บทที่ 17: เจอกันหลังเลิกเรียน
หยูห่าวและซูเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังๆอีกครั้งเมื่อพวกเขาเห็นหวังเต็วทำตัวไร้เดียงสาราวกับว่าสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
ไป่เว่ยพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะควบคุมเสียงหัวเราะของเธอ อย่างไรก็ตาม เธอก็กำลังมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก
ในตอนท้าย เมื่อเพื่อนๆของเธอระเบิดเสียงหัวเราะ เธอก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปและเริ่มหัวเราะไปพร้อมกับพวกเขา
หลี่หรงเฉิงอยู่ในอารมณ์ไม่ดีในช่วงสองวันที่ผ่านมา
เมื่อวานเขาไปผับกุหลาบป่าเพื่อเล่นจีบสาววัยทำงานสองคน เขาต้องการพาพวกเธอไปที่โรงแรมและพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตและความทะเยอทะยาน
และในขณะที่เขากำลังจะประสบความสำเร็จนั้นเอง กลุ่มอันธพาลก็ได้บุกเข้าไปในผับและเริ่มตะโกน
“ หลี่หรงเฉิงคือใคร? ออกมานี่ซะถ้าแกกล้าพอ!”
หลี่หรงเฉิงรู้สึกโกรธเคืองอย่างมากในขณะนั้น เขายืนขึ้นทันทีและตะคอกกลับไปว่า “ ฉันคือหลี่หรงเฉิง ใครเป็นเจ้านายของแกกัน? ทำไมมันไม่ใส่สายจูงแกเอาไว้ให้ดีๆ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ กลุ่มอันธพาลก็รู้สึกโกรธเคืองเหมือนโดนดูถูก จากนั้นพวกมันก็อัดหลี่หรงเฉิงราวกับเขาเป็นกระสอบทราย
หลี่หรงเฉิงไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนเหล่านี้จะเป็นศิษย์นักสู้ขั้นเริ่มต้นและขั้นกลาง
และแม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูง แต่ต่อหน้ากลุ่มศิษย์นักสู้จำนวนมากขนาดนี้ เขาก็ใม่สามารถที่จะต่อกรกับพวกมันทั้งหมดได้
นอกจากนี้ เนื่องจากเขาไม่มีประสบการณ์ ดังนั้นเขาจึงถูกซ้อมโดยพวกมันภายในเสี้ยววินาที
คนกลุ่มนี้อัดหลี่หรงเฉิงจนหมดสติและพาเขาไปไว้ที่โกดังที่ทรุดโทรม
เฉากังเป่าเอ๋อ ชายหนุ่มที่ดูน่ากลัวกำลังรอเขาอยู่ที่นั่น ทันทีที่มันเห็นหลี่หรงเฉิงถูกมัดไว้ มันก็สั่งให้ลูกน้องของมันจับหลี่หรงเฉิงยัดเข้าไปในกระสอบทรายและอักเขาราวกับเขาไม่มีชีวิต
เมื่อพวกเขารบายความโกรธออกมาเสร็จแล้ว เขาก็ลากตัวหลี่หรงเฉิงออกมา อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกมันมองดูเขาอย่างระมัดระวัง พวกมันก็พบว่าพวกเขาจับมาผิดตัว!
ขณะที่พวกอันธพาลต่างสบตากัน เฉากังเป่าเอ๋อก็เริ่มสาปแช่งออกมาด้วยความโกรธ จากนั้นเขาก็ระบายความโกรธทั้งหมดที่มีลงไปที่หลี่หรงเฉิงอีกครั้ง
และในช่วงเวลานั้นเอง หลี่หรงเฉิงก็ได้สูญเสียสติไปอย่างสมบูรณ์
ฉันเป็นใคร? ฉันอยู่ที่ไหน? แล้วฉันจะไปไหน?
