เห็นบอดี้การ์ดหลายร้อยคนวิ่งเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ กระจายเป็นวงกลมอย่างรวดเร็ว ล้อมทุกคนที่อยู่ตรงนี้เอาไว้ภายใน
ท่านอาวุโสสองก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ต่างเป็นตระกูลหยู พวกคุณทะเลาะกันได้ยังไง ไม่ได้เด็ดขาดนะ”
หยูฉู่สองเห็นกลุ่มคนที่นำโดยท่านอาวุโสสอง ก็พลันกลับมาอารมณ์ดีอีกไม่น้อย
เขาสั่งว่า “น้องรอง คุณมาทันเวลาพอดี ให้คนของคุณช่วยผมแก้ปัญหาการต่อสู้ที่ไร้สาระนี่โดยเร็วที่สุด”
ถ้ามีความช่วยเหลือจากคนเป็นร้อยเหล่านี้ ก็มีแนวโน้มจะบดขยี้อีกฝ่ายได้สำเร็จยิ่งขึ้น
แม้ฝีมือจะเทียบไม่ได้ แต่จำนวนคนของพวกโห้หลีเฉินทั้งหมดที่ต้องใช้พลังงานไปจนเหนื่อย ไม่มีทางจะพลิกกลับมาหนีรอดได้
ท่านอาวุโสสองมองโห้หลีเฉินแล้วรีบส่ายหน้า
“ไม่ได้ๆ โห้หลีเฉินเป็นนายน้อย ลงมือกับเขาไม่ได้เด็ดขาด”
พูดอย่างนั้นแล้วเขาก็มองไปยังบอดี้การ์ดที่อยู่อีกฝั่งแล้วด่าว่า “ไอ้ลูกกระต่าย มันผิดกฎไม่รู้หรือไง กล้าจะลงมือกับนายน้อย ไม่อยากได้หัวแล้วใช่ไหม ยังไม่รีบไสหัวหลีกไปอีก”
พวกบอดี้การ์ดต่างอึ้งที่ถูกด่า ชะงักนิ่งอยู่กับที่ไม่กล้าทำอะไรอีก
ท่านอาวุโสสองเป็นผู้บัญชาการกองกำลัง น้ำเสียงที่เด็ดขาดนั่น มันเป็นการข่มขวัญคนให้หวาดผวาหนัก
หยูฉู่สองเห็นท่านอาวุโสสองเป็นแบบนี้ อารมณ์โกรธก็พลันปะทุ ตวาดออกมาว่า
“น้องรอง ตอนนี้คุณยังไม่ตระหนักรู้อีกเหรอว่าเรื่องไหนสำคัญกว่ากัน ผมเป็นผู้นำตระกูล ผมสั่งให้คุณลงมือ จับโห้หลีเฉิน แล้วฆ่าเย้นโม่หลินซะ”
โห้หลีเฉินตวัดมีดสั้นในมือ พลางเบะปากสายตาเย็นชา
“ท่านอาวุโสสอง คุณจะลงมือกับผมเหรอ”
“จะ จะกล้าได้ยังไง!”
ท่านอาวุโสสองรีบเดินไปตรงหน้าโห้หลีเฉิน แล้วแสดงความจงรักภักดี “คุณเป็นนายน้อยตระกูลหยู เป็นท่านผู้นำตระกูลในอนาคต และเป็นเพียงบุคคลเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถเปิดคลังสมบัติ รู้จักคุณในฐานะนายน้อยหนึ่งวัน ก็จะติดตามคุณอย่างซื่อสัตย์ภักดีหนึ่งวัน จะไม่มีทางลงมือกับคุณเด็ดขาด”
หยูฉู่สองขมับกระตุกอย่างรุนแรง
เขาหน้าดำคร่ำเครียดพูดขึ้นว่า “อาวุโสสอง ผมยังไม่ตาย คุณก็ไปสวามิภักดิ์ต่อโห้หลีเฉินแล้วงั้นเหรอ ผมต่างหากที่เป็นผู้นำตระกูล!”
