บทที่ 24: โจวไป่หยุน!
นับตั้งแต่รอยแยกมิติปรากฏขึ้น สิ่งมีชีวิตบนโลกก็ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ต้นไม้ใหญ่โตและสวยงาม เหล่าสรรพสัตว์เองก็ใหญ่โตขึ้นและมีลักษณะเฉพาะของแต่ละสายพันธุ์เพิ่มขึ้นมา พวกสัตว์ที่ดุร้ายก็กลายเป็นสัตว์ที่ดุร้ายมากขึ้น ในขณะที่พวกสัตว์โง่ๆก็กลับกลายเป็นสัตว์ที่โง่มากขึ้นไปอีก
ในถิ่นทุรกันดาร มันมีนกอินทรียักษ์ที่มีปีกกว้าง 100 เมตรที่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า มันมีสิงโตขนาดเท่ารถบรรทุกที่ครอบครองทุ่งหญ้า และมันก็ยังมีเสือดุร้ายที่มีปีกคำรามอยู่ในป่า…
แน่นอน ในเมืองต่างๆก็ยังคงมีสุนัขฮัสกี้โง่ๆที่ทุ่มเททั้งชีวิตไปกับการรื้อบ้านของพวกมัน นอกจากนี้มันก็ยังมีแมวน่ารักๆที่อุทิศตนให้กับการกระทำที่ดูน่ารักๆ…
สัตว์อสูรดาราที่กลายพันธุ์นั้นจะถูกปราบปรามโดยนักสู้นอกเมือง ขณะที่ในเมือง พลเมืองของเมืองก็จะยังคงเป็นมิตรกับสัตว์ต่างๆอย่างมีความสุข
และภูเขาเป่าอันก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของถิ่นทุรกันดาร มันยังคงอยู่ในบริเวณชานเมืองอยู่
ต้นไม้เขียวชอุ่มและเขียวขจีและสูงมากกว่าสิบเมตร มันเป็นฉากที่งดงาม
ในบางครั้ง นกหลากสีสันก็จะบินออกมาจากป่าและหยุดพักที่ริมข้างถนน โดยไม่สนใจรถที่วิ่งไปมา
ในอดีตนกเหล่านี้เป็นเพียงนกป่าธรรมดาๆ ทว่าตอนนี้ขนของพวกมันก็ได้ดูสดใสและมีสีสันมากขึ้น ดวงตาของพวกมันเองก็ดูสวยงาม และท่าทางของพวกมันก็สง่างาม พวกมันสามารถเทียบได้กับนกที่ล้ำค่าและหายากในอดีต
อย่างไรก็ตาม ในยุคนี้ พวกมันก็เป็นเพียงนกป่าที่สามารถมองเห็นได้ตลอดเวลาบนภูเขาเท่านั้น
กระต่ายขาวโผล่หัวออกมาจากพุ่มไม้ มันมองไปรอบๆด้วยดวงตาที่เหมือนทับทิม ขนของมันเรียบและเป็นมันเงา และหูที่ยาวก็ถูกพับกลับหลังไป
“ กระต่ายน้อยสีขาว! กระต่ายขาวตัวน้อยน่ารักอะไรอย่างนี้!” ไป่เว่ยอุทานด้วยความประหลาดใจ
หวังเต็งเหลือบมองกระต่ายด้วยหางตาขณะขับรถ มุมปากของเขากระตุกขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
“ กระต่ายน้อยสีขาวตัวนี้ไม่… เลยสักนิด!”
รถแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นกระต่ายขาวตัวน้อยก็หายเข้าไปในพุ่มไม้ และทำให้ไป่เว่ยผิดหวังอย่างมาก
ไม่นานรถทั้งสองคันก็มาถึงใจกลางภูเขา
วิลลาแห่งนี้สร้างติดกับกำแพงภูเขา มันมีภูมิทัศน์เขียวขจีเป็นฉากหลัง และผสมผสานข้ากับธรรมชาติอย่างมีระดับ
หลังจากจอดรถแล้ว หวังเต็งและเพื่อนๆของเขาก็เดินไปที่วิลล่า
มันมีเจ้าหน้าที่เข้าแถวรอต้อนรับแขกอยู่ที่หน้าประตู
พวกเขาเดินเข้าไปในวิลล่าและเดินผ่านทางเดินซึ่งเปิดออกสู่ห้องโถงขนาดใหญ่
มันมีคนจำนวนมากที่กำลังคุยโต้ตอบกันอย่างมีความสุขภายในนั้น
มันมีคนออกมาต้อนรับเมื่อเห็นกลุ่มของพวกเขา บุคคลคนนั้นยิ้มและพูดว่า “ ลูกพี่ลูกน้องของฉัน ในที่สุดนายก็มาสักที นายจะไม่แนะนำเพื่อนของนายให้ฉันรู้จักหน่อยหรอ?”
“ ซุนเกาหยาน ลูกพี่ลูกน้องของฉัน”
“ นี่คือพี่ชายของฉัน หวังเต็ง ส่วนสองคนนี้ก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน หยูห่าวและไป่เว่ย”
ซูเจี๋ยได้แนะนำซึ่งกันและกัน
ซุนเกาหยางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินซูเจี๋ยเรียกหวังเต็งว่าเป็นพี่ชายของเขา
พวกเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องและค่อนข้างสนิทสนมกัน
ดังนั้นเขาจึงมีความเข้าใจในบุคลิกภาพของซูเจี๋ยอยู่บ้าง ซึ่งซูเจี๋ยก็มักจะเป็นคนที่ไม่แยแสและไม่สนใจใคร อย่างไรก็ตาม เขาก็กลับเรียกหวังเต็งว่าเป็นพี่ชายของเขา นี่มันหมายความว่าเขาเคารพผู้ชายคนนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ
“ ซูเจี๋ยเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน และตั้งแต่เขาเรียกคุณว่าพี่ชายงั้นฉันก็จะเรียกคุณว่าพี่ชายด้วยเช่นกัน” ซุนเกาหยานยิ้มและพูดกับหวังเต็ง”
ดังคำกล่าวที่ว่า เราไม่สามารถโกรธคนที่ยิ้มได้ หวังเต็งเองก็ยิ้มตอบกลับและตอบว่า “ เขาก็พูดเกินไป เราเป็นเพื่อนกันเฉยๆ มันไม่จำเป็นต้องพูดกันอย่างเป็นทางการในฐานะพี่ชายหรอก นายจะเรียกชื่อฉันก็ได้”
ซุนเกาหยานหันไปหาหยู่ห่าวและไป่เว่ยและพูดคุยกับพวกเขาอย่างมีความสุขชั่วขณะหนึ่ง เขาก็ดูแลทุกคนและไม่ทิ้งใครไว้ให้โดดเดี่ยว
เมื่อซุนเกาหยานพาพวกเขาไปรอบๆ ซูเจี๋ยและเพื่อนๆของเขาก็เริ่มคุ้นเคยกับคนอื่นๆอย่างรวดเร็ว
หวังเต็งไม่ชอบที่จะเข้าสังคมมากนัก แต่เนื่องจากเขาอยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นเขาก็จะต้องเคารพผู้อื่นเมื่อพวกเขามาพูดกับเขา โดยเขาจะยิ้มและตอบพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา
ในฐานะลูกเศรษฐีที่ร่ำรวย เขาก็ไม่เคยเรียนรู้ทักษะการเข้าสังคมมาก่อน อย่างไรก็ตาม หวังเต็งก็สามารถปรับตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ
นอกจากนี้ เขาก็ยังไม่ใช่คนบ้าที่ไม่รู้อะไรเลยและขมวดคิ้วกับทุกสิ่ง!
