เย้นหว่านแก้มแดงก่ำ ปากขมุบขมิบ ตกใจจนไม่สามารถพูดเสียงออกมาได้
จู่ๆ ถูกสั่งให้เปลี่ยนคำเรียก มันยากเกินไปที่จะเอ่ย เธอยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย
เย้นหว่านอยากจะหลบ แต่โห้หลีเฉินกลับไม่ให้โอกาสนี้แก่เธอ
ใบหน้ารูปงามชิดเข้าใกล้ เสียงพูดอุ่นราวกับไอน้ำร้อนลวกผิวหนังเธอเป็นระยะๆ
“หือ”
โห้หลีเฉินส่งเสียงเบาๆ ที่ยำเกรงออกมา ราวกับกำลังรออย่างคาดหวัง แต่เหมือนบังคับมากกว่า
ราวกับถ้าเธอไม่ยอมเอ่ยปาก เขาก็จะบรรจงจูบเธออีกครั้ง
เย้นหว่านแม้แต่หายใจยังติดขัด หัวใจเต้นตึกตัก
บางทีอาจด้วยตื่นเต้นเกินไป ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่คุ้นเคย “อุ๊บ——”
เธออุดปากไว้แล้วรีบพุ่งไปที่หน้าถังขยะ
โห้หลีเฉินสีหน้าเปลี่ยนทันที ลุกขึ้นทันใด แล้วมาที่ข้างกายเย้นหว่านจากลูบหลังเธอเบาๆ
อาเจียนอีกแล้ว
ทุกครั้งที่สีหน้าของเขาดูจริงจังราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู เหมือนกับว่าเป็นความทุกข์ทรมาน
เย้นหว่านอาเจียนน้ำย่อยออกมาอยู่สักพัก ถึงได้สงบลง
โห้หลีเฉินรินน้ำยื่นให้กับเธอพร้อมกระดาษทิชชู ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เป็นอย่างไรบ้าง จะให้เรียกคุณหมอไหม”
“ไม่ต้อง พออ้วกเสร็จก็ดีขึ้นมากแล้ว”
เย้นหว่านส่ายหน้า คืนของการเข้าเรือนหอ เธอไม่อยากจะเรียกคุณหมอ
เธอรู้สึกไม่ค่อยดี “เดี๋ยวนี้ฉันค่อนข้างเก่งการทำลายอารมณ์ความรู้สึกมากเลยใช่ไหม”
อารมณ์ความรู้สึกเมื่อสักครู่ออกจะดีขนาดนั้น ตอนนี้ไม่เหลือแล้ว
โห้หลีเฉินลูบผมของเธอด้วยความรักความเอ็นดู น้ำเสียงอ่อนโยนสุดๆ
“สุขภาพของคุณสำคัญที่สุด อารมณ์ความรู้สึกต่อไปพวกเราค่อยๆ ปรับก็ได้”
ทีนี้ กลับกลายเป็นเขาที่ใจเย็น ไม่ใจร้อนอยากจะเข้าห้องหอสักนิดเดียว
เย้นหว่านอดยิ้มไม่ได้
เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงกล่าวถามขึ้น
“ตอนนี้คุณวันๆ ใช้เวลาดูแลฉันมากขนาดนี้ เรื่องภายนอกคุณจัดการทันหรือเปล่า”
พักนี้เย้นหว่านสังเกตเห็นว่าโห้หลีเฉินนอกจากจะย้ายห้องทำงานของเขามาที่ตึกเล็กแล้ว เวลาส่วนใหญ่ที่ไม่มีอะไรทำ เขาก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ
งานแต่งงานวันนี้ ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไม่ได้แตะเรื่องภายนอกเลย
วันปกติยังดีหน่อย แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์ซับซ้อน ตามหลักแล้วช่วงเวลาที่ยุ่งที่สุดและเขา ก็จะยิ่งอยู่ไม่ห่างจากเธอ
“มีเว่ยชีอยู่ เขาสามารถจัดการได้ดี”
โห้หลีเฉินลูบหลังเย้นหว่านเบาๆ “ตอนนี้คุณคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผม”
