งานเลี้ยงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ผู้คนพากันแยกย้ายไปจับเข่าคุยกัน ไปเจ๊าะแจ๊ะกับกลุ่มคนที่ตนสนิทชิดเชื้อ
และมีคนมาดื่มไวน์อวยพรให้กับเย้นโม่หลินและกู้จื่อเฟย ทั้งยังมีคนมาถามไถ่อาการของเย้นเจิ้นจื๋อด้วยความห่วงใยอีกด้วย
สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ เจียงเป้ยนีประคองเย้นซิวหย่ามายังตรงหน้าเย้นโม่หลิน
ทุกคนก็รู้เรื่องที่จัดการเย้นจือฮวนก่อนหน้านี้ เรียกได้ว่าเย้นโม่หลินกับคุณหญิงสามผิดใจกันมาก
ตามหลักแล้ว ช่วงนี้เย้นซิวหย่าน่าจะไม่อยากเจอหน้าเย้นโม่หลินที่สุด
ทว่าตอนนี้เธอกลับปั้นรอยยิ้มอันอ่อนโยนและเมตตา ถือไวน์มาตรงหน้าเย้นโม่หลิน
กล่าวอย่างจริงใจว่า
“เสี่ยวโม่ วันนี้คุณหญิงสามมาขอโทษนายนะ ก่อนหน้านี้เป็นความผิดของฉันเอง ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็ปรักปรำกู้จื่อเฟย อบรมสั่งสอนฮวนฮวนไม่ดี เลยปล่อยให้ลูกสาวทำเรื่องโหดร้ายต่อกู้จื่อเฟย
ตอนนี้คุณหญิงสามกับฮวนฮวนถูกลงโทษแล้ว และสำนึกผิดแล้วจริงๆ
ฉันหวังว่านายจะให้อภัยคุณหญิงสามนะ”
หยุดสักพัก เย้นซิวหย่าก็มองมายังกู้จื่อเฟยด้วยความจริงใจ”ฉันยังหวังว่าจะได้รับการอภัยจากหนูด้วยนะ อีกหน่อยพวกเราก็จะเป็นทองแผ่นเดียวกันที่ปรองดองกันแล้ว”
กู้จื่อเฟยประหลาดใจจนเกือบทำแก้วไวน์หล่นพื้น
เธอไม่เคยเจอหน้าคุณหญิงสามท่านนี้มาก่อน
ทว่าช่วงนี้ก็เคยได้ยินคนอื่นเล่ามาบ้างแล้ว และรู้ว่าข่าวลือหนาหู เรื่องเธอเป็นตัวซวยตัวถ่วงก็เป็นฝีมือสกปรกของคุณหญิงสาม
ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ยินมาว่า คุณหญิงสามเป็นคนชอบความสุขสบาย ไม่เอาการเอางาน ทั้งยังเป็นคนอารมณ์ร้ายอีกด้วย โดนลงโทษครั้งนี้ เกรงว่าคงจะแค้นฝังเขี้ยวเธอแล้ว
เธอคิดว่าชาตินี้เธอกับเย้นโม่หลินจะเข้ากับคุณหญิงสามไม่ได้ดุจดั่งน้ำกับไฟ
คาดไม่ถึงว่าหล่อนจะเป็นฝ่ายมาขอโทษและขออยู่กันอย่างเป็นมิตรกับคนรุ่นหลังด้วยตัวเอง
เหนือความตะลึงคือ กู้จื่อเฟยรู้สึกว่าเชื่อถือไม่ได้ เย้นจือฮวนโดนกระเทือนจนเกือบเสียชีวิต ตอนนี้ยังนอนสลบอยู่บนเตียง คุณหญิงสามใจกว้างจนไม่จองเวรจองกรรมเธอหรือ?