ท่านอาวุโสสองพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
“ท่านผู้นำตระกูล เรื่องนี้คุณกระทำการอย่างไร้ซึ่งความเมตตา โห้หลีเฉินเป็นสายเลือดหนึ่งเดียวของตระกูลหยูเรา เพื่อบรรพบุรุษ เพื่อสืบทอดทายาท และแม้แต่เพื่อคลังสมบัติ อย่างไรก็ไม่สามารถลงมือเช่นนี้กับโห้หลีเฉินได้ เช่นนี้ไม่ใช่ว่าคุณจงใจบีบบังคับให้นายน้อยไปหรือยังไง
ถ้านายน้อยไป ตระกูลหยูต้องไร้ผู้สืบทอด และจะถูกทิ้งร้างตกต่ำไปอีกหลายร้อยปี
ผมเคารพคุณในฐานะผู้นำตระกูล แต่เพื่อบรรพบุรุษต้นตระกูล เพื่อตระกูลหยูในวันข้างหน้า ผมจะไม่ปล่อยให้คุณทำร้ายและบีบบังคับให้นายน้อยต้องไปเด็ดขาด”
พูดอย่างนั้นแล้วท่านอาวุโสสองก็ไปอยู่เคียงข้างโห้หลีเฉิน เหมือนเป็นการยืนฝ่ายเดียวกับโห้หลีเฉิน
ส่วนบอดี้การ์ดของเขา ก็เผชิญหน้าตาต่อตาฟันต่อฟันกับคนทั้งหมดที่หยูฉู่สองนำมา
หยูฉู่สองสีหน้าเปลี่ยนไปมาก ถลึงตาจ้องท่านอาวุโสสองอย่างโกรธจัดถึงที่สุด จนมือสั่นไปหมด
“หยูสือ คุณกล้าขัดคำสั่งผม!”
อะไรที่บอกว่าเพื่อตระกูลหยูเพื่อบรรพบุรุษ ฟังยังไงก็คือการทรยศชัดๆ
ในเวลาที่เขาไม่รู้ คิดไม่ถึงว่าท่านอาวุโสสองได้กลายเป็นคนของโห้หลีเฉินไปแล้ว!
สิ่งนี้ทำให้หยูฉู่สองรู้สึกตื่นตระหนกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ใครก็รู้ว่าท่านอาวุโสสองคือท่านอาวุโสผู้คุมกองกำลังทั้งหมดของตระกูลหยู ได้รับการสนับสนุนจากเขา โห้หลีเฉินก็เท่ากับมีอำนาจทางทหารในตระกูลหยู
แม้หยูฉู่สองจะพยายามลงมือสังหารโห้หลีเฉิน ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ท่านอาวุโสสองยิ้มเพียงพื้นเผิน “ท่านผู้นำตระกูล ผมไม่กล้าขัดคำสั่งคุณหรอก ผมแค่พูดความจริง เพื่อเตือนคุณเท่านั้น”
สีหน้าของหยูฉู่สองยิ่งแย่หนัก เนื้อบนแก้มสั่นไปหมด
เขาตะคอกว่า “โห้หลีเฉิน แกรู้ไหม ถ้าวันนี้ไม่ฆ่าเย้นโม่หลิน ตระกูลหยูจะมีปัญหาใหญ่มากแค่ไหน ตระกูลเย้นที่มีความแค้นอยู่ในใจแล้ว จะไม่มีทางปล่อยตระกูลหยูไปจนกว่าจะตาย
การต่อสู้ห้ำหั่นนี้ ถ้าเกิดขึ้นมา ตระกูลหยูจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง”
เพื่อการได้มาซึ่งยาแก้พิษ ทำให้ทั้งสองตระกูลเสี่ยงที่จะจบสิ้น
การฆ่าเย้นโม่หลินง่ายๆ ในตอนนี้ว่าไปแล้วผลลัพธ์ที่ได้มันช่างเลวร้ายแสนสาหัส
โห้หลีเฉินสีหน้าเย็นชาไม่สนใจ
“มีผมอยู่ แต่คุณยังจะฆ่าพวกเขา อย่าให้ผมหมดความอดทน เช่นนั้นผมก็ไม่รังเกียจที่จะทำให้ตระกูลหยูประสบกับความเสียหายอย่างหนักตอนนี้เลย”
หยูฉู่สองสีหน้าซีดเผือดในทันที
โห้หลีเฉินตั้งใจแน่วแน่ว่าจะปล่อยพวกเย้นโม่หลินไป
และเขาไม่สนใจว่าตระกูลหยูจะได้รับความเสียหายอย่างหนักหรือจะดับสิ้นด้วยเหตุนี้หรือไม่
ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นก็คือ ถึงจะมีนิสัยแปลกๆ แต่เดิมทีท่านอาวุโสสองก็จงรักภักดีต่อตระกูลหยู ตอนนี้กลับไม่แยกถูกผิด ถ้าโห้หลีเฉินพูดอะไร เขาก็ฟังทุกอย่าง
