เย่ซือซือมองไปที่โห้หลีเฉินอย่างตกตะลึง ผู้ชายคนนี้เสียสติไปแล้วงั้นเหรอ?
เธอระเบิดออกมาอย่างเหลืออดเหลือทนแล้ว “คุณป่วยเหรอคะ?!”
เสิ่นเคอหานหายใจเข้าลึกๆ แล้วตื่นตระหนกตกใจอย่างมาก
อย่างที่เล่ากันว่าโห้หลีเฉินนั้นเป็นคนเลือดเย็น และชอบใช้กลอุบายที่โหดร้ายทารุณ และคนที่ล่วงเกินเขาถ้าไม่ตายก็มีแต่จะไม่สามารถมีชีวิตที่อยู่เป็นสุขได้
นึกไม่เลยถึงว่าซือซือจะกล้าด่าเขาต่อหน้าอย่างนั้น
เรื่องนี้จะวุ่นวายไปกันใหญ่แล้ว
เสิ่นเคอหานจิตใจสับสน เขาจึงรีบเอ่ยปากจะพูดขอโทษแทนเย่ซือซือ แต่กลับได้ยินเสียงที่ไม่รีบไม่ร้อนของโห้หลีเฉินดังขึ้นมาอย่างงงงัน
“ถ้าไม่ป่วย ผมยังจะต้องการคุณอยู่ไหม คุณหมอเย่ไหมล่ะ?”
เย่ซือซือ: “……” คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะถึงกับไร้คำพูดไร้คำตอบเลยทีเดียว
เธอโกรธจนเจ็บหน้าอก
จากนั้นเย่ซือซือจึงเดินออกไปอย่างโกรธๆ โดยตรง
“ซือซือ……” เสิ่นเคอหานตะโกนเรียกออกไปสองคำด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าเธอก้าวเดินไปอย่างไม่หยุดยั้ง เขาก็จนปัญญาอย่างมาก
เขาพูดกับโห้หลีเฉินอย่างเขินอายว่า “คุณโห้ครับ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ แฟนผมถูกผมเอาแต่ใจจนนิสัยเสียเกินไป ได้โปรดให้อภัยด้วยครับ ส่วนเรื่องเฝ้ายามกลางคืนเดี๋ยวผมจะช่วยพูดเกลี้ยกล่อมเธอเอง”
พอพูดจบ เสิ่นเคอหานก็จากไปอย่างรีบร้อน
โห้หลีเฉินมองไปที่ภาพด้านหลังของเขา ด้วยสายตาที่เย็นชา
มือเล็กๆ ของแรบบิทลูบไปที่ใบหน้าของโห้หลีเฉิน และถามด้วยความสงสัยไปว่า
“ปาปา ปาปาโกรธทำไมคะ? ปาปารังแกพี่สาวคนสวย คนที่โกรธควรจะเป็นพี่เขาถึงจะถูกนะ”
โห้หลีเฉินหันไปมองลูกสาวของเขา จากนั้นแสงที่เย็นเฉียบในตาก็จางลงอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มของคุณพ่ออันเป็นที่รัก
เขาพูดแก้อย่างจริงจังว่า “ต้องเรียกว่าคุณป้าสิ”
แรบบิททำปากมุ่ย ยังสาวขนาดนั้น มองยังไงก็เป็นพี่สาวอยู่ดี และยังเป็นพี่สาวที่สวยและน่ารักอีกด้วย
……
พอตกดึก 5 นาทีก่อนที่คุณหมอจะเปลี่ยนเวร เว่ยชีก็ไปปรากฏตัวในห้องของเย่ซือซือและเสิ่นเคอหาน
“คุณหมอเย่ซือซือ ครับ ใกล้ถึงเวลาเปลี่ยนเวรแล้ว ช่วยเตรียมตัวด้วยนะครับ และตามผมไปที่ห้องของคุณผู้ชายด้วย”
บนใบหน้าของเว่ยชีเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มันช่างเป็นสุภาพบุรุษและมีมารยากอย่างมาก
ถ้าไม่มีกริชที่ส่องแสงระยิบระยับที่ถืออยู่ในมือเล่มนั้นของเขา
ใบหน้าของเย่ซือซือแดงก่ำด้วยความโกรธ จนแทบจะระเบิดออกมา
มันเป็นการกลั่นแกล้งที่เกินไปแล้วจริงๆ เลย
“ถ้าฉันไม่ไป คุณจะกล้าตัดนิ้วมือของเสิ่นเคอหานจริงๆเหรอ? ซึ่งเขาเป็นคนที่ผู้นำของตระกูลหยูนเลือกและแต่งตั้งขึ้นมาด้วยตัวเองเลยนะ และเขาก็เป็นแพทย์ที่เก่งที่สุดเพียงคนเดียวในสาขาเวชศาสตร์ฟื้นฟู ถ้าไม่มีเขา โห้หลีเฉินก็อย่าหวังว่าจะหายดีเลย!”
