กู้จื่อเฟยนอนลงบนเตียงที่อ่อนนุ่ม คราบเลือดที่อยู่บนตัวหล่อนเปรอะเปื้อนลงบนผ้าปูที่นอนทันที
สติที่เธอยังครองอยู่เล็กน้อย ได้เปลี่ยนเป็นความรู้สึกมึนงงในชั่วพริบตา
อ่อนแรงเหลือเกิน เธอรู้สึกอยากนอน
แน่นอน ก่อนที่เธอจะหลับลงไปนั้น เธอต้องสะดุ้งเฮือกด้วยความเจ็บปวดจากยาสมานกระดูกในเวลาอันสั้น
“โอ้ย เจ็บเจ็บเจ็บ”
กู้จื่อเฟยกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าเล็กๆของหล่อนบิดเบี้ยว
แต่มือของป่ายฉียังคงไม่หยุดนิ่ง “อดทนหน่อยนะ อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะ แบบนี้หายเร็วแน่นอน”
แต่ว่าเธอเจ็บปางตายแล้ว
กู้จื่อเฟยเจ็บปวดจนแทบจะเป็นลมตาย
เย้นโม่หลินหน้างอก้าวเข้าไป เตะเข้าที่ขาของป่ายฉี
ป่ายฉีรู้สึกเจ็บ หันกลับมามองพี่ชายตัวเองด้วยความแปลกใจ
“พี่ครับ พี่เตะผมทำไมเนี่ย?”
เย้นโม่หลินกล่าวเสียงเข้มว่า “เบาๆหน่อยสิ อย่าทำให้เธอเจ็บ”
“การรักษาแบบนี้มันก็ต้องเจ็บ….”
“ก็หาวิธีเอาเองสิ”
สายตาของเย้นโม่หลินบาดลึกและเย็นชา เต็มไปด้วยการคุกคามที่เยือกเย็น “ไม่งั้นผมจะทำให้คุณเจ็บเหมือนกัน”
ป่ายฉี “…..”
จนปัญญาเสียแล้วเรา! ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย
เขาอยากถอนตัวแล้วสิ
อย่างไรก็ตาม เย้นโม่หลินมีท่าทียืนหยัดหนักแน่น ป่ายฉีจำยอม ต้องเปลี่ยนวิธีการ
บอกกับกู้จื่อเฟยด้วยความอึดอัดใจว่า
“ถ้ารักษาแบบนี้ไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่ แต่จะหายช้ามากนะ”
ทีแรกกู้จื่อเฟยรู้สึกเจ็บจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่พอเห็นเย้นโม่หลินออกโรงปกป้องตัวเธอแบบไม่ถูกต้องเธอจึงคิดได้ว่าเจ็บแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก
ความอ่อนโยนที่พี่เย้นของหล่อนมีให้เป็นยารักษาแผลที่ดีที่สุดแล้วล่ะ
กู้จื่อเฟยรีบพยักหน้า “ได้ หายช้าก็หายช้าค่ะ”
ถึงแม้ได้รับบาดเจ็บและแถมรู้สึกผิด แต่เธออยากจะนอนพักผ่อนมากกว่าถูกทรมานแบบนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น พี่เย้นก็จะคอยเอาอกเอาใจ และดูแลเธอตลอดเวลา
เมื่อรู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงของเขา กู้จื่อเฟยเริ่มได้ใจราวกับมีปีกเล็กๆบินโบยไปบนท้องฟ้า
เย้นโม่หลินมองไปทางกู้จื่อเฟยด้วยท่าทางมีชีวิตชีวา สายตาของเขาเป็นประกาย ความโกรธแค้นที่มีอยู่เต็มหัวใจนั้นค่อยๆเบาบางลง
เขาปรารถนาที่จะเห็นเธอหยอกล้อเขาในทุกรูปแบบ ไม่ใช่เห็นเธอหน้าบูดเบี้ยวร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดแบบนี้
ป่ายฉีใส่ยาที่แผล พลางเหลือบมองสายตาของทั้งสองคนสบตากัน แสยะยิ้ม แทบอยากจะโปรยสิ่งที่ระคายแผลที่สุดลงไป
ได้รับบาดเจ็บแล้วยังมีหน้าอ้อล้อได้อีก แกล้งเย้นโม่หลินชัดๆ
ตอนนี้เย้นโม่หลินถลำลึกลงไปทุกที ถูกกู้จื่อเฟยสอนในเรื่องที่ผิดๆ สายตาที่อ่อนโยนและห่วงใยนั้น ไม่เหมือนนายน้อยของตระกูลเย้นคนที่เคยไร้ความรู้สึกเฉยชาคนเดิมเลย
ระหว่างที่ทั้งคู่ยังส่งสายตาให้กันไม่สิ้นสุด ป่ายฉีจึงก้มหน้าลงเงียบๆ
ตอนนี้คนที่รู้สึกละอายที่สุด ก็คงเป็นเขาหมาหัวเน่าตัวเดียวสินะ
ได้คะแนนติดลบไปหมื่นนึง?
