เย้นหว่านตื่นเต้นร้อนรน จนเหงื่อไหลพราก
โห้หลีเฉินหรี่ตาลง ฝ่ามือใหญ่ลูบไปที่ผมของเย้นหว่านเบาๆ ความอบอุ่นที่ส่งมานั้นมีพลังความสบายใจแผ่ซ่านออกมา
“ไม่ต้องตื่นเต้นไปนะ เว่ยชีจะต้องจัดการเรียบร้อยแน่”
พอเขาพูดจบ ตอนนี้เอง รถของเว่ยชีก็ขับไล่มากะทันหัน ชนรถสองคันนั้นออกไปอย่างแรง ทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนเส้นทางไป
น้าเมย์ก็มีไหวพริบเร็ว เธอใช้โอกาสนี้ รีบเร่งเครื่องขับออกไปอย่างรวดเร็ว
ตัวรถสั่นคลอนอย่างไม่มั่นคง
เย้นหว่านมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างกังวล “เว่ยชีจะเป็นอะไรไหม?”
“เขาจัดการได้”
โห้หลีเฉินมั่นใจเรื่องนี้ดี
น้าเมย์ขับรถได้ดีมาก ไม่นานก็สลัดคนด้านหลังทิ้งได้แล้ว และในที่สุดรถก็นิ่งสักที
เย้นหว่านมองดูเวลา การนวดหนึ่งชั่วโมงจบลงสักที
เธอปล่อยมือออก ในขณะเดียวกันก็ถอนหายใจออกมายาวๆ
ตลอดทางเธอกังวลว่าจะเกิดอุบัติเหตุมากที่สุด ทำให้ต้องหยุดการนวดไป นั่นอาจจะทำให้โห้หลีเฉินบาดเจ็บไปตลอดชีวิตก็ได้
โห้หลีเฉินรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร จึงพูดปลอบใจเธอว่า:
“ไม่ต้องกังวลหรอก ฉันรู้สึกว่าขาของฉันดีขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวก็คงจะเดินได้แล้ว แม้จะผิดพลาดเล็กน้อยก็ไม่เป็นไรหรอก
เดี๋ยวถึงที่นัดหมาย พวกเรานั่งเครื่องบินกลับกัน พอไปถึงบ้านตระกูลเย้น พวกเราจะปลอดภัยเอง”
กลับถึงบ้านตระกูลเย้น ตอนนี้พ่อแม่และพี่ชายของเธอต่างก็อยู่ที่นั่น จะต้องปลอดภัยแน่นอน
เย้นหว่านมองออกไปยังนอกหน้าต่างอย่างกังวล “ไม่รู้ว่าป่ายฉีกับเว่ยชีจะมาทันเวลาหรือเปล่า หวังว่าพวกเขาจะไม่เป็นไรนะ”
แต่ทว่า เธอกลับไม่คิดว่า ตอนนี้คนที่ควรจะกังวลมากที่สุดไม่ใช่ป่ายฉีกับเว่ยชี แต่เป็นตัวเธอเองต่างหาก
เสียง “ปัง” ดังขึ้น ประตูด้านซ้ายถูกของอย่างหนึ่งชนเข้ากะทันหัน ทำให้ประตูรถยุบเข้าไปเป็นวงใหญ่
ตัวรถก็ถูกชนจนไม่สามารถควบคุมได้ จนเกือบจะชนต้นไม้ข้างๆ
เย้นหว่านตื่นเต้นขึ้นมา เธอมองอย่างตกใจ สองข้างมีรถมอเตอร์ไซค์ขนาบข้างอยู่
บนรถมอเตอร์ไซค์นั่งอยู่สองคน คนที่นั่งซ้อนกำลังใช้เครื่องมือทำลายประตูรถอย่างรวดเร็ว
เสียงดัง “ปัง” อีกครั้ง ประตูรถด้านขวาถูกเปิดออก
ลมเย็นพัดเข้ามาด้านในอย่างเร็ว
คนชุดดำกระโดดเข้ามา
“ระวังนะ!”
น้าเมย์ควบคุมพวงมาลัยอย่างลำบาก แล้วก็ตะโกนเสียงดังอย่างตกใจ
แองเจล่าตกใจจนกรีดร้อง แล้วรีบเข้าไปหลบอย่างร้อนรน
เย้นหว่านก็กลัวเหมือนกัน กลัวจนขาสองข้างสั่นพั่บๆ พอเห็นแววตาเย็นชาของคนชุดดำ ก็เหมือนกับวินาทีต่อมาต้องตกนรกก็ไม่ปาน
แต่เธอกลับรีบพุ่งเข้าไปข้างหน้า บังโห้หลีเฉินกับแรบบิทไว้
เธอชักไม้ไฟฟ้าที่พกไว้ตลอดเวลา ทุบไปที่คนชุดดำแรงๆ
“เย้นหว่าน!”