แล้วมองเจียงเป้ยนีที่กำลังประคองคุณหญิงสามพลันยิ้มอย่างอ่อนโยน กู้จื่อเฟยรู้สึกว่าต้องเป็นแผนลวงแน่แท้
เธอควงแขนเย้นโม่หลิน ไม่ได้ตอบสนองอะไร
เย้นโม่หลินมองเย้นซิวหย่าด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ สีหน้าเย็นยะเยือกอย่างไม่แยแส ไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร
แววตาเย็นเยียบนั้น ทำให้เย้นซิวหย่ามองแล้วละอายใจ จิตใจไม่สงบเป็นอย่างยิ่ง
ยิ่งกว่านั้นคือรู้สึกไร้เกียรติเหลือเกิน
หล่อนในฐานะผู้อาวุโสกว่า เป็นฝ่ายขอโทษและขอประนีประนอมกันแล้ว ทว่าเย้นโม่หลินยังไม่ยิ้มตอบ กลับทำหน้าเย็นชาใส่หล่อน
มีคนมองดูรอบข้างอยู่มากมาย วันหลังหล่อนจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
เย้นซิวหย่าเกือบปั้นรอยยิ้มไม่อยู่แล้ว
เจียงเป้ยนีเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็รีบยิ้มกล่าวว่า
“พี่เย้นค่ะ พี่กับกู้จื่อเฟยก็ตกลงจะแต่งงานกันแล้ว เสี่ยวหว่านก็จะแต่งงานแล้วด้วย มันเป็นเรื่องน่ายินดีเหลือเกิน งานมงคลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ทุกคนควรรักใคร่กลมเกลียวกัน พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน จะให้เกิดความแค้นภายในบ้านไม่ได้นะคะ”
พูดพลางเข้าใกล้เย้นโม่หลินมากขึ้นอีกหน่อย จากนั้นก็ยกแก้วไวน์ไปยังเย้นโม่หลิน
ทำตาแอ๊บแบ๊ว น้ำเสียงอ่อนนุ่มราวกับกำลังออดอ้อนอยู่”พวกเรามาดื่มกันหนึ่งแก้วนะคะ ให้อภัยกันดีไหมคะ?”
เสียงอันอ่อนหวานมากนี้ กู้จื่อเฟยฟังแล้วรู้สึกขนลุกเล็กน้อย
เธอขมวดคิ้วมุ่น มองเจียงเป้ยนีที่แอบส่งท่าทีโปรยเสน่ห์ จนตัวเกือบติดกับเย้นโม่หลินแล้ว ทันใดนั้นความไม่สบอารมณ์ก็ผุดขึ้นมา
ดังคาด การขอประนีประนอมนั้นเป็นเรื่องเท็จ ความจริงก็คือเจียงเป้ยนีจะมายั่วเย้นโม่หลิน ให้เขาเห็นตัวหล่อน
ผู้ชายของเธอ จะให้นางปีศาจเข้าใกล้ไม่ได้เด็ดขาด
กู้จื่อเฟยรีบเดินไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเจียงเป้ยนีกับเย้นโม่หลิน ทำให้เจียงเป้ยนีถอยกรูดไปด้านหลังหนึ่งก้าว
เจียงเป้ยนีถอยอย่างตั้งตัวไม่ติด รองเท้าส้นสูงแหลมเกินไป เกือบยืนไม่มั่นคงจนล้มไปกองกับพื้น
จากความกระวนกระวาย เธอรีบจับยึดเย้นซิวหย่าผู้ที่เปรียบเสมือนที่พึ่งสุดท้าย
อาการบาดเจ็บของเย้นซิวหย่ายังไม่หายดี รับการดึงจับได้อย่างไร ทันใดนั้นสีหน้าพลันแปรเปลี่ยน อยากตบเจียงเป้ยนีให้ลอยกระเด็นไปเลย
“รีบปล่อยฉันนะ”
เย้นซิวหย่าขบฟันด่าทอ
เจียงเป้ยนียังไม่ทันยืนมั่นคง เมื่อเจอแววตาเคียดแค้นและเสียงก่นด่า เธอก็รีบปล่อยมือด้วยความตกใจ
พร้อมกันนั้น เธอยิ่งรู้สึกใบหน้าแผดเผาอย่างรุนแรง
เธอมีภาพลักษณ์สูงส่งมาโดยตลอด เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน ทว่าตอนนี้กลับถูกเย้นซิวหย่าสบถด่าเช่นนี้
คนอื่นเห็นจะคิดเช่นไรต่อเธอล่ะ?
ยิ่งไปกว่านั้น เย้นโม่หลินยังอยู่ด้วย
เจียงเป้ยนีอับอายจนอยากหายตัวทันทีทันใดเหลือเกิน
เย้นซิวหย่าด่าเสร็จก็รู้ตัวว่าเสียมารยาทแล้ว สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ข่มเพลิงโทสะไว้ พลางกล่าวกับกู้จื่อเฟยว่า
“จื่อเฟย หนูเป็นอะไรเหรอ หรือหนูไม่อยากให้อภัยคุณหญิงสาม?”
