แพทย์ทุกท่านกินเค้กรองท้องกันแล้ว อารมณ์ก็ดีขึ้น
เมื่อมองแรบบิทแล้วยังรู้สึกว่าเธอน่ารักขึ้นมาหลายส่วน
สำหรับเด็กน้อยที่มอบคัพเค้กให้พวกเขาแล้ว พวกเขาก็เอ่ยชมเป็นมารยาทด้วยเช่นกัน
“แรบบิทน่ารักจริงๆ ยังอายุน้อยก็รู้เรื่องขนาดนี้แล้ว โตแล้วต้องเป็นแม่ทองพันชั่งผู้โด่งดังที่งดงามมากแน่ๆ เลย”
“ใช่ๆ นวลเนียนดุจหยกสลัก แค่มองก็ชอบตั้งแต่แรกเห็น แทบอยากจะกอบกุมไว้บนอุ้งมือแล้วถนอมรัก”
“น่าเสียดายที่เด็กน้อยไม่มีแม่คอยอยู่เคียงข้าง…”
พูดแล้วก็รู้สึกสงสารเด็กน้อย
แรบบิทได้ยินคำพูดนี้ พลันหันหน้ามา มองหมอทั้งหลาย เอ่ยกล่าวเสียงดัง
“หนูมีคุณแม่ค่ะ หนูอยากให้พี่เย่เป็นแม่ของหนู”
ขณะพูด แรบบิทก็จูงมือของเย่ซือซือ ร่างเล็กแอบอิงอยู่ในอ้อมอกของเธอ
ดวงตากลมโตของเธอที่มองเย่ซือซือเปล่งประกายด้วยความคาดหวัง “พี่เย่ คุณมาเป็นแม่ของหนูนะ โอเคไหม?”
คำพูดนี้ล้วนเป็นคำพูดพล่อยๆ ของเด็ก
แต่กลับทำให้บรรยากาศตรงนี้แปลกประหลาดขึ้นมา
ทุกคนล้วนมองสำรวจเย่ซือซือและแรบบิท ยังมีโห้หลีเฉิน รวมทั้งเสิ่นเคอหาน ด้วยสายตาซับซ้อน
รอยยิ้มมุมปากของเสิ่นเคอหาน ก็แข็งค้างตามไปด้วย ไม่สบายใจอีกต่อไปแล้ว
เย่ซือซือตกใจตัวโยน แก้มฝาดแดงขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม และสายตายังเห็นไปมองโห้หลีเฉินโดยไม่รู้ตัว
ในชั่วพริบตานั้น ก็สบเข้ากับสายตาลึกซึ้งดุจแสงของเขา
ดั่งน้ำวนในทะเลสาบลึกก็มิปาน ที่จะดูดเธอเข้าไป ในชั่วพริบตาเธอก็ไม่มีทางฟื้นอีกต่อไป
เย่ซือซือใจเต้นอย่างบ้าคลั่ง ย้ายหลบสายตาด้วยความร้อนรน
เธอก้มหน้ามองแรบบิท อธิบายด้วยความอ่อนโยน
“แรบบิท แม่ต้องเป็นคนที่ให้กำเนิดหนูและเลี้ยงดูหนูนะ หนูมีแม่ ฉันไม่กล้าเป็นแม่ของหนูหรอก”
แรบบิทส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ค่ะ ขอแค่คุณแต่งงานกับปาปาของหนู คุณก็เป็นแม่ของหนูได้แล้ว หนูมีแม่สองคนได้ค่ะ”
เย่ซือซือ “…”
หนูน้อย หนูเพิ่งหนึ่งขวบกว่า แม้แต่เรื่องแต่งงานยังไปรู้มาจากไหนกันล่ะเนี่ย?
เย่ซือซือทั้งกระอักกระอ่วนทั้งปวดหัว แต่ก็ยังคงมีความอดทนและความอ่อนโยนมากพอเช่นเคย
“ฉันไม่มีทางแต่งงานกับปาปาของหนูได้หรอกจ้ะ”
แรบบิทงุนงง “ทำไมเหรอคะ?”
เย่ซือซือว้าวุ่นกับบทพูด เรื่องนี้จะอธิบายกับเด็กน้อยยังไงดีล่ะ?