เฉากังเป่าเอ๋อและคนของเขาจากไปหลังจากที่พวกเขาระบายความโกรธเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่หรงเฉิงนอนอยู่ในโกดังในสภาพที่ทรุดโทรม น้ำตาแห่งความสิ้นหวังและความอยุติธรรมไหลลงมาที่มุมตาของเขา
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาก็ยังไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เขาค่อยๆหยิบโทรศัพท์ออกมาด้วยมือที่สั่นเทาและโทรไปที่ 120 และนั่นคือวิธีที่เขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน
โชคดีที่มันเป็นเพียงการบาดเจ็บภายนอกเท่านั้น และหลี่หรงเฉิงก็เป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูง ดังนั้นร่างกายของเขาจึงแข็งแกร่งกว่าคนปกติ และเขาก็สามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าคนทั่วไป
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงสามารถฟื้นตัวและมาที่โรงเรียนตามปกติได้ในวันนี้
อย่างไรก็ตาม อารมณ์ของเขาก็ยังคงลุกเป็นไฟอยู่ในหัวใจของเขา ทุกคนต่างจ้องมองเขา
เมื่อทุกคนเห็นสภาพของหลี่หรงเฉิง พวกเขาทุกคนก็อยากที่จะหัวเราะเยาะใส่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะทำแบบนั้นต่อหน้าเขา
เพราะนักเรียนสองสามคนก่อนหน้านี้ที่หัวเราะอย่างลับๆก็ได้ถูกเขาจับทุบตีอย่างกับหมูกับหมามาแล้ว
เขามาที่โรงอาหารเพื่อทานอาหาร แต่ทันทีที่เขาขึ้นไปที่ชั้นสอง เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะ จากนั้นเปลวเพลิงในหัวใจของเขาก็ถูกจุดขึ้นมาในทันที
ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธ
“ ไอ้บ้าเอ้ย! พวกแกหัวเราะอะไรกันวะ!” หลี่หรงเฉิงพุ่งเข้าหาหวังเต็งและเพื่อนของเขา
ซูเจี๋ยไม่ใช่คนโง่ที่จะยอมโดนกลั่นแกล้ง เขายืนขึ้นและโต้ว่า “ ปากของฉันก็อยู่บนร่างกายของฉัน แล้วไหงมันถึงไปหนักหัวนายได้ละ”
ทุกคนต่างก็รู้ภูมิหลังที่ชัดเจนของกันและกัน ตระกูลหลี่มีอำนาจมากกว่าตระกูลซู แต่ตระกูลของพวกเขาจะไม่ปะทะกันเพียงเพราะเรื่องทะเลาะวิวาทของเด็กๆอย่างพวกเขาอย่างแน่นอน
เพราะความขัดแย้งระหว่างพวกเขา มันก็ต้องจัดการโดยพวกเขาเอง
ซึ่งนี่ก็เป็นกฎที่ทุกคนต่างก็ให้การยอมรับ
หากคนรุ่นก่อนเข้ามาเกี่ยวข้อง ศักดิ์ศรีของพวกเขาก็จะถูกบดขยี้ พวกเขาล้วนเป็นคนที่น่านับถือ ดังนั้นศักดิ์ศรีจึงเป็นเหมือนชีวิตสำหรับพวกเขา และพวกเขาก็จะไม่ยอมสูญเสียมันไปเพราเรื่องปัญญาอ่อนเช่นนี้อย่างแน่นอน
ในอดีต ซูเจี๋ยอาจกลัวหลี่หรงเฉิงเนื่องจากเขาเป็นศิษย์ขั้นสูง แต่ตอนนี้เขาไม่กลัวแล้ว เพราะเขามีหวังเต็งคอยสนับสนุนเขา
“ ซูเจี๋ย แกกล้าดียังไงถึงมาพูดแบบนั้นกับฉัน”
หลี่หรงเฉิงหัวเราะอย่างน่าเกลียดและทันใดนั้น มันก็ยกหมัดขึ้นแล้ววัดเข้าไปที่หน้าของซูเจี๋ย
ซูเจี๋ยรู้สึกตกใจ ทั้งหมดนี่มันไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคิด!
ในฐานะลูกเศรษฐีที่ร่ำรวย มันไม่ว่าพวกเขาควรจะปะทะฝีปากกันก่อนหรอกหรอ?
ทำไมมันถึงยกกำปั้นขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ล่ะ? นี่มันทิ้งศักดิ์ศรีของมันในฐานะลูกเศรษฐีที่ร่ำรวยไปแล้วอย่างงั้นหรอ?
ซูเจี๋ยไม่รู้ว่าหลี่หรงเฉิงนั้นรู้สึกโกรธจัดตลอดทั้งวัน และการกระตุ้นเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาระเบิดได้
พลังของหมัดหมัดนี้ไม่ใช่ธรรมดาๆ ลมแรงทำให้แก้มของ ซูเจี๋ยเชื่อว่าหากเขาโดนหมัดนี้เขาจังๆ จมูกของเขาก็จะต้องยุบเข้าไปในเบ้าหน้าอย่างแน่นอน
“ จบแล้วสินะ!”
ซูเจี๋ยหลับตาลงและยอมรับชะตากรรม
อย่างไรก็ตาม ความเจ็บปวดที่เขาคาดคิดไว้ก็ยังไม่ปากฎขึ้น ซูเจี๋ยลืมตาขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เห็นมือของคนๆหนึ่งกำลังรับหมัดของหลี่หรงเฉิงเอาไว้
“ นายน้อยหลี่ ความโกรธเป็นอันตรายต่อร่างกายนะ” หวังเต็งกล่าวอย่างสบายๆ
“ หวังเต็ง!”