โห้หลีเฉินอยากจะห้ามเธอก็ไม่ทันแล้ว พอเขายื่นมืออยากคว้ามือเธอไว้ แต่มือเธอพุ่งออกเร็วเกินไป
เห็นแต่เย้นหว่านทุบไปที่คนชุดดำ ก็ถูกคนชุดดำจับไม้ไฟฟ้านั้นไว้ด้วยมือที่สวมถุงมือเอาไว้ จากนั้นก็ดึงเธอเข้าไปอย่างแรง
พละกำลังนั้น เย้นหว่านไม่อาจที่จะต่อกรกับเขาได้
พริบตาเดียว ทุกอย่างรอบตัวก็หมุนติ้วไปหมด เธอถูกคนชุดดำผลักตกรถไป
รถที่กำลังขับด้วยความเร็วสูง เย้นหว่านกระแทกลงพื้นอย่างแรง และกลิ้งอยู่นานมากก็ไม่หยุดสักที
โห้หลีเฉินมองค้อนจนลูกตาแทบจะถลนออกมา เห็นได้ชัดว่าเขากำลังโกรธมาก
“เย้นหว่าน!”
เขารีบพยุงตัวเองลุกขึ้นมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้เอง กลิ่นหอมหนึ่งกระจายอยู่ทั่วรถ
กลิ่นหอมขึ้นจมูก แรงทั้งหมดของโห้หลีเฉินหายไปทันที เริ่มมีอาการเวียนหัว
เป็นยาสลบรุนแรง!
เขาหวาดกลัวอย่างมาก รู้ทั้งรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้จะสลบไม่ได้ แต่ฤทธิ์ของยารุนแรงมาก เขาไม่สามารถควบคุมสติของตัวเองได้เลยสักนิด
ในขณะเดียวกัน ขนาดน้าเมย์ที่กำลังขับรถก็สะลึมสะลือจนเริ่มควบคุมพวงมาลัยไม่ได้
คนขับรถไหวพริบเร็ว รีบเข้าไปควบคุมพวงมาลัย และผลักน้าเมย์ออกไปนั่งที่ข้างๆคนขับ แล้วขับรถต่อไป
เสียง “ผลัก” ดังขึ้น แรบบิทที่ดมยาสลบเข้าไปก็ถูกคนดึงออกไปจากรถอย่างกับขยะ
ร่างเล็กของเธอกลิ้งตกออกไปอยู่หลายรอบ ทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผล
แล้วรถคันนั้นก็ขับหายไปจากถนน
เย้นหว่านกลิ้งตกลงไปจนเนื้อหนังถลอก เนื้อตัวปวดเมื่อยจนเวียนหัวหน้ามืด แทบจะสลบแล้ว
แต่เธอกลับใช้เล็บหยิกเข้าที่เนื้อตัวเองแรงๆ พยายามทำให้ตัวเองตั้งสติไว้ให้ได้มากที่สุด
นานมากกว่าเธอจะฝืนตั้งสติได้
ร่างกายเธอบอบช้ำไปหมด ทำให้เธอเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว ไม่รู้ว่ากระดูกตามร่างกายหักไปแล้วกี่ท่อน
มันเจ็บ เจ็บมากจริงๆ
หน้าผากเธอมีเหงื่อไหลพราก แต่กลับไม่สนใจบาดแผลตัวเอง เธอลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก แล้ววิ่งโซเซไปข้างหน้า
เลือดไหลเข้าดวงตาของเธอทำให้สายตาเธอเลือนรางไปอีก แต่ข้างหน้าไม่ถึงสิบเมตร มีร่างเล็กๆอยู่ตรงนั้น เธอกลับเห็นมันได้อย่างชัดเจนเลยล่ะ
นั่นคือแรบบิท
แก้วตาดวงตาของเธอ ยังเด็กและอ่อนแออยู่เลย ก็ถูกคนพวกนั้นโยนลงรถอย่างโหดร้ายเสียแล้ว!
