เธอพูดด้วยเสียงแหบ กึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจัง “ฉันต้องอ้วนขึ้นแน่ๆ ในไม่ช้าก็จะอ้วนเป็นเอวที่ใหญ่เท่าถังน้ำจนนายอุ้มไม่ไหว”
“ได้ ฉันรอเธอ”
เย้นโม่หลินพูดด้วยความเอ็นดู เสียงที่นุ่มต่ำแบบนั้นช่างน่าหลงใหลมาก
กู้จื่อเฟยสูดจมูก รู้สึกหนักใจและดูซับซ้อนไปหมด
เธอไม่อยากให้เขาเป็นห่วง ทว่าเป็นแบบนี้ต่อไป อาการของเธอก็คงจะปิดบังไม่อยู่แล้ว
ในอ้อมกอดของเย้นโม่หลินอบอุ่นมาก เป็นสถานที่ที่กู้จื่อเฟยสงบสุขที่สุด ทว่าในใจของเธอกลับเหมือนมีแม่แรงกดทับไว้ หนักแน่นจนทำให้เธอหายใจไม่ออก
กู้จื่อเฟยรู้สึกหนักใจ นอนไม่หลับทั้งคืน
เธอไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ชั่วโมงแล้วเธอจึงจะนอนหลับ ตอนที่ตื่นขึ้นมา ดวงอาทิตย์ก็ส่องตูดแล้ว
และข้างกายของเธอ ก็ไม่มีใครตั้งนานแล้ว
พี่เย้นล่ะ?
จิตใต้สำนึกของกู้จื่อเฟยจะตามหาเขา ขณะนี้สาวใช้ที่อยู่นอกห้องได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ก็เปิดประตูออกทางข้างนอก
เธอยิ้มพลางพูด “คุณกู้ คุณตื่นแล้วเหรอคะ ฉันปรนนิบัติรับใช้คุณล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้านะคะ”
“ไม่ต้อง เย้นโม่หลินล่ะ?”
“คุณชายอยู่ในห้องครัวค่ะ”
กู้จื่อเฟยแปลกใจ จะทานข้าวไปที่ห้องอาหารก็ได้แล้ว ไปห้องครัวทำไม?
สาวใช้ก็เป็นคนที่มีไหวพริบดี รู้ว่ากู้จื่อเฟยสงสัย จึงอธิบายตอบ
“อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้อาหารไม่ค่อยถูกปากคุณ คุณชายจึงเข้าครัวด้วยตัวเอง ทำอาหารที่คุณชอบให้คุณทานค่ะ”
“เย้นโม่หลินเข้าครัวด้วยตัวเอง?”
หลังจากได้ยินแล้ว เสียงของกู้จื่อเฟยก็สูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
นี่เป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ที่แม้แต่คิดก็ไม่กล้าคิดเลยนะ
สาวใช้ยิ้มตอบ “หนูก็พึ่งเห็นคุณชายเข้าครัวครั้งแรกค่ะ น่าตะลึงมากค่ะ คุณชายใส่ใจคุณกู้มากๆ เลยนะคะ คุณช่างโชคดีจริงๆ”
โชคดี……
กู้จื่อเฟยจะแค่โชคดีได้ยังไงล่ะ เป็นเหมือนดั่งเมฆที่ลอยอยู่บนฟ้าเลยด้วยซ้ำ สวยงามจนเหมือนไม่ใช่ความจริงต่างหาก?
เธอรอไม่ไหวแล้วที่จะไปดูว่าเย้นโม่หลินอยู่ในห้องครัวเป็นยังไงบ้าง หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก็วิ่งไปทางห้องครัว
“คุณกู้ ช้าหน่อยค่ะ”
สาวใช้พูดเตือนอยู่ข้างหลังอย่างไม่วางใจ เห็นกู้จื่อเฟยขึ้นลิฟต์ไป จึงจะกดโทรออกไปสายหนึ่ง
“บอกคุณชายว่า คุณกู้ลงมาแล้ว อาหารสามารถเตรียมเสิร์ฟบนโต๊ะได้แล้ว”
ห้องครัวในโรงแรมอยู่ในสถานที่โดยเฉพาะ ครั้งที่แล้วกู้จื่อเฟยเคยมาแล้ว จึงคุ้นชินกับระยะทางแล้ว
เธอเดินก้าวไปด้วยความเร็ว แล้วเห็นเย้นโม่หลินเดินออกมาจากในห้องครัวพอดี
ข้างหลังของเขา มีสาวใช้สิบกว่าคนตามอยู่ ในมือของทุกคนต่างก็ถือถาดจานไว้ ถือโจ๊กที่ต้มซุปไว้ชามหนึ่ง
กู้จื่อเฟยรีบวิ่งเข้าไป “ทำเสร็จแล้วเหรอ?”