เย้นหว่านแก้มแดงขึ้น แล้วก็เงียบไม่พูดอะไร
เว่ยชีติดตามโห้หลีเฉินมานานหลายปี ความสามารถแข็งแกร่ง โห้หลีเฉินมอบหมายให้กับเขา เขาน่าจะสามารถจัดการได้
……
เกิดเรื่องใหญ่กับตระกูลเย้น
ในเวลาเดียวกัน ฐานที่มั่นสำคัญที่เป็นความลับหลายแห่งบนโลกนี้ของตระกูลเย้นถูกโจมตีในเวลาเดียวกัน ทำความเสียหายยากที่จะประมาณการ ทำให้ฐานตระกูลเย้นเสียหายยับเยิน
ทั้งตระกูลเย้นทุกคนล้วนช็อกกับเหตุการณ์ครั้งนี้
แม้แต่คนป่วยที่นอนพักรักษาติดเตียงอย่างเย้นเจิ้นจื๋อก็ถึงกับช็อก ฝืนประคองร่างที่ป่วยเข้าร่วมจัดการกับเหตุการณ์นี้
และสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือหยูฉู่สองเข้าโจมตีอย่างดุดันในเวลานี้ อาศัยยามตระกูลเย้นปั่นป่วนวุ่นวาย หวังโค่นทำลายตระกูลเย้นให้สิ้นซากในเวลาเดียวกัน
ตระกูลเย้นที่เดิมที่ยังสามารถต่อต้านตระกูลหยูได้ ฉับพลันลมพายุถาโถมซัดกระหน่ำ
ใบหน้าเย้นโม่หลินคร่ำเครียด เร่งรีบเดินกลับไปในตึกเล็กของเขา แล้วเรียกกู้จื่อเฟยลงมา
กู้จื่อเฟยมองดูชุดของเขาที่พร้อมที่จะออกไป ใบหน้าจึงรู้สึกแปลกใจ
“พี่เย้น เกิดอะไรขึ้น”
“สถานการณ์ตระกูลเย้นตอนนี้ตกอยู่ในสภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน พี่จะต้องออกไปจัดการ ออกไปครั้งนี้ต้องใช้เวลานาน และก็ไม่แน่ใจว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะได้กลับมา”
กู้จื่อเฟยมองเย้นโม่หลินด้วยความตกใจ ฉับพลันในใจก็รู้สึกกังวล
จะไปนานแค่ไหน
นั่นก็หมายถึงว่าอีกนานที่เธอจะไม่สามารถเจอกับเย้นโม่หลิน
เย้นโม่หลินกล่าวต่อ “สถานการณ์ของตระกูลเย้นตอนนี้ไม่ค่อยสู้ดี ตอนที่ผมไม่อยู่ คุณควรอยู่แต่ในบ้านจะดีที่สุด ถ้าหากว่ามีเรื่องอะไร ก็ให้ป่ายฉีไปจัดการ ผมจะให้เขาดูแลคุณ รับผิดชอบความปลอดภัยของคุณ”
ให้ป่ายฉีดูแลเธอ?
กู้จื่อเฟยฉับพลันรู้สึกวิตก……
แต่ว่านี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เธอก้าวมาข้างหน้าคว้าแขนของเย้นโม่หลินไว้ ใบหน้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“คุณออกไปแล้วจะเป็นอันตรายไหม”
เย้นโม่หลินตอบอย่างตรงไปตรงมา “อันตราย”
กู้จื่อเฟยจับมือของเย้นโม่หลินแน่นขึ้นทันใด
“ไม่มีใครสามารถทำร้ายผมได้”
เย้นโม่หลินจึงได้พูดออกมาหนึ่งประโยค
เมื่อพูดจบ เขาเองก็ตกใจ คำพูดปลอบประโลมแบบนี้ดูเหมือนเขาไม่เคยพูด
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นขนาดนี้ และก็ปลอบโยนคนอื่น
แต่ก็ไม่มีเวลามาครุ่นคิด เย้นโม่หลินมองกู้จื่อเฟยอย่างเคร่งขรึม และกำชับอย่างจริงจัง
“ผมจะจัดคนมาปกป้องคุณ แต่ว่าในบ้านใช่ว่าจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ คุณจะต้องตื่นตัวหน่อยรู้ไหม”
