เย้นโม่หลินยังคงขมวดคิ้วเหมือนเดิม พูดด้วยความจริงจังว่า
“เธอผอมเกินไปแล้ว รับไม่ไหว รอให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงแล้ว ค่อยพูดเรื่องนี้”
กู้จื่อเฟยมองเย้นโม่หลินด้วยความตะลึงงัน
ปฏิเสธได้อย่างจริงจังขนาดนี้เลย?
เธอกัดฟัน “นายกลับใจแล้วใช่ไหม? สิ่งที่พูดเมื่อวานโกหกฉันทั้งนั้น?”
ใช่แล้ว ต้องใช่แน่ๆ
เย้นโม่หลินผู้ชายที่เก็บตัวหัวโบราณแบบนี้ ทำไมจู่ๆ ถึงเปิดใจ ตอบตกลงว่าจะถูกเอาง่ายขนาดนั้น ยังพูดอีกว่าอยากเอาเธอ?
เธอช่างใสซื่อเกินไปแล้ว ถึงได้ไปเชื่อคำพูดบ้าบอของเขา
“ฉันไม่มีทางโกหกเธอ” เย้นโม่หลินปฏิเสธ
สีหน้าของกู้จื่อเฟยกลับเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ “นายโกหกฉันนั่นแหละ ยัยขี้โกหก ฮึ้ม ฉันจะไม่สนใจนายแล้ว”
หลังจากพูดจบ กู้จื่อเฟยหันหลังแล้ววิ่งไปเลย
เธอวิ่งไปไกลมาก ในตอนที่เธอหันกลับมา ข้างหลังว่างเปล่าไปหมด ไม่มีคนตามมาด้วยจริงๆ
เธอมองดูข้างหลัง อดเบ้ปากขึ้นไม่ได้
พี่เย้นไม่ตามเธอแล้วจริงๆ?
ขณะนี้ควรจะมาตอแยง้อเขาก็ได้แล้วไม่ใช่หรอ
ทว่า ใครให้เขาเป็นเย้นโม่หลินล่ะ ไม่วิ่งตามมาถือเป็นเรื่องปกติมากแล้ว คาดว่าตอนนี้คงจะกำลังวิเคราะห์ปัญหาเรื่องโกหกไม่โกหกอย่างจริงจังอยู่สินะ
กู้จื่อเฟยยิ้มด้วยความจนปัญหา ทันใดนั้น รอยิ้มบนใบหน้าก็แขวนไม่อยู่ ทับถมลงมา
เธอจับกระเพาะของตัวเอง มีความในใจเต็มไปหมด
โรคเบื่ออาหารไม่ใช่ว่าไม่มียารักษา หากส่งไว้ในมือของป่ายฉี เขาอาจจะรักษาได้เร็วกว่า
ในไม่ช้าเธอก็สามารถปรับสมดุลกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
ทว่า……
นิ้วมือของกู้จื่อเฟยจับคอเสื้อของตัวเองแน่น พยายามอดทนปกปิดสุดความสามารถ
เธอไม่อยากรับการรักษาโรคเบื่ออาหาร
โรคนี้ ไม่เพียงแต่อยู่บนร่างกาย ยังเป็นบาดแผลในใจอีกด้วย
ถึงแม้ว่าเธอจะเข้มแข็งเพียงไหน การถูกทำร้ายในสองเดือนกว่า ช่วงชีวิตที่ตายทั้งเป็น หัวใจของเธอล้วนถูกทำลายไปด้วย ถึงแม้ว่าตอนนี้จะปลอดภัยแล้ว แต่กลับไม่กล้าหวนคิดเรื่องทั้งหมดในสองเดือนที่แล้วอีก
เล็กๆน้อยๆ ทุกๆเรื่องราว ต่างก็เหมือนฝันร้ายที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจเธอ
ยับยั้งไว้ไม่พลิกขึ้นมา เธอยังสามารถใช้ชีวิตดีๆได้ ทว่าพลิกขึ้นมา เธอก็จะตกลงไปยังเหวลึกที่น่ากลัวและเจ็บปวด
เธอไม่อยากไปคิด ไม่กล้าไปคิด
และในระหว่างการรักษา เธอไม่อยากให้เย้นโม่หลินรู้ว่าสองเดือนนี้เธอผ่านมายังไง เธอไม่อยากให้เขาเจ็บปวด
กู้จื่อเฟยยืนอยู่ที่เดิมนานมาก พยายามยับยั้งอารมณ์ที่ผุดออกมาจากหน้าอกลงไป หันหลังแล้วเดินเข้าไปในห้องครัว
ห้องครัวในโรงแรมเป็นห้องกว้าง ถึงแม้ว่าโรงแรมจะถูกเหมาแล้ว ทว่าข้างในก็มีเชฟมืออาชีพที่เย้นโม่หลินมาพาอยู่ตลอดเวลา อยู่ในหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง
เห็นว่ากู้จื่อเฟยมาแล้ว เชฟทั้งสองและผู้ช่วยอีกไม่กี่คนต่างก็รีบเดินขึ้นไป
“คุณกู้ครับ คุณมาที่นี่ได้ยังไงครับ? คุณอยากทานอาหารอะไรหรือเปล่าครับ? พวกผมสามารถรีบทำได้ทันทีเลยครับ”
หัวหน้าเชฟยิ้มแล้วพูดอย่างมีมารยาท
กู้จื่อเฟยยิ้มตอบกลับอย่างมีมารยาท “ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ฉันมาที่นี่จริงๆแล้วอยากทำเองค่ะ ทำอาหารให้คุณชายเย้นด้วยตัวเอง พวกคุณสามารถยืมห้องครัวให้ฉันใช้สักครู่ได้ไหมคะ?”
