เย่ซือซือมองโห้หลีเฉินด้วยความแปลกใจ แล้วถึงเข้าใจขึ้นมา
หยูฉู่สองแพ่ข่าวลือ แต่โห้หลีเฉินก็วางแผนซ้อนแผนเช่นกัน พยายามใช้วิธีนี้ ทำให้เย้นหว่านออกมา
เขาก็ตามหาเย้นหว่านอยู่ทั่วทุกมุมโลกเช่นกัน แต่ก็ไม่มีเบาะแสใดๆ
นี่เขาต้องสิ้นหวังถึงขนาดไหน ถึงได้ไม่ห้ามให้หยูฉู่สองใช้วิธีการเลวๆ แบบนี้ และอยากให้เย้นหว่านออกมาเช่นกัน
เขาเองก็มั่นใจ ขอแค่เธอปรากฏตัวออกมา เขาก็สามารถปกป้องเธอได้
แต่…
แววตาของเย่ซือซือหมองหม่น ตอนนี้โห้หลีเฉินถูกขังอยู่ในตระกูลหยู ปกป้องตัวเองยังยาก
ในขณะเดียวกันนี้
ในห้องหนังสือของหยูฉู่สอง เขาได้ฟังบทสนทนาทั้งหมดของเย่ซือซือและโห้หลีเฉินแล้ว
เขาสีหน้ามืดครึ้ม ย่ำแย่อย่างยิ่ง
ฝู้ยวนเอ่ย “ไม่นึกว่าโห้หลีเฉินจะวางแผนซ้อนแผน แต่ปีกทั้งหมดที่เขามีตอนนี้ถูกคุณตัดทิ้งไปหมดแล้ว ยากจะปกป้องตัวเอง เขามีความมั่นใจแบบนี้ ก็เว้นเสียแต่ว่า เขายังซ่อนความสามารถไว้ด้วย”
หยูฉู่สองหยักหน้า “โห้หลีเฉินคิดได้ลึกซึ้งคาดเดาได้ยากกว่าพวกเรา ในเมื่อเขายังมีความสามารถซ่อนอยู่ งั้นก็ถือโอกาสนี้ขุดมันออกมาให้หมดเลยทีเดียว ล้างบางให้หมด”
สิ่งที่เขาต้องการ คือทำลายโห้หลีเฉินให้สิ้นซาก กุมเขาไว้ในกำมือ เป็นหุ่นเชิดที่ไม่อาจต่อต้านได้
เขาเป็นผู้สืบทอดในนาม ความจริงแล้วก็เป็นเพียงกุญแจเปิดคลังสมบัติเท่านั้น
…
เย่ซือซือออกไปจากห้องของโห้หลีเฉินด้วยใจที่หนักอึ้ง
เธอรู้ดี ว่าข่าวคาวนี้ ใครก็หยุดมันไม่ได้ และเธอก็ยิ่งไม่มีความสามารถที่จะหยุดมัน
ทำได้เพียงจ้องมองชื่อเสียงเกียรติยศของตัวเองถูกพวกเขาทำลายย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี
กลัวก็แต่ครอบครัวของเธอ หากไม่คิดว่าเธออาขาให้ ก็คิดว่าเธอเหยียบเรือสองแคม
ช่างไม่ยุติธรรมเลย
เย่ซือซือคอตก เพิ่งเดินเข้ามาในห้องตัวเอง ก็ถูกเสิ่นเคอหานคว้าตัวไว้
เสิ่นเคอหานสีหน้าย่ำแย่ เอ่ยถามอย่างร้อนรน
“โห้หลีเฉินว่ายังไงบ้าง จะออกมาชี้แจงเรื่องนี้ไหม?”
เย่ซือซือส่ายศีรษะ “พวกเขาทั้งหมดใช้ฉันล่อให้เย้นหว่านออกมา ก่อนเย้นหว่านจะปรากฏตัว เกรงว่าเรื่องนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้เลย”
“ว่าไงนะ? นี่มันจะเกินไปแล้ว!”
เสิ่นเคอหานโมโหจนถีบเก้าอี้ล้ม ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำ “ซือซือ ผมกับคุณจะได้แต่งงานกันอยู่แล้ว ถ้าไม่เคลียร์ข่าวลือนี้ พอพวกเรากลับไปแล้ว จะแต่งงานยังไง?”
