สายตาของแองเจล่าเย็นชามาก พูดขึ้นมาว่า “เฮเลนา เมย์ ฉันจะทำอะไร ต้องได้รับความยินยอมจากแกตั้งแต่ตอนไหน ต้องให้แกมายุ่งด้วยหรอ?แกอย่าลืมตัวตนของแก!”
สีหน้าของน้าเมย์ซีดขาวอย่างกับกระดาษ
สายตาของเธอสั่นอย่างรุนแรง ทนความเจ็บปวดของใจ แล้วก้มหน้าลงอย่างต่ำต้อย
“ขอโทษคะ คุณหนูดิฉันทำเกินไป”
เป็นแม่ในนามของแองเจล่ามานานหลายปี เธอก็ได้ทำเหทือนกับว่าเธอเป็นลูกแท้ๆ แล้ว ดูแลเหมือนเป็นลูกสาวแท้ๆ ของตัวเอง และยังคิดที่จะสั่งสองเหมือนกับลูกสาวแท้ๆ อีกด้วย
แต่เธอ กลับไม่ใช่ลูกสาวแม้ของเธอ แต่เป็นเจ้านายเธอ
แองเจล่าออกคำสั่งอย่างเย็นชาว่า “แกไม่มีสิทธิ์มาคัดค้านทุกคำพูดของฉัน ฉันให้แกทำอะไร แกก็ต้องทำอะไร เอาป่ายฉีให้อยู่ ฉันไม่อยากเห็นสัญญาณว่าเขาดีขึ้นเร็วจนไป”
น้าเมย์กัดฟันและกำหมัดไว้แน่น อารมณ์แปรปรวนมาก แต่สุดท้ายก็พูดออกมาเพียงคำเดียวว่า “คะ”
……
พลบค่ำ พระอาทิตย์ได้ตกลงไปทางตะวันตก ได้ย้อมสีท้องฟ้าแดงไปหมด
เย้นหว่านเข็นโห้หลีเฉินเดินอยู่บนถนนเล็กๆ สายลมพัดมาเบาๆ ทุกอย่างเงียบสงบ
เมืองเล็กๆ นี้คนอาศัยอยู่น้อยมาก เป็นหลังเดียวห่างๆ ส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นพวกคนแก่
ที่นี่ เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่น้าเมย์เลือกในการใช้ชีวิตหลังเกษียณ
ถึงแม้ว่าเย้นหว่านและโห้หลีเฉินเดินอยู่บนถนน ก็ไม่เป็นที่สนใจจนมากเกินไป พวกคนแก่ไม่ได้สนใจคู่หนุ่มหล่อสาวสวยเหมือนกับพวกวัยรุ่นพวกนั้น
เย้นหว่านและโห้หลีเฉินสบายและผ่อนคลายกันมาก เพราะแบบนี้ ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องที่พวกเขาอยู่ที่นี่จะรั่วออกไปให้หยูฉู่สองรู้
เมืองเล็กๆ แห่งนี้เปรียบเสมือนวัตถุโบราณที่สวยงาม
เย้นหว่านและโห้หลีเฉินโอกาสน้อยมากที่จะใช้ชีวิตที่เงียบสงบและสบายแบบนี้
“ท้องฟ้าสวยจริงๆ ”
เย้นหว่านพูด
โห้หลีเฉินมองท้องฟ้าไว้ มองดูบรรยากาศรอบๆ แล้วพูดขึ้นมาช้าๆ ว่า “ก่อนหน้านี้เธอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?”