“ได้อยู่แล้วครับ”
หัวหน้าเชฟตอบด้วยความไม่ลังเล “คุณต้องการอะไรสามารถใช้ได้หมดเลยครับ พวกผมคอยช่วยคุณนะครับ”
“ไม่ต้องค่ะไม่ต้อง ฉันอยากจัดการเองทั้งหมดเลย พวกคุณกลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ”
“อันนี้……” หัวหน้าเชฟมีความลำบากใจ “คุณกู้ครับ เข้าครัวทำอาหารยุ่งยาก งานก็เยอะมากครับ หรือว่าเหลือผู้ช่วยหนึ่งคนไว้ช่วยคุณก็ดีครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยู่บ้านก็เข้าครัวบ่อยค่ะ ฉันสามารถจัดการได้ค่ะ”
เห็นกู้จื่อเฟยยืนหยัดขนาดนี้ ถึงแม้ว่าหัวหน้าเชฟจะไม่ค่อยวางใจ ทว่าก็ไม่ดีที่จะพูดอะไรเพิ่มแล้ว
เขาได้กำชับว่าของประมาณไหนวางอยู่ที่ไหน จากนั้นจึงจะเรียกคนในครัวเดินตามออกไป
เขาพึ่งเดินมาถึงหน้าประตู กู้จื่อเฟยก็พูดขึ้นทันทีว่า
“คือว่า ขอรบกวนพวกคุณช่วยฉันปิดเป็นความลับก่อนนะคะ ไม่ต้องบอกคุณชายเย้น ฉันอยากเซอร์ไพรส์เขา หากว่าทำออกมาไม่อร่อย ก็จะได้ไม่ทำให้เขาผิดหวังค่ะ”
หัวหน้าเชฟพยักหน้าตอบรับ จึงจะเดินออกไป
ห้องครัวที่กว้างใหญ่ว่างเปล่า มีเพียงแค่กู้จื่อเฟยคนเดียว
หลังจากกู้จื่อเฟยมองดูอาหารและเครื่องปรุง คุ้นชินกับบรรยากาศรอบๆ ก็เริ่มจุดไฟต้มบะหมี่
บะหมี่คือสิ่งที่เธอชอบทาน อีกอย่างในบางครั้งเธอก็จะทำเป็นอาหารมื้อดึก ฝีมือด้านนี้ถือว่ายังไม่เลว
เมื่อก่อนเธอยังเคยทานอาหารมื้อดึกเป็นบะหมี่กับเย้นโม่หลินด้วย
กู้จื่อเฟยนึกถึงเรื่องพวกนั้น ริมฝีปากก็อดยิ้มโค้งขึ้นไม่ไหว
ต้มบะหมี่นั้นเร็วมาก ผ่านไปไม่นาน บะหมี่ชามหนึ่งที่หอมและรสชาติครบเครื่องก็ถูกเธอทำออกมา
เธอนำบะหมี่วางไปยังโต๊ะวางเล็กๆในครัว ไม่ได้เสิร์ฟออกไป แต่ว่ายืนอยู่ข้าง หยิบตะเกียบไว้
เธอมองดูบะหมี่ชามนี้ นัยน์ตามีความหมองหม่น
สิ่งของที่เธอชอบทานในก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็ชอบเหมือนเดิม
ไม่แน่ เธออาจจะสามารถทานลงไปก็ได้
กู้จื่อเฟยสร้างความคิดอุดมการณ์ที่เข้มแข็งให้กับตัวเอง รวบรวมความกล้า คีบบะหมี่ขึ้นมา แล้วป้อนเข้าไปในปากของตัวเอง
ก็ยังเป็นรสชาติเหมือนเมื่อก่อน
ทว่า……
“แหวะ!”
