วุ่นวายและจิตตกมาทั้งวัน ในที่สุดก็สงบสุขในค่ำคืนสักที
หลังจากที่เย้นหว่านจัดการบาดแผลให้แรบบิทเสร็จแล้ว ถึงให้ฉินชิวหลานพาแรบบิทเข้านอน เย้นหว่านก็เฝ้าโห้หลีเฉินอยู่ข้างเตียง
มองดูเขาที่นอนหลับตาพริ้ม นิ้วมือเธอก็ลูบไล้เบาๆ เหมือนต้องสัมผัสจริงๆ เธอถึงจะแน่ใจได้ว่า เขาอยู่ข้างตัวเองแล้วจริงๆ
และกลับมาโดยปลอดภัย
นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับโห้หลีเฉินเมื่อตอนบ่าย เธอก็รู้สึกกลัวและไม่สบายใจอย่างมาก อาจเป็นเพราะจากกันหนึ่งปี ทำให้ปมในใจเธอหนักขึ้นกว่าเดิม
ดังนั้นขอแค่เขาเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย เธอก็กลัวจนแทบคลั่งได้แล้ว
ชีวิตหลังจากนี้ เธออาจจะต้องจับตาดูโห้หลีเฉินไม่ให้คลาดสายตา จับมือเขาไว้ กอดเขาไว้ เธอถึงจะสบายใจได้
ค่ำคืนในหมู่บ้านไม่ได้เงียบมาก
นอกหน้าต่างมีเสียงของพวกแมลงตัวเล็ก ก็เหมือนกับเพลงกล่อมนอนอันไพเราะภายใต้ความมืดมิด
เย้นหว่านฟุ่บนอนอยู่ข้างเตียง เธอจับมือโห้หลีเฉินไว้แน่น แล้วหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
วันที่สอง
ตอนที่เย้นหว่านลืมตาขึ้นมา ฟ้าก็สว่างแล้ว แสงแดดสาดส่องเข้ามาจากหน้าต่าง ดูแสบตามากทีเดียว
ในตอนที่เย้นหว่านลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอคิดได้คือไม่รู้ว่าตัวเองมานอนอยู่บนเตียงได้ยังไง อย่างที่สองคือบนเตียงว่างเปล่า ไม่มีคนนอนอยู่ด้วย ขนาดหมอนยังเย็นเฉียบเลย
โห้หลีเฉินล่ะ?
ทันใดนั้นเองเธอก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา เหมือนกับมีเชือกมาบีบรัดหัวใจไว้ ความรู้สึกหวาดกลัวพุ่งขึ้นมาเต็มหัวใจ
เธอกลัวมากจริงๆ หรือเมื่อคืนมันเป็นแค่ฝันเหรอ? หรือเธอไล่ตามโห้หลีเฉินไปไม่ทันจริงๆ!
เย้นหว่านเหงื่อแตก แล้วรีบวิ่งออกไปด้านนอก
เธอวิ่งไปด้วยและตะโกนไปด้วยว่า “โห้หลีเฉิน โห้หลีเฉิน……”
“ฉันอยู่นี่”
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้นมาจากลานบ้าน โห้หลีเฉินนั่งอาบแดดอยู่ท่ามกลางแสงแดด
ข้างๆเขามีเก้าอี้เล็กๆวางอยู่ และแองเจล่าก็นั่งอยู่ตรงนั้น มือเธอกำลังหั่นผลไม้อยู่พอดี
ในมือโห้หลีเฉินถือจานไว้ เขามองเย้นหว่านแล้วยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน
“ทำไมรีบร้อนขนาดนี้ล่ะ ฉันไม่หายไปไหนสักหน่อย เดินช้าหน่อยเดี๋ยวก็หกล้มหรอก”
เย้นหว่านเห็นเขาแล้ว ใจที่ร้อนรนก็สงบลงไปได้ เมื่อคืนไม่ใช่ความฝัน มันคือความจริง
เขาถูกช่วยกลับมาแล้วจริงๆ แล้วก็อยู่กับเธอตลอดทั้งคืนด้วย
แต่ว่า พอเห็นโห้หลีเฉินกับแองเจล่านั่งอยู่ด้วยกัน ทำท่าเหมือนกำลังทำอะไรด้วยกันอีก เย้นหว่านกลับรู้สึกตงิดใจแปลกๆ
ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอหลับอยู่ ทั้งสองคนทำอะไรกันบ้างนะ?