“น่าจะประมาณ 1 เดือนกว่ามั้ง”
เย้นหว่านพูดด้วยน้ำเสียงที่สบายมาก “หลังจากติดต่อน้าเมย์แล้ว แผ่นของพวกเราก็ต้องให้น้าเมย์รับรู้ทั้งหมด เธอเองก็ได้ช่วยเหลือพวกเราไว้มากด้วย ก่อนที่ยังไม่แน่ใจเย่ซือซือและเสิ่นเคอหาน เธอก็เริ่มเตรียมทำความคุ้นเคยกับข้อมูลของทีมแพทย์ทั้งหมด หลังจากมั่นใจแล้วว่าเย่ซือซือและเสิ่นเคอหาน เธอถึงได้เริ่มต้นอย่างรวดเร็ว”
การสะกดจิตชีวิตอีกคนไปไว้บนตัวของอีกคนนั้น สำหรับนักสะกดจิตแล้ว ก็เป็นเรื่องท้าทายที่ใหญ่เหมือนกัน
ไม่ต้องถาม ก็รู้ว่าช่วงเวลานั้นเย้นหว่านลำบากแค่ไหน
เอาชีวิตของตัวเองหลอมเข้าไปอยู่ในสติของคนอื่น ก็เป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากเหมือนกัน
โห้หลีเฉินเอามือไปด้านหลังแล้วจับมือของเย้นหว่านที่จับรถเข็นไว้อย่างเบาๆ
เขาไม่ได้พูดอะไร แต่การเป็นห่วงที่ไร้เสียงนั้นดีกว่ามีเสียง
เย้นหว่านมองเขาไว้ แล้วยิ้มจางๆ
พูดขึ้นมาว่า “ยังดีที่ทุกความเจ็บปวดและจากกันได้ผ่านไปหมดแล้ว เรื่องที่เมื่อก่อนก็คุ้ม คุณโห้ฉันดีใจมากเลยนะที่นายกลับมาอยู่ข้างกายฉันอีกแล้ว”
โห้หลีเฉินจับมือของเธอไว้แน่นกว่าเดิม
เขาชะงักไปสักพัก แล้วถามขึ้นมาว่า “หยูเซิง ตอนนี้เขาเป็นอะไร?”
เย้นหว่านชะงัก สีหน้าไม่ค่อยดี
สถานการณ์ของหยูเซิงไม่ได้ดีขนาดนั้น
เธอมองหน้าข้างของโห้หลีเฉินไว้ ก็รู้อยู่แล้ว ถึงขนาดนี้แล้ว ก็ไม่ควรปกปิดเขา
เขาคือพ่อแท้ๆ ของโห้หยูเซิง มีสิทธิ์ที่จะรับรู้ทุกอย่าง
“ตอนที่เนี่ยนเนี่ยนพึ่งคลอด อยู่ในตู้อบทารกเป็นเวลานานหลายเดือน พึ่งออกมา ถึงแม้ว่าป่ายฉีจะใช้การรักษาที่ดีที่สุดในการรักษา แต่เขาก็คลอดออกมาก่อนเวลา ร่างกายก็ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว นอกจากนั้น……”
เย้นหว่านหยุดลงแล้วเสียงก็เบาลงมากด้วย “ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เหมือนกับแรบบิท ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำแร่ก็สามารถมีชีวิตได้ แต่ว่าเขากลับมีอุปสรรคในการเข้าถึง ผิวหนังของเขาแค่เตะนิดเดียวก็จะบวมและเขียว ออกแรงหน่อยก็อาจจะกระดูกหักได้ ก็เพราะแบบนี้ ตอนเด็กเขาเจอปัญหามามาก”
พูดเสร็จ เย้นหว่านก็เริ่มสะอื้น
สีหน้าของโห้หลีเฉินก็ตึงเครียดมาก ได้จับมือของเย้นหว่านแน่นกว่าเดิม
“ต้องมีวิธีในการรักษาแน่”
เขาพูดอย่างมั่นใจ
เย้นหว่านพยักหน้า “ป่ายฉีได้คิดหาวิธีในการรักษาอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้สถานการณ์ของเขาดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าร่างกาย เขาไม่ชอบสัมผัสหรือเตะต้องกับคนอื่น ต่อต้านการกอดของคนอื่น เขาไม่ชอบพูดมากด้วย ไม่ชอยสนใจใคร นิสัย จะเย็นชาและเป็นส่วนตัวสูง ตอนนี้เขา 1 ปี 9เดือนแล้ว แต่ว่าบทสนทนาที่เคยพูด ไม่เกิน 10 คำ”
เทียบกับความกระตือรือร้นของแรบบิทแล้ว โห้หยูเซิงนี่โรคส่วนตัวสูงมาก
คิ้วของโห้หลีเฉินขมวดไว้ด้วยกัน “ได้เชิญหมอจิตแพทย์ทำการรักษารึยัง?”