เดิมทีขั้นตอนการทำแผลแทบเป็นแทบตาย แต่เพราะเย้นโม่หลิน ทุกอย่างกลายเป็นเงียบสงบและหวานซึ้ง
โดยไม่รู้ตัว การรักษาสิ้นสุดลงแล้ว และร่างของกู้จื่อเฟยก็ถูกพันโดยรอบกลายเป็นขนมบ๊ะจ่าง
เธอนอนแข็งทื่ออยู่บนเตียง มองดูป่ายฉีไม่พูดไม่จา เก็บเครื่องมือทำแผลแล้วเดินออกไป
ท่าทีเช่นนั้น เหมือนว่ารังเกียจไม่อยากทนอยู่ต่อไปในห้องนี้แม้แต่วินาทีเดียว
แต่ว่า หลังจากนี้เธอต้องทานยาอะไรบ้างไม่บอกกันหน่อยหรือ?
กู้จื่อเฟยถาม “พี่เย้นคะ คุณหมอยังไม่ได้บอกเลยว่าหลังจากนี้ต้องทานยาอะไรบ้าง?”
“คุณไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ ผมจะไปรับยาให้คุณเอง”
เย้นโม่หลินตอบทันทีอย่างไม่ลังเล
ท่าทีที่เขาทำสิ่งต่างๆแทนเธอด้วยความเต็มใจ ทำให้กู้จื่อเฟยขนลุกไปทั้งตัว หัวใจของเธอเบิกบาน
ซาบซ่านไปทั้งตัว
เธอชอบเวลาที่เย้นโม่หลินแสดงท่าทีเป็นห่วงเป็นใยเธอ ใส่ใจเธอ และยิ่งถูกใจเวลาที่เขาโอบเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างเต็มใจ คอยปกป้องเธอ ดูแลเธออยู่ไม่ห่าง
อย่างน้อยนี่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ทำให้เห็นว่า ในใจของเย้นโม่หลิน ค่อยๆมีที่ว่างสำหรับเธอแล้ว
ทีละน้อย จากความรับผิดชอบ อาจเปลี่ยนเป็นความรักก็ได้ใครจะไปรู้?
เย้นโม่หลินถูกกู้จื่อเฟยมองอย่างไม่ละสายตา จนเย้นโม่หลินรู้สึกอึดอัดใจ
เขาเอามือสัมผัสที่ใบหน้า ถามด้วยความสงสัย
“มีอะไรหรือครับ? ที่หน้าผมมีอะไรแปลกหรือ?”
ชั่วครู่เดียว เย้นโม่หลินรู้สึกตัว จึงทำท่าไม่มั่นใจ “หรือว่ามีคราบเลือดติดอยู่ มันดูเลอะเทอะใช่ไหมครับ?”
หลังจากที่ช่วยชีวิตกู้จื่อเฟยกลับมาได้ เขาคอยอุ้มเธอและปกป้องเธอมาตลอดทาง ไม่มีเวลาได้เปลี่ยนเสื้อผ้าหรือล้างหน้าเลย
กู้จื่อเฟยอดยิ้มไม่ได้ ความคิดที่อ่อนโยนของเธอ แตกสลายลงด้วยเรื่องที่ว่ามีอะไรติดที่หน้าของเย้นโม่หลินหรือไม่
พี่เย้นก็คือพี่เย้นวันยังค่ำ เรื่องโรแมนติกอะไรนั่น ไม่อยู่ในความคิดของเขาเลย
กู้จื่อเฟยอมยิ้มพลางกล่าวว่า
“พี่เย้นคะ พี่กลัวตัวเองเลอะเทอะเป็นด้วยหรือ? หรือเพราะไม่อยากให้ฉันเห็นพี่ดูเลอะเทอะ ฉันจะได้ชอบพี่มากขึ้นหรือคะ?”