แองเจล่าเห็นเย้นหว่านมา ก็ยิ้มและยกแอปเปิลในมือขึ้นมา
“เสี่ยวหว่าน คุณโห้บอกว่าเธอชอบกินแอปเปิล แล้วยังต้องหั่นเป็นชิ้นเล็กๆด้วย ฉันหั่นแบบนี้ เธอชอบไหม?”
เขียงเล็กๆตรงหน้าเธอ มีผลไม้ที่หั่นเสร็จแล้ววางอยู่
ที่แท้เธอก็หั่นผลไม้อยู่นี่เอง รายละเอียดยิบย่อยแบบนี้ คงมีแต่โห้หลีเฉินที่ยังจำได้
ความรู้สึกตงิดใจของเย้นหว่านได้หายไปทันที เธอเดินไปข้างๆโห้หลีเฉิน เอาจานในมือเขาออกมา
“เพราะชิ้นเล็กกินสะดวกมากกว่า ไม่ต้องตั้งใจหั่นให้เป็นรูปร่างหรอก ผลไม้เยอะเลย คงพอแล้วล่ะ ฉันจัดเรียงเองนะ”
เย้นหว่านโน้มตัวลง เอาแอปเปิลและผลไม้อื่นๆจัดเรียงลงบนจาน
ต่อมา เธอก็มองโห้หลีเฉินแล้วยิ้มพูดว่า “แอปเปิลไว้นานแล้วจะกลายเป็นสีเหลืองมันจะไม่สวย ของแบบนี้ต้องหั่นแล้วกินเลยถึงจะอร่อย นายรู้ได้ยังไงว่าฉันจะตื่นตอนนี้?”
โห้หลีเฉินยิ้มอ่อนๆ “เธอดูสิ ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นถึงไหนแล้ว”
เย้นหว่านเงยหน้าขึ้น มองพระอาทิตย์ รู้สึกแสงเจิดจ้ามากจนแสบตา ทำให้เธอต้องรีบก้มหน้าลงอย่างไหว
เธอพูดเศร้าๆว่า: “ถึงกลางหัวแล้วเหรอเนี่ย กลางวันแล้ว”
พูดจบ เย้นหว่านก็เหมือนนึกอะไรได้
ถ้านอนถึงตอนเที่ยงเธอยังไม่ตื่นอีก ก็ต้องมีคนมาเรียกเธอกินอาหารกลางวัน ดังนั้นผลไม้นี้ หั่นเวลานี้ก็พอดีเลย
เย้นหว่านรู้สึกอบอุ่นใจมาก เธอวางจานไว้ที่มือโห้หลีเฉิน ให้เขาถือเอาไว้
เธอเข็นโห้หลีเฉินเข้าไปในห้อง “ตอนนี้นายรู้สึกยังไงแล้วบ้าง? ยังปวดหัวอยู่ไหม หรือมีตรงไหนที่ไม่สบายบ้าง?”
หลังจากที่ได้รับยาสลบรุนแรงแล้ว แถมยังสลบไปนานด้วย สมองอาจจะได้รับผลกระทบ หรืออาจจะปวดหัวก็ได้
โห้หลีเฉินตอบไปตามตรง “ตอนที่เพิ่งตื่นก็รู้สึกเวียนหัวนะ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
งั้นก็ดี
เย้นหว่านหันหน้าไปมองแองเจล่าที่ตามมาด้วย “เธอล่ะ?”
“ฉัน……”
แองเจล่ามีสีหน้าลังเล เธอครุ่นคิดสักพักแล้วพูดเสียงเบาว่า: “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ฉันรู้สึกเวียนหัวอยู่ตลอดเลย เหมือนมีของอะไรอยู่ในสมอง อาจเป็นเพราะฉันไม่ค่อยแข็งแรงน่ะ คงยังมีฤทธิ์ยาตกค้างเลยทำให้เป็นแบบนี้ เดี๋ยวสักพักก็คงจะดีขึ้นแล้วล่ะ”
“ในเมื่อไม่สบาย ก็ไปหาป่ายฉีสิ”
โห้หลีเฉินพูดเสียงทุ้มต่ำ
คำพูดเรียบง่าย แต่พอเขาพูดออกมา เย้นหว่านกับเธอกลับอึ้งไปชั่วขณะ
โห้หลีเฉินเป็นคนเย็นชาทั้งภายนอกและภายใน นอกจากเย้นหว่านแล้ว ใครจะตายยังไงต่อหน้าเขา เขาก็ไม่มองเลยด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเป็นห่วงเลย
แต่เมื่อกี้ เขาเป็นห่วงแองเจล่าเหรอ?