เธอเอ่ยอย่างนิ่มนวล “ฉันกับปาปาของหนูเป็นแค่ความสัมพันธ์ระหว่างหมอกันคนไข้ พวกเราไม่มีความรักความผูกพันแบบที่จำเป็นต้องแต่งงานกันหรอกจ้ะ”
“ความผูกพันมันพัฒนากันได้ไม่ใช่เหรอคะ?” แรบบิทกะพริบตาปริบ มองเย่ซือซือด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม แล้วหันไปมองโห้หลีเฉิน “ปาปา ปาปามาสานสัมพันธ์กับพี่เย่นะ โอเคไหมคะ? หนูอยากให้เธอมาเป็นแม่ของหนูได้จริงๆ ค่ะ”
เสียงออดอ้อนนิ่มนวลนั่น น่ารักเสียจนทำให้คนฟังไม่อาจปฏิเสธได้ลงเลย
แพทย์สิบคนมองแรบบิทท่าทางแบบนี้ ล้วนอย่างวิ่งเข้าไปอย่างอดไม่ได้ กอดเธอแล้วพยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง
โห้หลีเฉินมองเจ้าหนูน้อย เอ่ยถามด้วยคำพูดลึกซึ้งตราตรึง “หนูอยากให้เธอเป็นแม่ของเธอจริงๆ เหรอ?”
“อยากค่ะ อยากมากๆ อยากสุดๆ ”
แรบบิทตอบด้วยความแน่วแน่เกินร้อย
เลี้ยงจนโตขนาดนี้แล้ว โห้หลีเฉินเพิ่งเคยเห็นเธออ้อนวอนอย่างแน่วแน่กับเรื่องเรื่องหนึ่งมากขนาดนี้เป็นครั้งแรก
โห้หลีเฉินหัวเราะเบาๆ อย่างอ่อนโยน “โอเค ปาปาจะลองดูนะ”
“เย้ ปาปาดีที่สุดเลย”
แรบบิทดีใจจนลุกกระโดด หันกายไปดึงมือของเย่ซือซือ คลอเคลียกับมือนั้นราวกับสัตว์เลี้ยง
“พี่เย่ จากนี้พี่ก็มาเป็นแม่ของหนูได้แล้ว ดีใจไหมคะ? หนูดีใจมากเลยค่ะ”
เย่ซือซือ “…”
ทั้งตัวแข็งทื่ออย่างกับหิน ใบหน้าปรากฏคำว่ากระอักกระอ่วนเขียนไว้ตัวใหญ่ๆ
หญิงสาวที่มีสามีแล้วคนหนึ่ง พูดว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์กับเธอต่อหน้าแฟนของเธอ ยังเหลวไหลได้มากกว่านี้อีกไหม?
แม้รู้ว่าเขาทำเพียงเพื่อรับมือกับลูก แต่ก็น่ากระดากไม่น้อยเลย!
เสิ่นเคอหานสีหน้าดำมืด ลุกขึ้นมาทันที ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำ ก็เดินออกไปอย่างเดือดดาล
ที่ไม่ต่อยหน้าโห้หลีเฉินตรงนั้นเลยก็เพื่อไว้หน้าแรบบิท
“เคอหาน…”
เย่ซือซือตะโกนเรียกเขา เขาก็ไม่สนใจ
เย่ซือซือปวดหัวแทบระเบิด
ถึงแรบบิทจะน่ารักสุดๆ ก็เถอะ แต่คล้ายว่าจะโดยหลอกกว่าพ่อของเขานิดหน่อย
“แรบบิท พี่สาวมีธุระนิดหน่อย ขอออกไปก่อนแป๊บหนึ่งนะ หนูไปเฝ้าปาปาเถอะ”
เอ่ยจบเย่ซือซือก็รีบลุกขึ้นยืน วิ่งตามเสิ่นเคอหานออกไป
สีหน้าของเธอรีบร้อน ด้วยกลัวว่าเสิ่นเคอหานจะเข้าใจผิดและโกรธ
ความแคร์นี้ ไม่ใช่ของปลอม
ถึงขึ้นที่ไม่สนแม้แต่งานในตอนนี้แล้ว
โห้หลีเฉินมองเงาหลังของเย่ซือซือ สีหน้าดำมืดดั่งเถ้าถ่าน ไฟโทสะคุกรุ่นอยู่ในทรวงอก กำลังเดือดระอุ
เย่ซือซือวิ่งออกมาไกลมากแล้ว ในที่สุดก็กว่าจะตามเสิ่นเคอหานได้ทัน
ตอนนี้เขายืนอยู่ใต้ระเบียงทางเดินข้างนอกบ้านพัก พิงเสาโรมัน และกำลังสูบบุหรี่
กลุ่มควันที่ลอยเป็นเกลียว ขับให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขางดงามขึ้นมาอีก และยังมีความงดงามอันตรายไร้ชีวิตชีวาเพื่อขึ้นมาด้วย
สิ่งที่เย่ซือซือชอบมากที่สุดก็คือกลิ่นอายแบบนี้ของเขา
ท่ามกลางความสะอาดสดชื่น กลับซุกซ่อนความดำมืดที่ดิบเถื่อนไว้ด้วย
“เคอหาน”
เย่ซือซือเดินไปยืนข้างกายเขา สำรวจเขาอย่างระแวดระวัง “คุณโกรธเหรอ?”
