“มา อธิษฐานเร็ว”
กู้จื่อเฟยดึงเย้นโม่หลินไปที่เค้ก
อธิษฐาน?
เย้นโม่หลินสงสัยเล็กน้อย “ทำไมฉันต้องอธิษฐานกับเค้กด้วย?” เค้กสามารถช่วยให้ความปรารถนาเป็นจริงได้ด้วยเหรอ?
เมื่อฝูงคนได้ฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
นายน้อยผู้สูงศักดิ์ของบ้านพวกเขาคนนี้ หลังจากสามขวบก็ไม่ได้ฉลองวันเกิดเลย แล้วพวกงานวันเกิดระดับสูง โดยทั่วไปก็จะไม่อธิษฐานกับเค้ก
ดังนั้นเกรงว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องการอธิษฐานกับเค้ก
กู้จื่อเฟยปรับตัวได้เป็นอย่างดีกับชีวิตที่ขาดสีสันของพี่เย้นของเธอ อธิบายอย่างอดทน
“อธิษฐานกับเค้กตอนวันเกิด ความฝันจะกลายเป็นจริงนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเค้กที่ฉันทำเองด้วย ความปรารถนาจะต้องเป็นจริงอย่างแน่นอน”
เย้นโม่หลินเลิกคิ้ว
ใช่เหรอ?
เขามองดูเค้กอย่างจริงจังมากขึ้น ทำท่าขอพร “ฉันขอให้เฟยเอ๋อร์ปลอดภัยแข็งแรง ไม่ได้รับบาดเจ็บไปชั่วชีวิต”
กู้จื่อเฟยมองไปที่เย้นโม่หลินด้วยความตะลึง คิดไม่ถึงว่านี่คือความปรารถนาของเขา
เขามีความปรารถนาจริงๆ
แล้วความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของเขา ก็คือเธอ
กู้จื่อเฟยซาบซึ้งจนเก็บไว้ไม่อยู่ ดวงตาแดงก่ำ
เธอพูดสะอื้น “ต้องเป่าเทียน”
“โอเค” เย้นโม่หลินเป่าเทียนอย่างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
เขาหันหน้ามองไปที่กู้จื่อเฟย ถึงเห็นว่าตาเธอแดงก่ำ ขมวดคิ้วขึ้นทันที
“ทำไมเหรอ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
กู้จื่อเฟยยิ้มส่ายหน้า “คนเขาซาบซึ้งต่างหากล่ะ”
มันมีอะไรน่าซาบซึ้ง? ในความเข้าใจของเย้นโม่หลิน สุขภาพของกู้จื่อเฟยสำคัญที่สุด ตอนนี้เธอเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นเรื่องที่ทำให้เขาโศกเศร้าทุกข์ที่สุด
เย้นโม่หลินพูดเสียงนิ่ง “เฟยเอ๋อร์ ขอบคุณนะที่เธอทำเค้กให้ฉัน ฉันชอบมาก ทำให้ฉันรู้สึกว่างานเลี้ยงวันเกิดก็เป็นเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่ง”
เพียงแค่มีเธอ เรื่องที่น่าเบื่อก็สวยงามขึ้นมาได้
เย้นโม่หลินก้มหน้า จูบลงที่หมวกเธอเล็กน้อย
กู้จื่อเฟยมีความสุขจนแทบจะสวมปีกเล็กๆ โบยบินขึ้นไป การเตรียมการที่วุ่นวายช่วงไม่กี่วันมานี้ ได้รับการตอบแทนที่ดีที่สุดแล้ว
ขอแค่เย้นโม่หลินดีใจก็พอ
“จะจูบแค่หมวกได้ยังไง? KISS KISS KISS”
ในกลุ่มคน ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมา จากนั้น ก็ตะโกนขึ้นมาตามๆ กัน
คำเรียกร้องของพวกเขาแต่ล่ะคน KISS
กู้จื่อเฟยตะลึง ความสุขและรื่นเริงที่มีเต็มหัวใจ ทันใดนั้นก็เหมือนกระจัดกระจายออกไป มีความสับสนทำอะไรไม่ถูก
แม้แต่ใบหน้าเธอยังไม่กล้าเผย จะไป KISS ได้ยังไงล่ะ
เมื่อสังเกตเห็นอารมณ์ของกู้จื่อเฟย เย้นโม่หลินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดุด้วยเสียงเย็นชา
“อย่าโวยวาย”
สามพยางค์ ราวกับแอ่งน้ำแข็ง ทำให้บรรยากาศโกลาหลภายในงาน อึมครึมทันที
บรรยากาศที่รื่นรมย์ของผู้คน ก็ถูกระงับไปเล็กน้อยเช่นกัน
กู้จื่อเฟยเห็นสถานการณ์นี้ ก็ใจเสียทันที เธอกลั่นบรรยากาศวันเกิดออกมาอย่างยากลำบาก ก็ถูกทำให้กลับมาสู่สภาพเดิมแล้ว?