แล้วยังให้แองเจล่าไปหาป่ายฉีอีก
โห้หลีเฉินขมวดคิ้ว แล้วอธิบายเสียงแข็งว่า “เธอกับน้าเมย์ปลอดภัย พวกเราถึงจะออกจากที่นี่ได้โดยเร็ว”
นี่คือเหตุผลเหรอ
เย้นหว่านมองโห้หลีเฉินด้วยแววตาเปล่งประกาย ต่อมา เธอก็ยิ้มแล้วพูดกับแองเจล่าว่า:
“เธอไปหาป่ายฉีเถอะ แม้ตอนนี้จะไม่มีปัญหาใหญ่อะไร แต่ก็ทำให้อาการเวียนหัวเธอคลายลงไปบ้าง”
แองเจล่ารู้สึกลำบากใจ “แต่ป่ายฉีเขา เขาบาดเจ็บอยู่ อาจจะไม่สะดวกเท่าไหร่?”
“ป่ายฉีบาดเจ็บเหรอ?”
เย้นหว่านพูดขึ้นอย่างตกใจ ทำไมเธอถึงไม่รู้กันนะ?
แองเจล่าพูดขึ้นอย่างสงสัย “เธอยังไม่รู้เหรอ? เมื่อวานป่ายฉีบาดเจ็บหนักมาก บาดแผลที่แขนเขาเหวอะหวะจนเห็นกระดูกแล้ว เกือบต้องตัดทิ้งแล้วด้วย”
เย้นหว่านตัวเย็นวาบ ในใจเหมือนมีน้ำแข็งยัดอยู่ในนั้น
เมื่อวาน!
เมื่อวานป่ายฉีก็บาดเจ็บหนักแล้ว เธอกลับไม่รู้อะไรเลย
หลังจากกลับมาแล้ว ในสายตาก็มีแค่โห้หลีเฉินกับแรบบิท เธอไม่มีเวลาไปสนใจป่ายฉีเลยด้วยซ้ำ
“ตอนนี้เขาอยู่ไหน?”
เย้นหว่านรีบถาม
เพราะเธอเห็นห้องที่ป่ายฉีอยู่ ประตูห้องเปิดไว้แต่ข้างในไม่มีใครเลย
แองเจล่าตอบว่า: “เหมือนว่าจะไปคลินิกในหมู่บ้านนะ ยาที่เขาเอามาด้วยไม่พอ คนอื่นก็ไม่รู้จักยา เขาเลยต้องไปเอาเอง ไปได้สักพักแล้วล่ะ”
เย้นหว่านอยากจะไปหาป่ายฉีโดยเร็ว
แต่พอเงยหน้ามองไปที่นอกถนนลานบ้าน เป็นถนนที่มีโคลนแล้วยังเป็นหลุมอีก รถเข็นของโห้หลีเฉินผ่านไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
ถ้าจะเข็นออกไป ก็คงลำบากน่าดู
เย้นหว่านลังเล
โห้หลีเฉินรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร ก็เลยตบหลังมือเธอเบาๆ
“เธอให้เว่ยชีพาเธอไปนะ ฉันรอเธออยู่ที่นี่ก็ได้ ตอนนี้แสงแดดกำลังอบอุ่นเลย ได้อาบแดดสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
โห้หลีเฉินเพิ่งพูดจบ แองเจล่าก็รีบพูดทันที
“เสี่ยวหว่าน เธอไปเถอะ ทิ้งคุณโห้ไว้ที่นี่แหละ มีเรื่องอะไรฉันจะคอยช่วยเอง ไม่ต้องห่วงนะ”
เย้นหว่าน: “……” มีแองเจล่าอยู่เธอยิ่งไม่ไว้ใจไหม?