เย้นโม่หลิน “……”
เขาหยุดชะงักด้วยความงุนงง ใบหูแดงระเรื่อโดยไม่มีสาเหตุ
เขาไม่ได้หมายความเช่นนั้นเลย
แต่คำพูดของกู้จื่อเฟย ที่พูดออกมาว่ายิ่งชอบเขามากขึ้น นั่นแปลว่าตอนนี้เธอชอบเขามากเลย
คำสารภาพที่เผยออกมากะทันหันทำให้เย้นโม่หลินถึงกับทำอะไรไม่ถูก
เขามีทีท่าร้อนรน กล่าวด้วยความประหม่าว่า “เอ่อคือ ผม…..ผมไปล้างหน้าหน่อยดีกว่า”
เมื่อเห็นเบื้องหลังของชายคนนั้นรีบเดินไปยังห้องน้ำ กู้จื่อเฟยยิ่งมีความสุขมากขึ้น
ส่งเสียงหยอกล้อตามไปว่า “พี่เย้น ถึงกับต้องรีบไปล้างหน้าเลยหรือคะ พี่ยอมรับแล้วใช่ไหมล่ะว่าอยากให้ฉันชอบพี่มากขึ้นอีก?”
เย้นโม่หลินถึงกับเซ เกือบชนเข้ากับประตูห้องน้ำ
เขาเพียงแค่รู้สึกว่าใบหน้ามันเลอะเทอะมาก ไม่คุ้นชิน…ก็เท่านั้นเอง
แต่ว่าในใจ กลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่ได้รู้สึกต่อต้านที่กู้จื่อเฟยจะชอบเขามากขึ้นอีก
ได้ยินเสียงน้ำซ่าๆดังมาจากในห้องน้ำ รอยยิ้มที่มุมปากของกู้จื่อเฟยยังคงไม่หุบลง สิ่งที่เรียกว่าความสุขเติมเต็มไปทั้งหัวใจของเธอ
มีพี่เย้นอยู่ใกล้ๆก็ดีแบบนี้แหละ
เธอจะได้หยอกล้อเขา
ไม่อยากเชื่อเลยจะได้อยู่กับเขาตลอด24ชั่วโมง ไม่ห่างกันแม้วินาทีเดียว
แต่ว่า…..
กู้จื่อเฟยลูบเปลือกตาที่อ่อนล้า รอเย้นโม่หลินเดินออกมาจากห้องน้ำ
เมื่อเห็นใบหน้าที่ทั้งหล่อเหลาสะอาดสดใสจนสาวเห็นเป็นต้องกรี๊ดสลบเข้า กู้จื่อเฟยข่มใจที่อยากจะล้มเขาลง ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า
“พี่เย้นคะ พี่ยังมีงานอีกมากมายต้องไปทำใช่ไหม? ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้ว พี่ไปจัดการธุระของพี่เถอะ”
ทีแรกเธอร้องขอให้เขาต้องอยู่ข้างกายเธอตลอด ตอนนั้นเป็นเพราะเธอเพิ่งพ้นจากอันตรายมาได้ ร่างกายได้รับบาดเจ็บ จิตใจอ่อนแอ จึงอยากกอดเขาไว้แน่นๆ เพื่อเป็นกำลังใจ
แต่ว่าตอนนี้ เธอรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว
เธอรู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของตระกูลเย้นกำลังวุ่นวายมาก จำเป็นต้องให้เย้นโม่หลินเข้าไปควบคุมสถานการณ์เธอรู้สึกลังเลใจ แต่จำต้องปล่อยให้เขาไป
เย้นโม่หลินพยักหน้า แต่กลับเดินเข้าไปที่ข้างเตียงของกู้จื่อเฟยและนั่งลง
เขามองดูหล่อน พูดช้าๆว่า
“ผมรับปากคุณแล้วนี่ ว่าจะอยู่ดูแลคุณตรงนี้ ไม่ต้องห่วงเชิญคุณพักผ่อนให้สบายเถอะ”
กู้จื่อเฟยกะพริบตา เธอสึกอบอุ่นใจ
ได้ยินเขาพูดแบบนี้แล้ว เธอรู้สึกพอใจมาก
“ฉันไม่เป็นไรแล้วค่ะ ก็แค่นอนพักอยู่บนเตียง คุณให้แม่บ้านมาคอยดูแลฉันก็ได้ค่ะ คุณไปทำงานเถอะ ฉันไม่เป็นไรแล้วจริงๆ”
เมื่อเห็นกู้จื่อเฟยพยายามไล่เขาออกไป ในใจของเย้นโม่หลินรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที
เขาไม่เคยคิดที่จะทิ้งหล่อนไว้คนเดียวเพื่อไปทำธุระเลย
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า