เธอมีความผิดหวังเล็กน้อย ไม่ได้เห็นท่าทางเย้นโม่หลินสวมผ้ากันเปื้อนลายดอกเข้าครัวกับตาเลย
เย้นโม่หลินพยักหน้า เดินตรงไปทางห้องอาหารน้อยที่อยู่ใกล้กับห้องครัวที่สุด
“มานั่ง”
เขาจูงมือกู้จื่อเฟยมานั่งยังบนเก้าอี้ สาวใช้วางโจ๊กลงบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ
เปิดฝาออก มีกลิ่นหอมลอยออกมาจากข้างใน
“ทำโจ๊กทันแค่สิบแบบ มีหวานมีเค็ม มีจืดและมีแบบเนื้อ เธอชอบทานอะไร?”
เย้นโม่หลินพูดด้วยความคล่องแคล่วชำนาญ สำหรับโจ๊กพวกนี้ คุ้นชินชำนาญมาก
กู้จื่อเฟยมองเขาด้วยความตะลึง ไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย ว่าโจ๊กพวกนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำ
ก่อนหน้านี้ เย้นโม่หลินไม่เคยใส่ใจเลยว่าอาหารเป็นยังไง
กินได้ก็กิน
กู้จื่อเฟยมองเขาด้วยนัยน์ที่ที่เปล่งประกาย ถามขึ้นว่า
“ทำไมถึงคิดอยากทำด้วยตัวเองล่ะ? โจ๊กพวกนี้ ให้เชฟทำก็ได้”
สิบแบบสิบรสชาติ สำหรับเชฟแล้วถือเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
เย้นโม่หลินพูดอย่างเป็นทางการมาก “หากฉันเป็นคนทำ ไม่แน่เธออาจจะสามารถทานได้เยอะหน่อย”
กู้จื่อเฟยรู้สึกเหมือนดั่งถูกฟ้าผ่า มองดูผู้ชายตรงหน้าที่สีหน้าจริงจังนี้ หัวใจของเธอเหมือนถูกไฟช็อต
เธอรู้สึกแสบจมูก แกล้งทำเป็นเฉยชาแล้วพูดว่า “นายรู้ได้ยังไงว่าฉันจะทานมากขึ้น? นายเข้าครัวครั้งนี้ หากทำออกมาไม่อร่อยล่ะ ฉันอาจจะทานน้อยกว่าเดิมก็ได้?”
“ไม่หรอก”
เย้นโม่หลินมั่นใจ “ฉันลองมาหลายครั้งแล้ว นี่เป็นรสชาติที่ดีที่สุด”
กู้จื่อเฟยตะลึงงันไปเลย
ความหมายนี้คือ เขาไม่ได้ทำเพียงแค่โจ๊กสิบแบบนี้ อีกอย่างแต่ละแบบก็ทำไปหลายรอบมาก ลิ้มลองรสชาติที่ดีที่สุดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ทันใดนั้นดวงตาเธอก็แดงขึ้นมา ไม่กล้าคิดเลยว่า ผู้ชายที่เย็นชาไม่เคยทุกข์ยากลำบาก จับหม้อจับชามต้มโจ๊กออกมาครั้งแล้วครั้งเล่ายังไง
แววตาวกวนไปมา เธอได้เห็นตุ่มน้ำพองบนมือของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“มือของนายเป็นแผลไหม้แล้ว?”
กู้จื่อเฟยจับมือของเย้นโม่หลินขึ้นมาด้วยความตกใจ เห็นเพียงแต่รอยแผลไหม้ตรงข้อต่อนิ้วของเขา ทำลายความงดงามนิ้วมือที่เรียวยาวของเขา
“เดี๋ยวก็หายแล้ว ไม่เป็นไร”
เย้นโม่หลินดึงมือกลับมาโดยไม่ใส่ใจ หยิบช้อนขึ้นมาแล้วมองกู้จื่อเฟยด้วยความหวัง “อยากดื่มโจ๊กแบบไหน?”