“เชิญแล้ว” เย้นหว่านถอนหายใจ “แต่ไม่มีผลอะไรเท่าไหร่ เด็กยังเด็ก ฟังอะไรยังไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วก็ปฏิเสธการเข้าถึง จิตแพทย์เองก็หมดหนทางแล้ว”
“ส่วนฉัน ก็…….ไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับเขาสักเท่าไหร่……”
เย้นหว่านพูดไป รู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าเดิม
เหตุการณ์ของโห้หยูเซิง บางทีสามารถทำให้เขาอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย มีแค่แม่ของตัวเองเท่านั้น แต่ว่าเธอไม่สามารถใช้เวลาและความสามารถทั้งหมดในการไปดูแลเขา
ในตลอด 1 ปีกว่านี้ เย้นหว่านแทบจะดูแลตัวเองยังไม่ได้เลย
เธอไม่กล้าให้ตัวเองหยุดนิ่งหรือว่างลงมา พอเพราะหยุดว่างลง ก็จะคิดถึงและเป็นห่วงโห้หลีเฉินและแรบบิทอย่างบ้าคลั่ง
เธอเคยลองในการไปดูแลโห้หยูเซิง แต่เธอที่อยู่นิ่งไม่ได้ กลับทำให้โห้หยูเซิงตกใจกลัว
ตอนที่เธอยังควบคุมตัวเองไม่ได้ อย่าว่าแต่เรื่องชี้นำลูกเลย
ดังนั้น เธอเลือกหนึ่งในสองก็ได้เห็นความสำคัญของการช่วยเหลือโห้หลีเฉินเป็นหลัก ส่วนโห้หยูเซิง…….
โห้หลีเฉินได้กุมมือของเย้นหว่านไว้แน่นกว่าเดิม ความรู้สึกที่พูดไม่ออกและบอกไม่ได้ และสงสารลูกชายที่ยังไม่เคยเจอหน้ากันแม้แต่ครั้งเดียว
อายุแค่นี้ กลับต้องเจออะไรพวกนี้
“ไม่เป็นไร อีกไม่กี่วัน พวกเราก็ไปหาเขาด้วยกัน มีพ่อแม่และน้องสาวอยู่ข้างกาย พวกเราต้องทำให้เขาดีขึ้นแน่”
ตอนนี้โห้หลีเฉินและก็กลับมาอย่างปลอดภัย ใจของเธอก็นิ่งลงแล้ว เธอสามารถเป็นแม่ที่ดีคนใหม่แล้ว ใช้เวลาและความอดทนให้มากขึ้นในแต่ละวัน อยู่กับโห้หยูเซิง
หวังว่า บางที จะทำให้เขาดีขึ้นได้
เย้นหว่านและเดินจนหลังจากฟ้ามืด ถึงจะกลับไป
พึ่งเข้าประตู ก็เห็นป่ายฉีที่นั่งอยู่บนโซฟาที่ห้องรับรอง
ป่ายฉีเหมือนกำลังรอพวกเขาอยู่
แต่พอเห็นพวกเขาเดินจูงมือเข้ามา สีหน้าของป่ายฉี อยู่ก็ดูไม่ดีขึ้นมา
เขาหน้าบึ้งแล้วพูดว่า “เวลาแบบนี้ ยังมีอารมณ์ไปเดินเล่น?ไม่กลัวว่าจะถูกใครเจอเลยหรอ? หยูฉู่สองกำลังตามหาตัวพวกเธอทั้งโลกเลยนะ”
ถึงแม้ว่าจะพูดถูก แต่พอฟังดีๆ ก็ยังหึงอยู่
เย้นหว่านแทบจะชินกับการกลับตาลปัตรของป่ายฉีแล้ว
เธอมองเขาแล้วพูดว่า “นายรอพวกฉันอยู่ที่นี่ เพราะมีเรื่องอะไรใช่ไหม?”
ป่ายฉีไม่มีทางมารอพวกเขาเพื่อให้ตัวเองหึงโดยไม่มีเหตุผลหรอก