“กลัวว่าถูกทุกคนจะหัวเราะเยาะเอาน่ะสิ!”
เย่ซือซือแววตาส่องประกาย “ถ้าพวกเราอธิบายให้เพื่อนกับครอบครัวฟังอย่างสุดความสามารถล่ะ?”
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ จะมีสักกี่คนที่เชื่อพวกเรา?”
เสิ่นเคอหานกดขมับอย่างหงุดหงิด “เมื่อกี้พ่อแม่ผมเพิ่งโทรมาซักถาม ไม่เชื่อคำอธิบายของผม ถ้าชี้แจงออกสื่อไม่ได้ พวกเขาก็จะไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของเรา”
เย่ซือซือเบิกตากว้างอย่างงุนงง
“คุณลุงคุณป้าไม่เชื่อฉันเหรอ?”
“ไม่ใช่ไม่เชื่อคุณหรอก แต่เรื่องนี้มันใหญ่เกินไป คุณก็รู้ว่าพ่อแม่ผมมีตำแหน่งในสังคมชนชั้นสูง พวกเขาต้องคิดถึงหน้าของพวกเขาด้วย”
คนในสังคมชนชั้นสูงแคร์เรื่องเกียรติศักดิ์ศรีของตัวเองที่สุดแล้ว เรื่องนี้ยังเป็นข่าวคาวใหญ่สุดของแวดวงอีก
ไม่ว่าใครก็ล้วนมองพวกเขาด้วยอคติ
ถ้าไม่ชี้แจงอย่างเป็นทางการ พวกเขาก็จะตราหน้าว่าแต่งงานกับลูกสะใภ้ที่อ้าขาให้คนอื่น
นั่นเป็นเรื่องน่าขายหน้าสำหรับทั้งตระกูล
เย่ซือซือเข้าใจดี ทว่าในใจกลับเสียใจอย่างขมขื่นปวดร้าว
สถานการณ์แบบนี้เธอเคยคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่เมื่อไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ เมื่อต้องเผชิญหน้าจริงๆ ถึงพบว่าเป็นเรื่องที่เจ็บปวดและช่วยไม่ได้ขนาดไหน
เย่ซือซือน้ำตาคลอหน่วย “เคอหาน ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างตระกูลหยูกับโห้หลีเฉิน พวกเราสองคนไม่มีสถานะอะไรเลยสักอย่าง”
อย่างดีก็เป็นแค่หมากที่ถูกใช้ประโยชน์เท่านั้น
หากกล้าไม่ฟังคำหรือต่อต้าน ก็ถึงขั้นที่ต้องจ่ายมันด้วยชีวิต
เสิ่นเคอหานสีหน้าย่ำแย่กว่าเดิม ทุบหมัดลงโต๊ะอย่างแรงหนึ่งที แค้นเคืองอย่างสุดขีด
“รู้อย่างนี้ไม่ควรรับหน้าที่ดูแลอาการป่วยของโห้หลีเฉินเลย”
เย่ซือซือพิงกำแพงอย่างหมดแรง ท้อใจอย่างมาก
โลกใบนี้ไม่มียารักษาความเสียใจในภายหลังขาย
เธอและเสิ่นเคอหาน ถูกบีบจนมาอยู่จุดนี้ ไม่มีทางออกจากกระดานนี้ได้เลย
ไม่มีใครพูดอะไรอีก ภายในห้องตกสู่ความเงียบงันอันแสนหนักอึ้ง
ในใจพวกเขาราวกับมีหินมากดอยู่อย่างไรอย่างนั้น
แค้นเคือง กลัดกลุ้ม เป็นทุกข์
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว สีท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง
เย่ซือซือสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งปวด รวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก “เคอหาน เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว พวกเราทำได้แค่ดูไปทีละก้าวๆ ถึงเวลาแล้ว ฉันต้องไปเฝ้าโห้หลีเฉินแล้ว”
เย่ซือซือกำลังจะออกไป กลับถูกเสิ่นเคอหานคว้าข้อมือไว้