หลี่หรงเฉิงรู้สึกประหลาดใจ ทุกคนรู้ดีว่าหวังเต็งนั้นหมดหวังในเรื่องของการเรียนและการใช้สมอง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หวังเต็งก็กำลังแส้งความแข็งแกร่งของเขาให้ทุกคนได้ประจักษ์
หยวนจางหัวซึ่งยืนอยู่ข้างๆหลี่หรงเฉิงก็ได้เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
ในอดีตเขาเคยเป็นเพื่อนของหวังเต็งด้วย
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ได้เอียงไปทางหลี่หรงเฉิงและตัดสัมพันธ์กับหวังเต็งและเพื่อนๆของเขา
หยวนจางหัวอยู่เคียงข้างหวังเต็งมาเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่เคยรู้เลยว่าหวังเต็งนั้นมีความสามารถเช่นนี้อยู่ด้วย
ซูเจี๋ยฟื้นฟูสติและไปยืนอยู่ข้างหลังหวังเต็งด้วยความกลัว จากนั้นเขาก็จ้องไปที่หยวนจางหัวอย่างภาคภูมิใจเพื่อเยาะเย้ยเขาที่ตาบอด
ในอีกด้านหนึ่ง หลี่หรงเฉิงก็กำลังพยายามอย่างหนัก เขาสังเกตเห็นว่าไม่ว่าเขาจะออกแรงมากแค่ไหน มือของหวังเต็งก็ยังคงโอบรอบข้อมือของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนาราวกับเหล็ก เขาไม่สามารถหลุดพ้นจากมันได้แม้จะพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม
“ ปล่อยมือฉัน!”
หลี่หรงเฉิงกล่าวอย่างดุเดือด ใบหน้าของเขาเป็นสีเขียวด้วยความโกรธ
หวังเต็งปล่อยมือตามที่หลี่หรงเฉิงบอก
หลี่หรงเฉิงยังคงพยายามดึงตัวเองกลับมา ดังนั้นเขาก็จึงล้มไปทันทีเมื่อหวังเต็งปล่อยมือเขา
“ นายน้อยหลี่ ทำไมนายถึงประมาทแบบนี้? เอาล่ะรีบลุกขึ้นได้แล้ว หรือว่าพื้นมันเย็นสบายมากกัน?” หวังเต็งกล่าวด้วยความกังวล
“ แก!”
หลี่หรงเฉิงชี้ไปที่หวังเต็ง เขาโกรธจนไม่รู้จะพูดอะไร
เขาปีนขึ้นไปจากพื้นดินและพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ หวังเต็ง ฉันไม่คิดมาก่อนว่าแกจะมาซ่อนพลังที่แท้จริงเอาไว้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ความแค้นของเราก็ได้ก่อตัวขึ้นแล้วในวันนี้ แกกล้าดวลกับฉันไหม?”
“ แน่นอน” หวังเต็งถอนรอยยิ้มของเขาและตอบขณะมองเข้าไปในดวงตาของเขา
“ ตกลง เมื่อโรงเรียนเลิก เราก็จะมาประลองกันที่สนามกีฬา” หลี่หรงเฉิงหันกลับไปและเดินลงบันไดไปหลังจากที่เขาพูดจบ
หยวนจางหัวเหลือบมองหวังเต็ง แต่เขาไม่กล้าที่จะสบตากับหวังเต็ง จากนั้นเขาก็รีบไล่ตามหลี่หรงเฉิงไป
“ นายน้อยหลี่ พวกเราจะไม่กินข้าวหรอ?”
“ กินหัวของพ่อแกสิ ฉันอารมณ์ไม่ดีโว้ย”
…
หลังจากที่หลี่หรงเฉิงจากไป ไป่เว่ยก็ถามอย่างกังวลว่า “ พี่หวังเต็ง พี่จะสู้กับมันจริงๆอย่างงั้นหรอ?”
ก่อนที่หวังเต็งจะตอบกลับไป หยูห่าวก็ตอบเขาว่า “ นี่เป็นการต่อสู้แบบศิลปะการต่อสู้ และเนื่องจากเขาตกลงไปแล้ว เขาก็จะต่อสู้กับมันอย่างแน่นอน นี่คือกฎ”
“ หนูน้อย สิ่งที่นายพูดมันก็ไม่ถูกซะทีเดียว” ทันใดนั้นหวังเต็งก็ยิ้มและพูดขึ้น
หยูห่างรู้สึกงงงวย
หวังเต็วอธิบายต่อไปว่า “ กฎนี้มันไม่ใช่กฎสากล มันแค่เป็นมารยาทของการท้าดวลก็เท่านั้น”
หยูห่างไม่ค่อยมีความรู้ ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยเข้าใจหวังเต็งเท่าไหร่
“ พี่หวังเต็ง พี่มั่นใจว่พี่จะสามารถล้มมันได้อย่างงั้นหรอ?” ซูเจี๋ยถาม
“ ถ้าไม่แล้วฉันจะตกลงไปทำไมล่ะ” หวังเต็งยิ้มและถามเขากลับ
“ ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล นั่งลงและทานอาหารของเราต่อเถอะ ไว้เราค่อยพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อถึงเวลา”
“ เราจะตามพี่ไปด้วยตอนหลังเลิกเรียน” ไป่เว่ยกล่าว
“ แน่นอน!”
สามคาบเรียนในตอนบ่ายได้แก่ ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ และชีววิทยา
ในทุกๆคาบเรียน ครูและเพื่อนร่วมชั้นก็จะดรอปฟองสบู่ค่าคุณสมบัติออกมามากมาย และสิ่งนี้ก็ทำให้ค่าคุณสมบัติทางการศึกษาของหวังเต็งเพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
เขาไม่ได้ใส่ใจกับคำท้าดวลของหลี่หรงเฉิงเลย