หรือว่าเป็นเพราะเธอ
เธออารมณ์เสียมาก รีบหยิบมีดเค้กแล้วก้าวไปข้างหน้า พูดยิ้ม
“ตัดเค้กกันเถอะ ทุกคนมาชิมฝีมือฉัน”
ได้ยินดังนั้น เย้นโม่หลินก็ขมวดคิ้ว
เค้กนี่ของเขาไม่ใช่เหรอ ยังต้องให้คนอื่นกินด้วย?
เค้กที่เฟยเอ๋อร์ทำเองกับมือ แบ่งให้คนอื่นกิน เขารู้สึกไม่พอใจทันที
แต่เมื่อเห็นท่าทางตัดเค้กอย่างกระตือรือร้นของกู้จื่อเฟย เขาก็ขัดจังหวะเธอไม่ลง
เค้กสามชั้นใหญ่มาก แม้ว่าในงานมีคนไม่น้อย แต่ตัดออกมา ก็สามารถแบ่งให้ได้ทุกคน
กู้จื่อเฟยแบ่งเค้ก ทำให้บรรยากาศในงานปรับขึ้นมา
สุดท้าย เย้นโม่หลินถือชิ้นเค้กเล็กๆ ในมือ อารมณ์ไม่พอใจอย่างมาก
ดูท่าหลังจากนี้จะจัด partyวันเกิดไม่ได้แล้ว แค่ให้กู้จื่อเฟยฉลองและทำเค้กให้เขาเพียงลำพัง ก็พอแล้ว
แบบนั้นเขาก็จะกินเค้กทั้งหมดด้วยตัวเอง
กู้จื่อเฟยแบ่งเค้กเสร็จ พึ่งจะวางมีดเค้กลง เด็กผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งก็เดินมาตรงหน้าเธอ ส่งเค้กในมือให้เธอ
“คุณกู้ เธอก็กินสักชิ้นเถอะ”
กู้จื่อเฟยส่ายหน้า “ไม่ล่ะ เธอกินเถอะ”
“ฉันหยิบมาเยอะ ชิ้นนี้ให้เธอ กินเถอะ เธอทำเองกับมือ แน่นอนว่าต้องกินถึงจะสมบูรณ์แบบ”
มองเค้กที่หญิงสาวยื่นมาให้ตนตรงหน้าอย่างดื้อรั้น กู้จื่อเฟยก็อึดอัดเล็กน้อย
เธอไม่ใช่ไม่อยากกินเค้ก แต่ใบหน้าของเธอ……
เธอไม่ได้เตรียมตัวที่จะถอดหน้ากากที่นี่ให้คนเหล่านี้เห็นรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดเกินทนที่สุดในชีวิตของเธอ
หญิงสาวพูดต่อ “เป็นอะไรไป? เธอไม่อยากกินเหรอ?”
ไม่อยากกินของที่ตัวเองทำ งั้นก็ไม่ค่อยดีแล้ว
กู้จื่อเฟยส่ายหน้า “เปล่า ตอนนี้ฉันแค่ไม่ค่อยสะดวกกินของหวานเฉยๆ ขอบคุณในความหวังดีของเธอ”
“ไม่ค่อยสะดวก?”
หญิงสาวมองไปที่เค้ก แล้วก็มองไปที่กู้จื่อเฟย ทันใดนั้นก็เปล่งเสียง น้ำเสียงแหลมคม
“เพราะไม่สะดวก หรือเพราะไม่กล้าถอดหน้ากากกันแน่?”
“ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าหลังจากเธอกลับมา ก็เอาแต่ใส่หน้ากากไม่กล้าเจอผู้คน ไปเสียโฉมมาจากข้างนอกล่ะสิ? ใบหน้าของเธอตอนนี้เปลี่ยนไปจนจำไม่ได้แล้วใช่ไหม?”