ไม่เอาผลประโยชน์ทั้งหมดของตระกูลหยูมาเป็นอันดับแรก
หยูฉู่สองเจ็บใจมาก นิ้วมือสั่นชี้พวกเขา “พวกแก พวกแกจะทรยศตระกูลหยูงั้นเหรอ”
“ท่านผู้นำตระกูลพูดแบบนี้ไม่ถูกต้องนะ”
ท่านอาวุโสสองยิ้มอย่างมีความหมาย “นายน้อยเป็นทายาทลำดับแรก ตราบใดที่เขามีวิตอยู่ ตระกูลหยูต้องพึ่งเขาสืบทอดในภายภาคหน้า ในเมื่อเป็นตระกูลของนายน้อยเอง จะเรียกว่าทรยศได้ยังไง”
หยูฉู่สองเดือดดาลมากกับการโต้แย้งของท่านอาวุโสสอง
ถ้าเป็นเวลาปกติ เขาจะต้องโกรธเกรี้ยวจนจัดการกับท่านอาวุโสสองไปแล้ว
แต่วันนี้…
มีการสนับสนุนของท่านอาวุโสสอง เขาไม่มีโอกาสชนะในการต่อสู้กับโห้หลีเฉิน เขาไม่รู้ว่าช่วงนี้ที่โห้หลีเฉินอยู่ในตระกูลหยูนั้นได้ใจคนไปมากน้อยเท่าไร
ทันทีที่มันระเบิด บางทีตระกูลเย้นอาจจะยังไม่ดับสิ้น แต่ตระกูลหยูของพวกเขาก็มีปัญหาทั้งภายในและภายนอกจนกระทั่งถึงจุดจบไปแล้ว
“แค่ก แค่กๆๆ”
กู้จื่อเฟยไอขึ้นมาอย่างทรมาน
เธอซบอยู่ในอ้อมแขนของเย้นโม่หลิน ปิดปากไออย่างต่อเนื่องหลายต่อหลายครั้ง
หลังจากเธอไอเสร็จ เพิ่งเอามือลง ก็พลันตกใจที่เห็นเลือดในมือ
เธอ ไอเป็นเลือดงั้นเหรอ
“กู้จื่อเฟย!”
เย้นโม่หลินดวงตาเบิกกว้างจนจะแตกทันที มองเลือดในมือเล็กของเธอด้วยความตื่นตระหนก
เธอถูกพิษอะไรกันแน่
ร่างกายถึงได้แย่ลงเรื่อยๆ
กู้จื่อเฟยมองเย้นโม่หลินด้วยสายตาพร่ามัวพลางส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นไร”
“อย่าหลับนะ ฉันจะพาเธอออกไปจากที่นี่”
เย้นโม่หลินมือข้างหนึ่งกอดกู้จื่อเฟย อดทนความเจ็บปวดจากบาดแผลทั่วร่างกาย ขยับพากู้จื่อเฟยยืนขึ้นช้าๆ อย่างยากลำบาก
โห้หลีเฉินมองพวกเขาด้วยสายตาหนักอึ้ง
กู้จื่อเฟยไม่รู้สถานการณ์ว่าเย้นโม่หลินกับป่ายฉีบาดเจ็บหนัก พวกเขาทั้งหมดเดินอยู่บนเส้นขอบของชีวิตและความตาย ไม่สามารถล่าช้าได้แล้ว
เขาสั่งเว่ยชีว่า “ส่งพวกเขาออกไป”
“ครับ คุณชาย”
เว่ยชีจดจ้องบอดี้การ์ดตระกูลหยูที่มองดูอย่างระแวดระวัง ก่อนจะก้าวไปทันทีและช่วยประคองป่ายฉีที่กำลังจะตายให้ลุกขึ้น
เขาหันไปมองบอดี้การ์ดที่ล้อมอยู่ แล้วพูดเสียงเย็นว่า “หลีกไป”
บอดี้การ์ดตระกูลหยูมองหน้ากัน แข็งทื่ออยู่กับที่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี จะให้ไปหรือไม่ให้ไป
หยูฉู่สองสีหน้าแย่มาก
สถานการณ์ตอนนี้เขาแน่ใจแล้ว ล้วนถูกโห้หลีเฉินกับท่านอาวุโสสองควบคุมเอาไว้หมด ถ้าเขายังยืนกรานต่อ เป็นไปได้ที่ตระกูลหยูจะสูญเสียทั้งสองฝ่าย
ไม่คุ้มค่าอย่างมาก
แต่…
หยูฉู่สองสั่งอย่างเย็นชา “ลงมือ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ต้องฆ่าเย้นโม่หลินให้ได้!”
เย้นโม่หลินบาดเจ็บสาหัส สิ้นท่าไร้ทางต่อสู้แล้ว ตราบใดที่คนของเขาสามารถหาโอกาสได้เพียงสักนิด แค่ใบมีดเดียว เย้นโม่หลินก็จบเห่แน่
ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะเกิดการสูญเสีย ทำให้เย้นโม่หลินตายไป เป็นทางออกที่ดีที่สุด