สีหน้าของเสิ่นเคอหานทะมึนอย่างถึงที่สุด หัวจรดเท้าเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด
น้ำเสียงก็ฟังดูสะกดอารมณ์อย่างมาก “อย่าไป”
“เคอหาน…”
“ผมไม่อยากให้คุณไปเฝ้าเขาตอนกลางคืนอีกต่อไปแล้ว อย่าไปเลย พวกเราพยายามเว้นระยะห่างกับเขาให้ได้มากที่สุดเถอะ”
ที่เรื่องระหว่างเย่ซือซือกับโห้หลีเฉินวุ่นวายจนถึงขนาดนี้ หนึ่งในปัจจัยที่ใหญ่มากคือการเฝ้ากลางคืนให้โห้หลีเฉิน
การปรากฏของรูปภาพนั้นเกินความคาดหมายในการเฝ้ายามกลางคืน เย่ซือซืออยู่ตามลำพังกับโห้หลีเฉินทั้งคืน ก็เป็นสาเหตุที่ทุกคนเดาว่าระหว่างพวกเขามีอะไรต่อกัน
แม้ว่าจะเป็นข่าวคาวโลกีย์ที่ลือกัน ทั้งหมดก็มักเกิดจากมูลฐานจริงๆ ของเรื่องนั้น
เย่ซือซือมองเสิ่นเคอหานอย่างไม่อาจฝืนทน อารมณ์สับสนอย่างมาก
เธอถอนหายใจ “พวกเราทั้งสองไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรเลยไม่ใช่เหรอ?”
ตกสู่สถานการณ์เช่นนี้แล้ว นอกจากปล่อยให้เขาครอบงำ ก็ทำอะไรไม่ได้เลย
แต่แรกเธอก็ไม่เต็มใจเฝ้าโห้หลีเฉินตอนกลางคืน แต่เธอก็ถูกบีบบังคับ ตอนนั้นเธอไม่มีสิทธิ์ต่อต้าน ตอนนี้เธอก็ไม่มียิ่งกว่าเดิม
เสิ่นเคอหานจับมือเย่ซือซือแน่น ใบหน้าหล่อเหล่าแดงก่ำ แต่กลับพูดไม่ออกสักคำเดียว
อารมณ์ของเย่ซือซือเองก็ตกต่ำอย่างยิ่ง เธอดึงมือเสิ่นเคอหานออกค่อยๆ แล้วเดินออกไป
ประตูถูกปิดลง
ภายในห้องเงียบกริบ ราวกับอากาศก็เงียบสงัดไปด้วย
ยืนแข็งค้างอยู่ที่เดิม น้ำเสียงกดต่ำราวกับเค้นออกมาจากลำคอ
“ขอโทษ ซือซือ เป็นผมเองที่ไร้ความสามารถ…ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง…”
ข่าวโคมลอยรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
แม้แต่ที่ที่โห้หลีเฉินอยู่ก็ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงด้วยเช่นกัน
เหล่าแพทย์ เหล่าสาวใช้ ต่างก็เริ่มมองเย่ซือซือด้วยสายตาอคติ
เย่ซือซือแบกรับความกดดันทางจิตใจอันแสนหนักอึ้ง แต่ก็ยังต้องไปเฝ้ายามตอนกลางคืนให้โห้หลีเฉิน และช่วงเช้ายังต้องเข้าร่วมการรักษาตามปกติ
เธอถูกใช้งานทั้งวัน นอนไม่พอจนเดินซวนเซ แล้วยังต้องอดกลั้นต่อความทรมานทางจิตใจ
ทว่าความทุกข์ตรมที่เธอเจอ ในสายตาคนอื่นแล้ว ล้วนกลายเป็นว่าโห้หลีเฉินอยากอยู่กับเธอในทุกเวลา
เย่ซือซืออยากร้องแต่ก็ไร้น้ำตา
คืนนี้ เธอนั่งอยู่บนโซฟา กำลังสะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่น ฝันถึงโจวกง ทว่าข้างหูกลับมีเสียงพูดโห้หลีเฉินดังขึ้นราวกับเป็นคำสาป
“เย่ซือซือ มานี่”
เย่ซือซือเบิกตาขึ้นอย่างยากลำบาก ความเบื่อหน่ายเต็มหน่วย “อะไร?”
ทั้งคืนนี้ นอกจากการให้น้ำเกลือกับยาที่มีความจำเป็นแล้ว โห้หลีเฉินก็มักจะมีเรื่องจู้จี้จุกจิกอีกสามสี่ห้าอย่าง