ในหมู่พวกเขา คนที่โด่งดังที่สุดคือไป่เว่ย
หญิงสาวคนนี้สวยและน่ารัก และเมื่อเธอยืนอยู่กับผู้หญิงคนอื่นๆ ชายหนุ่มคนอื่นๆก็มักจะหันมามองเธอ
หยูห่าวรู้สึกไม่มีความสุขเมื่อเห็นสิ่งนี้
ต่อมาไม่นาน มันก็มีคนมาเข้าร่วมปาร์ตี้มากขึ้นถึงประมาณ 20 คน พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นลูกเศรษฐีที่ร่ำรวยหรือไม่ก็ลูกหลานของข้าราชการใหญ่โต
หวังเต็งอดไม่ได้ที่จะอุทาน เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าภาพที่จัดงานนี้นั้นทรงอิทธิพลเพียงใด
“ เกาเหยียน ใครเป็นเจ้าภาพในการชุมนุมในครั้งนี้อย่างงั้นหรอ? ฉันขอข้อมูลหน่อยได้ไหม?” ซูเจี๋ยถามซุนเกาหยานเบาๆ
“ โจวไป่หยุน!” ซุนเกาหยานหัวเราะก่อนจะเอ่ยชื่อ
“ โจวไป่หยุน!” ซูเจี๋ยประหลาดใจ “ โจวไป่หยุนจากตระกูลโจวนั่นนะหรอ?”
“ ใช่ โจวไป่หยุนคนนั้นนั่นแหละ” ซุนเกาหยานพยักหน้าตอบ
“ แล้วใครคือโจวไป่หยุนกัน?” ซูเจี๋ยงงงวย
“ … โจวไป่หยุนก็คือลูกคนที่สามของตระกูลโจวไง ก่อนหน้านี้เธออยู่ที่ต่างประเทศและเธอก็เพิ่งจะกลับมาเมื่อเร็วๆนี้เอง” ซุนเกาหยานกล่าว
“ แล้วเธอจะไม่กลับไปต่างประเทศแล้วอย่างงั้นหรอ?” ซูเจี๋ยเข้าใจสถานการณ์ในทันที
“ ใช่แล้ว เธอไม่น่าจะกลับไปแล้วล่ะ ฉันเกรงว่าอีกไม่นานมันก็คงจะมีการต่อสู้ที่ดุเดือดเกิดขึ้นภายในตระกูลโจวในอนาคต” ซุนเกาหยานยิ้มอย่างมีนัยยะ
ไป่เว่ยและหยูห่าวกำลังดักฟังการสนทนาของพวกเขา ในฐานะลูกเศรษฐีที่ร่ำรวย พวกเขาก็สามารถจินตนาการได้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
หวังเต็งยังคงไม่แยแส เพราะยังไงซะสิ่งนี้มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะไม่เข้าร่วมมีเอี่ยวในเรื่องนี้ ตราบใดที่เขาเป็นนักสู้ ความขัดแย้งในตระกูลก็จะเป็นแค่เรื่องตลกสำหรับเขา
“ เธอมาแล้ว!”
จู่ๆก็มีคนตะโกนขึ้นมา
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าข้างนอกห้องโถง จากนั้นคนสี่คนก็เดินเข้ามาจากด้านนอก
“ ฉันต้องขอประทานโทษด้วยที่ทำให้ทุกคนต้องรอนาน พอดีฉันไปรับเพื่อนระหว่างทางมาน่ะ” ผู้หญิงที่อยู่ตรงกลางทั้งสี่คนมองไปรอบๆฝูงชนขณะที่เธอพูด
ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะอายุ 20 ต้นๆ เธอสูงและผอมเพรียวและสามารถทำคะแนนความงามได้ 90 คะแนน อย่างไรก็ตาม เธอก็มีออร่าที่ดูน่าภาคภูมิใจครอบงำอยู่รอบตัวเธอ เธอยกคางขึ้นเล็กน้อยและเผยให้เห็นคอที่เรียวยาวของเธอ ซึ่งมันก็ดูราวกับหงส์ขาวที่หยิ่งผยอง
“ คุณไม่สายเกินไปหรอก เราเองก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน” ทุกคนต่างก็แสดงความเคารพต่อเธอและพูดแทรก
“ ทำไมหลี่หรงเฉิงถึงมาที่นี่ด้วยกัน?” ซูเจี๋ยเอนตัวไปทางหวังเต็งและขมวดคิ้วขณะที่เขาถาม