เว่ยชียิ้ม “การที่คุณไม่เคยไปเข้าร่วมการรักษา ก็เท่ากับว่าเป็นได้แค่ของที่ถูกจัดแต่งไว้ของสาขาเวชศาสตร์ฟื้นฟูเท่านั้น และคุณผู้ชายก็พูดว่า ในเมื่อเป็นคนไร้ประโยชน์ ถ้าจะตัดก็ตัดได้เลย”
เย่ซือซือตัวสั่นจนไม่สามารถควบคุมได้
ใบหน้าของเธอจึงทั้งแดงทั้งขาวซีดขึ้นมา
เสิ่นเคอหานจึงรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วโอบที่ไหล่ของเธอ พร้อมกับตบเบาๆ เพื่อปลอบใจเธอ
“ซือซือ พวกเราเป็นคุณหมอ และจะไม่ไปโต้เถียงกับคนไข้โรคจิตด้วย คุณไปเฝ้ายามกลางคืนเถอะ นี่เป็นสิ่งที่พวกเราควรทำนะ
ถ้ารักษาเขาให้หายป่วยได้ก่อน พวกเราก็จะได้ไปจากที่นี่เร็วขึ้น”
เย่ซือซือน้ำตาคลอเบ้าตา และมองไปที่ เสิ่นเคอหานอย่างเศร้าโศกจนทนไม่ไหว
ท้ายที่สุด เธอก็พยักหน้าอย่างยากลำบาก
ที่เธอไปก็เพื่อความปลอดภัยของเสิ่นเคอหาน
เว่ยชีไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเสิ่นเคอหานอย่างสิ้นเชิง คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าพูดถึงสุภาพบุรุษผู้สูงศักดิ์และศักดิ์สิทธิ์เป็นโรคจิตเหรอ? การใส่ร้ายคุณผู้ชาย ต้องถูกลงโทษ
แต่ว่า……
เว่ยชีมองไปที่กริชในมือของเขา การที่คุณผู้ชายทำแบบนี้ ที่คอยรังแกสาวน้อยของคนอื่นเขานั้น เขาก็อับอายมากจริงๆ และไม่กล้าเห็นด้วยเลย
เขารู้ดีว่าการที่เขาเอากริชมาข่มขู่สาวน้อยนั้น เขาจะต้องทำใจอย่างมาก ถึงจะสามารถตัดสินใจทำอย่างนั้นลงไป?
แต่ช่างมันเถอะ ให้อภัยคนได้ก็พึงให้อภัย เสิ่นเคอหานไม่ได้พูดซี้ซั้วไปซะทั้งหมด
เย่ซือซือไปที่ห้องของโห้หลีเฉินอย่างไม่เต็มใจอย่างมาก
เมื่อเดินเข้าประตูไป ก็ได้เห็นกับกงหยานหัวหน้าแพทย์สาขาพันธุศาสตร์ ตอนกลางวันนั้นเขาเป็นคนที่คอยเข้าเวรอยู่ที่นี่
แม้ว่าอาการป่วยของโห้หลีเฉินจะไม่ร้ายแรงมาก แต่หลังจากที่เริ่มได้รับการรักษา คุณหมอทั้ง 12 คนก็ผลัดกันมาดูแลเขา โดยจะคอยใส่ใจกับอาการป่วยของเขาตลอดเวลา
และนี่ก็เป็นการบำบัดรักษาในระดับขั้นสูงสุดแล้ว พูดอีกนัยหนึ่ง ก็ถือได้ว่าเป็นการเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดนั่นเอง
พวกเขาทั้งหมดเป็นคนของผู้นำตระกูลหยู และสภาพร่างกายทุกอย่างของโห้หลีเฉิน จะถูกรายงานไปยังผู้นำตระกูลหยูอย่างละเอียด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอีกหลายจุด ที่ยังต้องการตรวจสอบและควบคุมคอยสังเกตอยู่
กงหยานอายุ 40 กว่าปีแล้ว เขาจึงเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมและหนักแน่นอย่างมาก
หลังจากทักทาย เย่ซือซือแล้ว เขาก็ได้บอกระเบียบแบบแผนที่ต้องทำให้กับเย่ซือซืออย่างละเอียด
อย่างไม่ตกหล่นเลย
“ที่ต้องระวังเป็นพิเศษนั้น ก็คือเขามีปัญหากับความสามารถในการเดิน ดังนั้นเวลาตื่นนอนในตอนกลางคืน คุณต้องคอยตามเขาไปด้วย”
เย่ซือซือที่กำลังจดบันทึกอย่างมืออาชีพนั้น เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เธอก็ออกแรงกดปลายปากกาจิ้มกระดาษจนขาด
สีหน้าของเธอดูงงงัน “ถึงกับต้องช่วยประคองเขาเข้าห้องน้ำเลยเหรอคะ?”
