งคู่มองหน้ากัน ไม่มีความกริ่งเกรง แล้วก็ยิ้มให้กัน
ทันใดนั้นก็หันไปเผชิญหน้าอย่างสงบกับมีดสั้นและกระบองไฟฟ้าที่กำลังกวัดแกว่งเข้ามา
เงยหน้ารับความตาย
เย้นโม่หลินกอดกู้จื่อเฟยไว้ในอ้อมแขนแน่น กู้จื่อเฟยซบเขา สายตามองตรงไปยังใบหน้าด้านข้างของเย้นโม่หลิน
เธอ เหมือนจะไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจอีกแล้ว
“ไม่!”
เย้นหว่านดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว มองดูภาพนี้จากในระยะไกล หัวใจราวกับกำลังถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
พวกเย้นหว่านยืนหยัดไม่ไหวแล้ว!
มีดสั้นแทงเข้าไปมากขนาดนั้น พวกเขาทั้งสามคนต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
จนถึงตอนนี้ สายเกินไปที่เย้นหว่านจะมามัวสนใจเรื่องอื่น ร้องไห้และจะวิ่งไปหาพวกเย้นโม่หลิน
“คุณเย้น อย่าไปครับ!”
ท่านอาวุโสแปดรีบคว้าจับเย้นหว่านไว้ ให้ตายอย่างไรก็จะไม่ปล่อยเธอไป
เย้นหว่านกระเสือกกระสนดิ้นรนจนแทบบ้า
“ให้ฉันเข้าไป ให้ฉันเข้าไป ฉันจะไปช่วยพี่ชายฉัน ฉันไม่สามารถทนดูเขาตายได้”
เธอจะทนดูพวกเขาตายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่เธอยืนอยู่ตรงนี้อย่างไร้ความรู้สึกได้อย่างไรกัน
เธอทำไม่ได้
“คุณไปก็ช่วยพวกเขาไม่ได้ มีแต่ตายกับตายเท่านั้น”
ท่านอาวุโสแปดพูดอย่างเร่งด่วน เพื่อหยุดเย้นหว่านไว้ อย่างไรก็ไม่ปล่อยเธอไป
มาถึงจุดนี้แล้ว ไม่มีทางช่วยพวกเย้นโม่หลินได้แล้ว เขาไม่สามารถปล่อยเย้นหว่านไปให้ถูกจับและตายได้
สถานการณ์ที่สมเหตุสมผลที่สุดตอนนี้ คือการรักษาไว้ได้เพียงแค่หนึ่ง
“ไม่ค่ะ คุณปล่อยฉัน ปล่อยฉันนะ พี่ชาย พี่ชาย จื่อเฟย ป่ายฉี…”
เย้นหว่านร้องไห้จนไร้เสียงสะอื้น ร่างกายสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
พี่ชายที่สนิทที่สุดของเธอ เพื่อนรักของเธอ ป่ายฉีผู้มีพระคุณช่วยชีวิต ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่สำคัญมาก เป็นไปได้ยังไง เป็นไปได้ยังไงที่จะมาตายลงตรงหน้าเธอ
เย้นหว่านเจ็บปวดจนหัวใจแทบระเบิด
“ฆ่า!”
ท่านอาวุโสสี่เห็นภาพนี้แล้วพอใจมาก
แม้จะใช้เวลาไปสักหน่อย แต่แค่เขาฆ่าเย้นโม่หลินได้ ก็เพียงพอแล้ว
คิดๆ ดูแล้ว นายน้อยตระกูลเย้นผู้ยิ่งใหญ่สง่างาม ต้องมาตายด้วยมือของเขา ก็เกินพอจะให้เขาโม้ไปตลอดชีวิตแล้ว
เขาจึงสั่งโดยไม่ลังเล
พวกบอดี้การ์ดได้รับคำสั่ง คนเป็นสิบชูมีดสั้นขึ้นสูง ยกโขยงเข้าแทงพวกเย้นโม่หลิน
หากแทงลงไป คงเจาะเป็นรังผึ้ง
ไม่มีทางรอดชีวิต
ป่ายฉีมองมีดสั้นที่ส่องแสงตกกระทบ ก็พลันยิ้มเยาะ คิดไม่ถึงว่าเขาที่หยิ่งผยองมาตลอดชีวิต วันนี้จะมาตายลงที่นี่
เขายิ้มเย็นชา แล้วหลับตาลงอย่างไร้ความกริ่งเกรง
เย้นโม่หลินกอดกู้จื่อเฟยแน่น มองหน้ากันกับเธอ
ในดวงตากันและกัน เห็นหน้าตาของกันและกัน มั่นคงและปราศจากความกลัว
มีดสั้นคมกริบ แทงลงอย่างรุนแรง
เลือดสาดกระจายในทันที ราวกับดอกบัวหิมะเบ่งบานงดงาม
“อ๊าก!”
เสียงแห่งความเจ็บปวดดังขึ้นฉับพลัน
ทว่า มันไม่ได้ออกมาจากพวกเย้นโม่หลิน
ในทางตรงกันข้าม คนพวกนั้นที่กำลังเอามีดสั้นแทงใส่พวกเขา ไม่ได้พุ่งเข้ามา พวกบอดี้การ์ดนั่นต่างหากที่ถูกฆ่าแทน เนื้อตัวมีแต่เลือดล้มลงไปกองกับพื้นที่ละคนสองคน
เย้นโม่หลินตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงในวินาทีนั้น
เขาเงยหน้าขึ้นและก็เห็น เห็นว่าบอดี้การ์ดที่ล้อมรอบพวกเขาถูกกระชากออกไป โห้หลีเฉินเหยียบเลือดที่นองทั่วพื้น ก้าวเดินมาทีละก้าวๆ