ตอนนี้สิ่งที่กู้จื่อเฟยเป็นห่วงมากที่สุด ก็คือความปลอดภัยของเย้นโม่หลิน
ออกไปนานขนาดนั้น อีกทั้งยังอันตรายอีก
เธอเห็นแก่ตัวไม่อยากปล่อยเขาไป “คุณไม่ไปไม่ได้เหรอ”
“มีเพียงแค่ผมที่จะสามารถจัดการเรื่องราวได้”
กู้จื่อเฟยจิตใจหดหู่ ไม่อยากจะให้เย้นโม่หลินไป แต่ก็เข้าใจในเหตุผล ในชั่วโมงแบบนี้เธอไม่ควรไปตอแยไปถ่วงเขา
เธอจะต้องรู้จักวางตัว
“อย่างนั้นคุณรับปากฉัน ไม่ว่าจะยุ่งเพียงใด ก่อนเที่ยงคืนของทุกวันคุณจะต้องโทรมารายงานความปลอดภัยของคุณ ถ้าหากเป็นไปไม่ได้ แค่เพียงข้อความก็ยังดี”
ต่อให้ยุ่งแค่ไหน ก็เจียดเวลามาส่งข้อความได้อยู่มั้ง
เย้นโม่หลินกลับไม่มีอาการลังเลแต่อย่างใด กลับตอบทันที “ได้”
เมื่อพูดจบ เขาก็มองนาฬิกาในมือ “ผมต้องไปแล้ว”
กู้จื่อเฟยจับมือเย้นของโม่หลินไว้แน่น แล้วก็แน่นขึ้นไปอีก
เย้นโม่หลินมองเธออย่างจนใจ แต่ก็ไม่ได้เร่ง
“คุณต้องระวังตัวให้ดีนะ จะต้องกลับมาเร็วๆ ”
เธอกล่าวด้วยความกังวล แล้วฝืนความในใจที่ไม่เต็มใจ ค่อยๆ ปล่อยมือของเย้นโม่หลิน
เย้นโม่หลินมองเธอด้วยสายตาซับซ้อน เกิดความรู้สึกแปลกๆ ไหลเข้ามาในจิตใจของเขา
เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่มีคนตั้งใจจดจ่อรอเขากลับบ้าน
เมื่อมองเธอที่แบบนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาก็รู้สึกไม่อยากจะออกไป อยากจะอยู่ที่นี่เพื่อให้เธอได้สบายใจ
แต่ว่าเรื่องนี้สำคัญ จะต้องเป็นเขาเท่านั้น
“ผมจะกลับมาให้เร็วที่สุด”
เงียบอยู่สักพัก เขาก็ได้กล่าวเสริมอย่างจริงจัง “ปลอดภัยกลับมา”
กู้จื่อเฟยจมูกเริ่มคัด เมื่อส่งเย้นโม่หลินถึงหน้าประตูตึกเล็ก มองรถของเขาจนกระทั่งแม้แต่ท้ายรถก็มองไม่เห็น
เธอยังคงจ้องมองตรงไปสุดถนน หัวใจหนักอึ้ง เหมือนมีอะไรมาทับไว้
บางทีอาจเป็นเพราะจากกันครั้งแรก จึงทำให้เธอรู้สึกไม่ชิน
หรือบางทีอาจเป็นสัมผัสที่หกที่ไม่สบายใจ เป็นห่วงแทนเขา……
“รถได้ขับไปร้อยกว่ากิโลฯแล้ว คุณยังดูอะไรอีก คิดว่าตัวเองมีตาทิพย์หรือไง”
ในขณะนั้น เสียงถากถางของชายหนุ่มดังมาจากไม่ไกล
เห็นป่ายฉีที่สวมใส่เพียงชุดลำลอง เดินยืดยาดเข้ามาด้วยใบหน้าที่ขี้เล่นหยอกเย้า
เมื่อเทียบกับความสบายใจๆ ของเขา กู้จื่อเฟยนั้นราวกับคนอมทุกข์
เธอถามขึ้น
“คุณรู้ไหมว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พี่เย้นนั้นไปทำอะไร อันตรายไหม”
ป่ายฉีกล่าว “คุณถามคำถามมากมายทีเดียวขนาดนี้ จะให้ผมตอบคำถามไหนก่อนดี”
คำถามไหนกู้จื่อเฟยก็ใจร้อนที่อยากจะรู้
แต่ป่ายฉีไม่ใช่คนที่จะง่ายในการสื่อสารนัก เพื่อให้ได้มาซึ่งมูลจากเขา เธอจับผมแล้วครุ่นคิด
“พี่เย้นไปครั้งนี้อันตรายไหม”