“ ไม่ใช่ว่ามิสโจวบอกว่าเขาเป็นเพื่อนของเธอเหรอ?” หยูห่าวหน้ามุ่ย
“ หลี่หรงเฉิงมีความขุ่นเคืองกับเรา ดังนั้นเขาก็อาจจะสร้างความลำบากให้กับเราได้หากเขาพูดถึงเราต่อหน้าโจวไป่หยุน” ไป่เว่ยกล่าว
“ ถ้ามันกล้าพูดลับหลังเรา หวังเต็งก็จะทุบตีมันจนตายแน่ ฉันไม่ได้เห็นมันที่โรงเรียนเลยในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ซึ่งฉันก็เดาว่ามันคงจะต้องการที่จะหลบหน้าพี่หวังเต็งอย่างแน่นอน” ซูเจี๋ยกล่าวด้วยความดูถูก
“ เอาล่ะ ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของพวกเขา อย่าพูดมากไปเลย” หวังเถต็งกล่าว
โจวไป่หยุนนั้นมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งและมีทักษะด้านการเข้าสังคม ขณะที่เธอมีปฏิสัมพันธ์กับลูกเศรษฐีที่ร่ำรวยและลูกหลานของข้าราชการ ผู้คนก็ลืมอคติของพวกเขาไปอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับการที่เธอมาสาย
สำหรับหลี่หรงเฉิง เขาคอยติดตามเธอตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าโจวไป่หยุนนั้นนับเขาเป็นคนสนิท
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่พวกเขาจะเป็นเพื่อนแท้หรือไม่ มันก็ไม่มีใครรู้
หลังจากนั้นไม่นาน โจวไป่หยุนก็ถือแก้วไวน์แดงและเดินเข้าไปหาหวังเต็งและเพื่อนของเขา
“ คุณดูหน้าไม่คุ้นเคยเลยนะ ฉันขอทราบได้ไหมว่าเยาวชนผู้มีความสามรรถอย่างพวกคุณมาจากตระกูลอะไรกัน?”
ดังคำกล่าวที่ว่า ให้เคารพผู้อื่น และคุณจะได้รับความเคารพอย่างเป็นธรรมชาติ
ทันทีที่เจ้าหญิงคนที่สามของตระกูลโจวอ้าปาก เธอก็ให้ความเคารพอย่างสูงแก่พวกเขา
เยาวชนผู้มีความสามารถ?
หากนักเรียนอย่างหวังเต็งที่เรียนไม่เก่งถูกมองว่าเป็นเยาวชนผู้มีความสามารถ งั้นมันก็แสดงว่าเธอกำลังลากมาตรฐานของเยาวชนที่มีความสามารถลงสู่ขุมนรก
การแสดงออกของหลี่หรงเฉิงเปลี่ยนไปเมื่อเขาเห็นหวังเต็ง
หยวนเฉิงหัวที่กำลังติดตามหลี่หรงเฉิงอยู่เองก็มีการแสดงออกที่เปลี่ยนไปเช่นกัน
การแสดงออกของพวกเขาดูเหมือนจะแกะสลักออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน
และก่อนที่ซุนเกาหยานจะทันได้แนะนำพวกเขา โจวไป่หยุนก็ได้สังเกตเห็นบรรยากาศแปลกๆระหว่างพวกเขาแล้ว เธอยิ้มและถามว่า “ พวกคุณรู้จักกันหรอ?”
“ แน่นอน เราจะไม่รู้จักกันได้อย่างไร? เราเป็นอดีตเพื่อนร่วมชั้นกัน! เราเป็นเพื่อนเก่าเลยก็ว่าได้” ซูเจี๋ยหัวเราะเยาะ
“ นายน้อยหลี่ นายดูดีขึ้นจากครั้งก่อนที่เราเจอกันนี่”
หวังเต็งทักทายหลี่หรงเฉิงอย่างไม่เป็นทางการเพราะพวกเขารู้จักกัน
อย่างไรก็ตาม การแสดงออกของหลี่หรงเฉิงก็กลับดูแย่ลง
โจวไป่หยุนไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอจึงดูอึดอัดเล็กน้อย ในขณะเดียวกัน ซุนเกาหยานก็รีบแนะนำหวังเต็งและเพื่อนๆของเขาให้เธอได้รู้จักในทันที