เย้นหว่านขอบตาแดงก่ำ เธอเดินเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
พอเดินไปถึงตรงนั้น เลือดสีแดงก็กระจายอยู่เต็มพื้น เป็นภาพที่น่าตกใจอย่างมาก
เหมือนเดินไปแล้วครึ่งศตวรรษ ในที่สุดเย้นหว่านก็เดินไปถึงตรงหน้าแรบบิทสักที สองมือเธอสั่นเทา
“แรบบิท แรบบิท”
เธอกอดร่างน้อยๆนั้นขึ้นมาจากพื้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอน ตัวของเด็กน้อยเต็มไปด้วยเลือด และกำลังอยู่ในอาการไม่ได้สติ
บาดเจ็บสาหัสเลยก็ว่าได้
“เด็กน้อยที่น่าสงสารของแม่ แม่ปกป้องหนูไม่ได้ แม่ผิดเอง”
เย้นหว่านกอดลูกตัวเองแล้วร้องไห้โฮ หัวใจเธอบีบรัดแทบจะขาดอากาศหายใจ เหมือนมีใครเอามีดมากรีดหัวใจของเธอ
แต่เธอรู้ดีว่า ตอนนี้เธอไม่มีสิทธิ์และไม่มีเวลามาร้องไห้ด้วย
เธอมองไปทางถนนตรงหน้าที่ว่างเปล่า พยายามข่มความหวาดกลัวในใจเอาไว้ ยังไม่รู้สถานการณ์ของโห้หลีเฉินเลย เธอจะต้องตั้งสติให้ได้ ใช้ของที่เอาติดตัวมาด้วยรีบจัดการห้ามเลือดและทำแผลให้แรบบิท
แต่ของที่เธอเอามาน้อยเกินไป เลยพอปิดแผลของแรบบิทได้แค่บางส่วน แต่ผลการหยุดเลือดก็แย่มากอยู่ดี แผลของแรบบิทยังมีเลือดซึมออกมาไม่หยุด
เย้นหว่านร้อนรนใจมาก เธอไม่สนใจบาดแผลของตัวเอง แล้วอุ้มแรบบิทขึ้นมา เดินโซเซไปด้านหน้าต่อ
ถนนนี้ร้างมาก ไม่มีรถขับผ่านมาเลยสักคันเดียว เธอจะต้องตามหาคนมาช่วยให้เร็ว
เธอจะต้องติดต่อกับพวกป่ายฉี
ยังดีที่แม้ตรงนี้สัญญาณจะไม่ดี แต่เดินไปสักพัก ก็ยังหาสัญญาณได้หนึ่งขีด
เย้นหว่านรีบโทรศัพท์หาป่ายฉีแต่ไม่มีคนรับเลย เธอจึงต้องส่งข้อความขอความช่วยเหลือและที่อยู่ตัวเองไป
ต่อมา เธอก็อุ้มแรบบิทเดินไปข้างหน้าต่อ
เธอไม่ได้สังเกตเลยว่า ตอนนี้บาดแผลบนตัวเธอก็มีเลือดซึมออกมาเหมือนกัน
เลือดหยด ‘ติ้งๆ’ ลงพื้น
ตามรถของโห้หลีเฉินไป แค่เหยียบคันเร่งเร็วหน่อยก็ถึงแล้ว แต่เธอกลับต้องเดินเป็นชาติ
ไกลมาก ลำบากมากจริงๆ
เย้นหว่านฝืนเดินต่อไป ไม่รู้ว่าเดินไปนานเท่าไหร่แล้ว ในที่สุดก่อนที่จะหมดแรง เธอก็เดินไปตรงถนนทางเลี้ยว
ด้านหน้ามีถนนสองเส้น
แต่ทว่า ถนนสองเส้นนั้นกลับเงียบมาก ไม่มีรถผ่านมาเลยสักคันเดียว และไม่มีวี่แววของคนตกลงรถเลย ไม่มีอะไรเลย
มีเพียงถนนที่ไกลจนไม่เห็นปลายทาง
กับความสิ้นหวังที่กดดันคนจนตายได้
เย้นหว่านฝืนลมหายใจสุดท้ายไว้ ในตอนที่เห็นภาพนั้น ทันใดนั้นเธอก็เดินไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
เธอคุกเข่าลงไปบนพื้นเสียงดัง “ตึก” ในอ้อมแขนก็กอดแรบบิทไว้แน่น จากนั้นก็สลบทันที
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ในตอนที่เย้นหว่านลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากจะรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว ก็มีแสงแดดที่สาดส่องมาจนแสบผิวไปหมด ยังมีเสียงแตรรถที่เสียงดังจนแสบแก้วหู
เธอหันไปมองตามต้นเสียงนั้น ก็เห็นรถของป่ายฉี รถของเขาถูกชนจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม กะบังรถถูกชนจนเว้าเข้าไป หลังคารถกับประตูรถก็หายไปแล้ว ตอนนี้รถคันนั้นเหมือนกับรถเปิดประทุนเสียมากกว่า
และดูเหมือนจะเสียได้ทุกครั้ง
ป่ายฉีก็ดูโทรมมาก เขานั่งอยู่ที่นั่งคนขับแล้วขับมาทางนี้อย่างรวดเร็ว