ระหว่างที่พูด เย้นซิวหย่าพลันทำหน้าเศร้าสร้อย
ดูแล้วเหมือนกู้จื่อเฟยไม่เคารพผู้ใหญ่ กำลังรังแกหล่อนอยู่
ขมับของกู้จื่อเฟยก็กระตุกกะทันหัน
ดังคาด ผู้มาประสงค์ร้ายจริงๆ
เธอหันหลังให้เย้นโม่หลิน พลางกล่าวด้วยเสียงหัวเราะกับเขา
“พี่เย้นค่ะ ทำยังไงดีคะ?”
เย้นโม่หลินสีหน้าเย็นเยียบ น้ำเสียงเย็นยะเยือก”ไล่ไปก็พอ”
กู้จื่อเฟย”……”
มีความดื้อรั้นเต็มประดา
เย้นโม่หลินไม่สนใจผู้หลักผู้ใหญ่อะไรทั้งนั้น ทว่าเธอพึ่งมาใหม่ยังไม่รู้อะไรมากนัก อยากมีภาพลักษณ์ในแง่มุมที่ดีในฐานะสะใภ้ตระกูลเย้น หากไล่คุณหญิงสามต่อหน้าแขกเหรื่อ เกรงว่าชาตินี้คงล้างภาพลักษณ์หญิงร้ายไม่ได้
กู้จื่อเฟยครุ่นคิดดูแล้ว กล่าวอย่างไม่กดเสียงต่ำลง
“คุณหญิงสาม ฉันก็ไม่ใช่คนใจแคบ ในเมื่อสำนึกผิดแล้วก็แล้วกันไป วันหลังอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกก็พอ
แต่ไวน์นี้ฉันไม่ดื่มแล้ว เพราะแผลฉันยังไม่หายดี ดื่มเหล้าดื่มไวน์ไม่ได้
โปรดเข้าใจด้วย”
ฟังเหมือนเป็นถ้อยคำสุภาพ แต่กลับมีความห่างเหินที่ไม่ปกปิดเลยสักนิด
คนในงานทุกคนรู้ความหมายของกู้จื่อเฟยดี
ด้วยความเป็นเครือญาติ จึงรับการขอโทษจากคุณหญิงสาม ทว่าถึงอย่างไรก็เคยเกิดเรื่องแย่ๆ ต้องมีความรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง จึงให้อบอุ่นอย่างกระตือรือร้นไม่ได้
นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนเข้าใจได้
ผู้คนมองกู้จื่อเฟย บางคนถึงกลับพยักหน้าเห็นด้วย รู้สึกว่าเธอน่ามองมากขึ้น
เย้นซิวหย่าที่ถือแก้วไวน์แข็งทื่อกลางอากาศ
ใบหน้าทั้งแดงทั้งขาวซีด แต่ก็ยังต้องระงับความโกรธขึ้ง รักษารอยยิ้มไว้
สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆหลายครั้ง แต่ก็ไม่อาจทานทนได้!
เจียงเป้ยนีกัดฟัน ระงับความอยากหายตัวทันทีไว้ ก่อนจะไปดึงเสื้อเย้นซิวหย่าเบาๆ
กล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
“คุณป้า อย่าลืมแผนการของพวกเรานะคะ”
เย้นซิวหย่าที่กำลังระเบิดน้ำโห ชั่วพริบตานั้นก็อดกลั้นไว้
ใช่แล้ว พวกเธอยังมีแผนทำให้กู้จื่อเฟยตาย
ไม่ยอมอดทนเรื่องเล็กจะเสียงานใหญ่ได้
เธอจะทน
เย้นซิวหย่าเก็บแก้วไวน์กลับมา กล่าวด้วยท่าทีใจคอกว้างขวางว่า
“บาดเจ็บแล้วดื่มไม่ได้จริงๆแหละ ไม่งั้นจะทำให้ยิ่งเจ็บหนักกว่าเดิม ส่วนฉันก็จะกลายเป็นคนผิดโดยปริยาย
ฉันได้ยินคนอื่นบอกว่าหนูชอบดูคอนเสิร์ตมาก จึงเชิญชิวเจ๋อมาโดยเฉพาะ”
ชิวเจ๋อ?
กู้จื่อเฟยตกตะลึง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