แต่เธอเป็นผู้หญิงนะ!
กงหยานยิ้ม และพูดว่า “ไม่ต้องหรอก คุณแค่เข็นคุณโห้เข้าไปในห้องน้ำก็พอแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น เย่ซือซือจึงค่อยถอนหายใจด้วยความโล่ง
ก็แค่เข้าห้องน้ำ แล้วเดินออกไป ก็ยังต้องฝืนใจทำเลย
แน่นอนว่า เธอยังถอนหายใจไม่ทันสุด ก็มีเสียงที่เย็นยะเยือกของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านข้าง
“ทำไม แค่เรียกให้คุณช่วยประคองเข้าห้องน้ำ ก็ทำให้คุณลำบากแล้วเหรอ?”
แน่นอนว่าคำพูดนี้ทำให้ เย่ซือซือพูดไม่ออกเลยจริงๆ
เรียกเธอที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ให้ช่วยประคองเขาเข้าห้องน้ำ และยังต้องดูเขาฉี่ ฉี่เองไม่ได้หรือไง?
ภาพที่น่าอับอายแบบนี้ ดันถูกโห้หลีเฉินพูดอย่างจงใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว
แก้มของเย่ซือซือแดงอย่างมาก “ฉันยอมตายดีกว่าที่ต้องมาทำเรื่องพวกนี้”
“เหอะ”
โห้หลีเฉินเลื่อนรถเข็น ค่อยๆ เข้ามาใกล้เย่ซือซือทีละนิดๆ
แรงกดดันมหาศาลมาจากตัวเขา เข้ามาใกล้เธอราวกับทิวทัศน์ที่มืดฟ้ามัวดิน “คุณกับ เสิ่นเคอหานอยู่ด้วยกันแล้วนิ ยังไม่ค่อยได้เห็นของลับของผู้ชายอีกงั้นเหรอ?”
ในทุกๆ คำนั้น ราวกับว่าจงใจพูด อย่างเต็มไปด้วยการประชดประชัน การเยาะเย้ย และ……ความโกรธที่ไม่รู้สาเหตุนั่นเอง
เย่ซือซือยิ่งรู้สึกอายและโมโหเข้าไปอีก “นี่คุณ คุณมันไร้ยางอาย เสิ่นเคอหานเป็นแฟนของฉัน และคุณไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน เอาไปเทียบกันได้ยังไงกัน?”
“แล้วผมอยากเปรียบเทียบเหรอ?”
โห้หลีเฉินยื่นมือออกมาอย่างกะทันหัน แล้วคว้าจับข้อมือของเย่ซือซือไว้ แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่ แต่ระดับความสูงก็เกือบเท่ากับเธอ
และลมหายใจที่หนักหน่วงทั่วทั้งตัว ก็รุกรานอย่างมาก
“ตอนนี้ช่วยประคองฉันเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวฉันจะให้เธอได้เปรียบเทียบด้วยตาตัวเอง ว่าฉันกับเสิ่นเคอหาน ใครจะเหนือกว่ากัน!”
เย่ซือซือเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว และมองไปที่ชายตรงหน้าคนนั้น เหมือนกับมองคนบ้าวิปริตอย่างไม่ต้องสงสัย
ในขณะนั้นเอง เว่ยชีที่ก็ผลักประตูเข้ามา โดยอุ้มแรบบิทไว้ เขาตกใจจนแข็งทื่อไปหมด
ใบหน้าที่ตื่นตระหนกของเขานั้นดูผิดปกติไป และแทบจะไม่เชื่อหูของตัวเอง นี่เขาได้ยินไปทั้งหมดแล้วเหรอ?
นี่มันเสียสติไปแล้ว!
มันผิดศีลธรรมด้วย!
ทำไมจู่ๆ คุณผู้ชายถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้ไปแล้วล่ะ? คนไร้ยางอาย ไม่มีบรรทัดฐาน และชั่วช้าเป็นที่สุด
หรือว่าเป็นเพราะคุณผู้ชายโสดมานานเกินไป เมื่อเห็นความรักอันแสนหวานของเสิ่นเคอหานกับเย่ซือซือเขาจึงได้รับการกระทบกระเทือนใจ จึงต้องการแย้งมาเป็นเมียน้อยเพื่อล้างแค้นสังคมอย่างงั้นเหรอ?
ช่างบิดเบือนจริงๆ…
“แรบบิท สิ่งที่ตาเห็นอาจไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไปนะ หนูจะต้องเชื่อนะว่า ที่แล้วปาปาของหนูเป็นคนดีจริงๆ”
เขาพูดไปอย่างนั้น แต่กลับรู้สึกทุกข์ใจเล็กน้อย