ทั้งหมดที่เขาทำ ต่างก็เพื่อให้เธอสามารถทานอาหารมากขึ้น
สองวันมานี้ ความไม่อยากอาหารของเธอ เย้นโม่หลินต่างก็เก็บไว้ในใจมาโดยตลอด
หัวใจของกู้จื่อเฟยเหมือนดั่งถูกมือใบหนึ่งบีบไว้ ถูกบีบด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของเธอเริ่มแดง ในที่สุดความคิดหนึ่งในใจก็ผุดขึ้นมา
มีความรักของเย้นโม่หลินคอยรองรับและสนับสนุนอยู่ข้างหลัง เธอยังมีอะไรให้กลัวอีก?
เขาสามารถเข้าครัวทำโจ๊กเพื่อเธอได้ เธอก็สามารถไปรักษาเพื่อเขา และแข็งแรงมากยิ่งขึ้นได้
กู้จื่อเฟยสูดจมูก เช็ดน้ำตาที่อยู่รอบดวงตาทิ้งไป
ยิ้มพลางพูดว่า “สิ่งที่นายทำ ฉันชอบกินทั้งหมดเลย”
ได้ยินเธอพูดว่าอยากกิน มุมปากของเย้นโม่หลินก็อดโค้งขึ้นไม่ไหว
อยากกิน เป็นสิ่งที่ดี
กู้จื่อเฟยพยายามลิ้มลองรสชาติทุกแบบ ทุกรสชาติ ต่างก็หวานเหมือนน้ำผึ้ง ละลายในหัวใจ ชนะความหอมหวานทุกสิ่งบนโลก
ในที่สุดเธอก็รวบรวมความกล้า
เธอติดต่อเจิ้งเหลียงไป
พวกเขานัดกันเจอกันที่โรงพยาบาลรักษาที่เขาทำงาน สถานที่นั้นจะเน้นรักษา และใช้เป็นที่พักฟื้นเป็นหลัก
กู้จื่อเฟยก็สามารถหาข้ออ้างว่าไปนวดได้
เวลาในการนวดค่อนข้างนาน แล้วยังเป็นห้องลับอีก เย้นโม่หลินจึงไม่จำเป็นที่ต้องตามไปกับเธอ กู้จื่อเฟยจึงบอกให้เขาไปยุ่งเรื่องอื่นก่อนเลย
สิ่งที่น่าแปลกใจคือ เย้นโม่หลินตอบกลับด้วยความดีใจ และส่งเธอไว้ที่หน้าโรงพยาบาลรักษา หลังจากที่เธอเรียบร้อยแล้ว ค่อยมารับเธอ
เย้นโม่หลินส่งกู้จื่อเฟยเข้าไปในห้องโถงของโรงพยาบาลรักษา
ในห้องโถง มีพยาบาลมารอแล้ว
กู้จื่อเฟยยิ้มพลางเดินไปทางเธอ “สวัสดีค่ะ คุณคือโจ๋ลี่หรือเปล่าคะ? ฉันคือกู้จื่อเฟยที่นัดกับคุณหมอเฉียวไว้ค่ะ”
“ใช่ค่ะ ใช่ค่ะ……”
โจ๋ลี่ตอบกลับ สายตากลับมองเย้นโม่หลินโดยที่ไม่กะพริบตาเลย ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความคลั่งรักในความงดงาม
ให้ตายเถอะ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอเจอผู้ชายที่หล่อขนาดนี้
หล่อกว่าดาราในทีวีร้อยเท่า หน้าตาที่เพอร์เฟกต์มาก มีบุคลิกที่เย็นชา มองแวบเดียวเหมือนว่าจะถูกดูดวิญญาณไปเลย
“’งั้นรบกวนคุณช่วยพาฉันไปพบคุณหมอเฉียวหน่อยค่ะ”
กู้จื่อเฟยยิ้มพลางพูด
แต่ว่าเสียงของเธอพูดจบไปสักพักแล้ว ก็ไม่ได้รับการตอบกลับอีกเลย
ขณะนี้โจ๋ลี่มองเย้นโม่หลินอยู่ ราวกับว่าดวงตาจะแนบติดไปยังบนตัวขาแล้ว
ผู้ชายของตัวเองถูกคนอื่นจ้องแบบโจ่งแจ้งตลอดทาง กู้จื่อเฟยเริ่มไม่พอใจแล้ว
เขาดึงเย้นโม่หลินมาไว้ข้างหลังของตัวเอง เพิ่มเสียงสูงพูดขึ้นว่า
“คุณโจ๋ ขอรบกวนคุณช่วยนำทางหน่อยได้ไหมคะ?”