คำถามที่คมชัด ทำให้กู้จื่อเฟยตัวแข็งทื่อ ลมหนาวพัดขึ้นมาจากปลายเท้า
เธอไม่คาดคิดว่า เรื่องที่เธอหลีกเลี่ยงอย่างสุดกำลัง จะถูกยกขึ้นมาถามต่อหน้าคนมากมาย ในเวลาแบบนี้
ดวงตาของเธอสั่นไหวมองไปที่สายตาสงสัยที่มองมาที่เธอจากทุกทิศทาง ทั่วร่างราวกับโดนเข็มทิ่ม ตื่นตัวใจไม่สงบ
เธอควรตอบว่ายังไง?
ไม่ได้เสียโฉม การโกหกในที่สาธารณะมักจะถูกเปิดโปง เธอเองก็ไม่อยากทำเรื่องแบบนี้
เสียโฉมแล้ว? รูปลักษณ์แบบนี้ของเธอ คนทั้งตระกูลเย้น จะมองเธอยังไง จะมองเย้นโม่หลินยังไง?
กู้จื่อเฟยระแวดระวังมาก ทั่วร่างทั้งหนาวทั้งแข็ง เผชิญหน้ากับสายตาแห่งความสงสัยแต่ล่ะคู่ ไม่รู้เลยว่าควรจะทำยังไงดี
“ใครให้เธอกล้าหาญ มาถามเฟยเอ๋อร์?”
สายตาเยือกเย็นของเย้นโม่หลิน ทิ่มแทงหญิงสาวราวกับน้ำแข็งที่แหลมคม
อากาศรอบด้าน ก็ลดลงทันทีหลายสิบองศา
ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความโกรธที่เยือกเย็น
หญิงสาวตัวสั่นขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ อยากที่จะถอยโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเห็นเย้นโม่หลินโกรธแบบนี้ ก็ยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตัวเอง
เธอฝืนทนความหวานกลัวที่มีอยู่เต็มหัวใจ ใช้โอกาสที่อยู่ใกล้กู้จื่อเฟย ทันใดนั้นก็ยื่นมือ—
หน้ากากที่อยู่บนหน้าของกู้จื่อเฟย ถูกกระชากออกอย่างหยาบคาย
เธอตกอกตกใจ รีบเอามือปิดหน้าตัวเอง แต่ก็ไม่ทันแล้ว เหล่าผู้ชม ส่งเสียงอุทานสูงๆ ต่ำๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ตายแล้ว เธอเสียโฉมแล้วจริงๆ ใบหน้านั่นน่ากลัวมาก”
“มีแต่รอยแผลเป็น แม้แต่ผิวหนังดีซักชิ้นก็ไม่มี”
“น่าเวทนาเกินไปแล้ว มิน่าถึงต้องใส่หน้ากากตลอด ถ้าฉันกลายเป็นแบบนี้ อย่าว่าแต่ออกมาเจอคนเลย ความกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ก็ไม่มี”
…..
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ ราวกับกริชแหลมคม ทิ่มแทงเข้าไปในใจของกู้จื่อเฟยตรงๆ
เรื่องที่เธอกลัวที่สุด ได้เกิดขึ้นแล้ว
แล้วผลลัพธ์ ก็โหดร้ายอย่างที่คิดไว้ พวกเขาไม่มีความสงสารใดๆ มีเพียง สายตาที่ผิดปกติ
แล้วยังโหดร้ายยิ่งขึ้น…..
“ในเมื่อกู้จื่อเฟยเสียโฉมแบบนี้แล้ว รูปลักษณ์แบบนี้ ไม่อาจเป็นคุณนายของตระกูลเย้นได้อีกเด็ดขาด”
“ใช่แล้ว พวกเราเมินเฉยต้นกำเนิดของเธอได้ แต่คุณนายตระกูลเย้นก็จะเป็นนายหญิงตระกูลเย้นในอนาคต เป็นหน้าเป็นตาของตระกูลเย้น จะน่าเกลียดแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด เสียหน้าพวกเราตระกูลเย้นหมด”
“เลิกกัน ชดเชยให้กู้จื่อเฟยไปก็ได้ แต่เธอจะต้องเลิกกับนายน้อย ออกไปจากตระกูลเย้น”