เสิ่นเคอหานพ่นควันวงกลมสีขาวออกมา เอ่ยสีหน้าไร้อารมณ์
“คุณคิดว่าไงล่ะ?”
เรื่องแบบนี้ มีผู้ชายคนไหนจะไม่โกรธด้วยเหรอ?
แต่สตินึกคิดเฮงซวยของเขากลับรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของเย่ซือซือ เธอเสียแม่ไปตั้งแต่เด็กๆ น่าสงสารมากนะ”
เสิ่นเคอหานอดกลั้นไฟโกรธ “ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ตอนนั้นผมต่อยโห้หลีเฉินไปแล้ว”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเขา โห้หลีเฉินก็คงไม่พูดแกล้งพูดอะไรแบบนั้นออกมานะ”
เย่ซือซือยื่นมือไปคล้องแขนเสิ่นเคอหาน ใบหน้าจุดยิ้มอ่อนโยน “พอแล้ว เลิกโกรธเถอะนะ ระหว่างฉันกับโห้หลีเฉินมันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก เขาจงใจกลั่นแกล้งฉันขนาดนั้น ก็ต้องเกลียดฉันมาก
คุณอย่าถือสาเลย ก็แค่คำพูดไร้สาระของเด็กน่ะ”
เห็นแฟนสาวออดอ้อนทั้งยังทำท่าน่ารัก สีหน้าของเสิ่นเคอหานถึงจะดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
เขาเอ่ยเสียงในลำคอ “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ”
เส้นตายของผู้ชายอดทนอดกลั้นกับเรื่องแบบนี้ได้ครั้งเดียว อย่างไรเสีย ความรักก็เป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัวและตระหนี่
อย่างไร เรื่องนี้กลับไม่ใช่เพียงแค่เรื่องล้อเล่นในตอนนั้น ที่เมื่อหลอกล่อแรบบิทได้ ก็จะปิดม่านแล้ว
หลังจากหยูฉู่สองได้รู้เรื่องนี้ ก็ได้ให้ความสนใจกับมันด้วย
ในห้องหนังสือของหยูฉู่สอง กำลังมีคนสองคนนั่งเผชิญหน้ากันอยู่โดยมีโซฟาคั่น
คนหนึ่งคือหยูฉู่สอง อีกคนหนึ่ง คือฝู้ยวน
หลังจากเขาได้รับตำราแพทย์ ก็ไม่ได้กลับไปที่ตระกูลฝู้ แต่อยู่ที่ตระกูลหยูมาโดยตลอด
อยู่ข้างกายหยูฉู่สอง
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น สีหน้าไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เอ่ยเสียงหนัก
“เรื่องนี้จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ การที่แรบบิทอยากให้เย่ซือซือเป็นแม่ไม่ค่อยดีต่อเรานัก ตอนนี้เย่ซือซือเป็นคนที่สามารถใกล้ชิดและเก็บข้อมูลสำคัญจากโห้หลีเฉินมาให้เราได้มากที่สุด ถ้าเกิดเธอหวั่นไหวขึ้นมา ก็จะกระทบกับแผนงานของเราโดยตรง”
ใบหน้าของหยูฉู่สองประดับรอยยิ้ม อารมณ์ดีไม่น้อย
เขาส่ายหัว เอ่ยอย่างแช่มช้า
“แต่ฉันกลับคิดว่า เรื่องนี้ไม่เลวเลย”