ยังไม่ทันกินบะหมี่ลงไป กระเพาะของเธอก็มีความรู้สึกคลื่นไส้ที่คุ้นชินผุดขึ้นมา
ความรู้สึกแบบนั้นรุนแรงเกินไป เป็นพลังอันมหาศาล ทันใดนั้นทำให้เสียรสชาติของบะหมี่ทันที กลายเป็นว่ากลืนไม่ลงแล้ว
กู้จื่อเฟยอวกบะหมี่ลงในถังขยะด้วยความเจ็บปวด สีหน้าซีดขาวไปหมด
แต่กลับไม่ได้ยอมแพ้ในตอนนี้
เธอจัดการกับตัวไปเล็กน้อย แล้วคีบบะหมี่อีกคำ ยัดเข้าไปในปากของตัวเองโดยตรงเลย
เธอเคี้ยวไปสองคำ จากนั้นก็กลืนลงไป
กินอย่างตะกละตะกลาม แล้วต่อด้วยคำต่อไป ยัดเข้าไปทีละคำ
เธอยับยั้งการตอบสนองร่างกายของตัวเอง ไม่ให้โอกาสตัวเองอวกออกมา ถึงขั้นยับยั้งจนน้ำตาไหลออกมา
เจ็บปวด
เจ็บปวดมาก
การกินข้าวให้อิ่มกลายเป็นเรื่องตายทั้งเป็นเรื่องหนึ่ง
“แหวะ แหวะ”
กู้จื่อเฟยจับหน้าอกด้วยความเจ็บปวด สุดท้ายก็ทนไม่ไหวอวกออกมาอีกครั้ง
เธอนั่งลงพื้น เหงื่อเต็มทั่วศีรษะ สีหน้าซีดขาว
ในดวงตา มีน้ำตาไหนวนอยู่
เอาชนะไม่ไหว เอาชนะไม่ไหวจริงๆ
ความคัดค้านของร่างกาย ความกลัวที่อยู่ในใจ ทำให้เธอเหมือนถูกขังอยู่ในความมืด ไม่สามารถทะลุออกไปไม่สามารถก้าวข้ามออกไปได้
ยอมให้ตัวเองหิวตาย ก็กินอาหารไม่ลงเลยแม้แต่น้อย
“ทำยังไงดี ฉันควรทำยังไงดี?”
กู้จื่อเฟยกุมไปที่ศีรษะ ร้องไห้สะอึกสะอื้น
ความสับสนไร้ที่พึ่งพาเหมือนกลับไปยังประภาคารนั้นอีกครั้ง ผิดหวังและหวาดกลัว ถูกความมืดโอบล้อมกลืนกิน ไม่มีความแสงสว่างแม้แต่หน่อยและไม่มีวิธีที่จะอยู่รอดไปได้
ขณะนี้ นอกห้องครัว ข้างนอกหน้าต่างมีกระจกบานหนึ่งที่ปิดไว้ มีเงาคนที่ตัวสูงคนหนึ่งยืนอยู่
นัยน์ตาของเย้นโม่หลินมืดหม่น มองดูคนตัวน้อยที่นั่งร้องไห้อยู่ที่พื้นผ่านกระจก
เขากำหมัดแน่น ทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าขั้นสุด และความอดทน
จริงๆ แล้วเขาเดินตามกู้จื่อเฟยมาตลอด
มองดูเธอเดินเข้าไปในห้องครัว ปลีกตัวทุกคนออกไป มองดูเธอต้มบะหมี่ มองดูเธอบังคับให้ตัวเองกิน แต่กลับอวกออกมาทั้งหมด
เขามองดูเธอ ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด
หัวใจของเขาเจ็บปวดราวกับถูกคนแทงจนเป็นแผล เลือดกำลังไหลออกมาไม่หยุด
เขาอยากจะไปกอดเธอ ปลอบโยนเธอ บอกกับเธอว่าทุกอย่างจะผ่านไป ทว่าใต้เท้ากลับมีรากติดอยู่ ไม่สามารถเดินเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว