เย้นหว่านครุ่นคิดสักพัก แล้วตัดสินใจว่า:
“โห้หลีเฉินก็ให้เว่ยชีคอยดูแลแล้วกัน เธอไปกับฉันเถอะ จะได้ให้ป่ายฉีรักษาเธอด้วยเลย”
แองเจล่าอึ้งเล็กน้อย อยากจะตอบปฏิเสธ
“คงไม่ดีหรอกมั้ง ตอนนี้ป่ายฉียังบาดเจ็บอยู่เลย ฉันไม่รบกวนเขาดีกว่า ฉันอยู่บ้านนี่แหละดีแล้ว รอเขากลับมาก็ไม่สายนี่”
เหตุผลนี้ดูจะไม่มีแรงโน้มน้าวเลย
อย่างน้อยเย้นหว่านก็ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะพาแองเจล่าไปด้วย
เธอจึงคว้ามือของแองเจล่าไว้ แล้วลากออกไป “ก็ถือว่าไปเป็นเพื่อนฉันแล้วกัน ไปกันเถอะ”
แองเจล่าทำสีหน้าสลด มองโห้หลีเฉินโดยไม่ละสายตา
กำลังจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
โห้หลีเฉินเห็นแววตาของเธอ ก็เม้มปากและเบือนหน้าไปทางอื่น แล้วเขาก็พูดกำชับเย้นหว่านว่า:
“เดินทางปลอดภัยนะ อย่ารีบร้อนเกินไป ระวังตัวด้วย”
“ได้เลย รอพวกเรากลับมานะ”
เย้นหว่านกังวลอาการบาดเจ็บของป่ายฉี เธอลากแองเจล่าแล้วรีบออกจากที่นี่อย่างไหว
แองเจล่าถูกบังคับให้เธอข้างเธอ
เธอพูดล้อเล่นและหยอกล้อว่า: “เสี่ยวหว่าน เธอลากฉันออกมา เพราะไม่ไว้ใจฉันอยู่กับคุณโห้สองต่อสองน่ะสิ?”
ไม่ไว้ใจน่ะสิ ถามมาได้
ก่อนหน้านี้แองเจล่าหาโอกาสมาอยู่ตรงหน้าโห้หลีเฉินตลอด ข้ามขอบเขตของการเป็นแฟนคลับแล้วล่ะ แม้จะไม่มีหลักฐานโดยตรง แต่ลางสังหรณ์ของผู้หญิง บอกกับเย้นหว่านว่าต้องระวังผู้หญิงคนนี้ให้ดี
ตอนนี้โห้หลีเฉินไม่สามารถเดินได้ด้วยตัวเอง จะปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้อยู่กับโห้หลีเฉินสองต่อสองไม่ได้เด็ดขาด
แองเจล่าเห็นเย้นหว่านไม่พูด ก็พูดหยอกล้อต่อ แต่น้ำเสียงดูคมคายขึ้นมาไม่น้อย
“เสี่ยวหว่าน เธอจะคิดมากทำไมกัน ฉันกับคุณโห้ไม่ได้มีอะไรกันสักหน่อย เธอยังมีอะไรให้ต้องคิดมากกัน หรือว่าเธอไม่มั่นใจงั้นเหรอ?”
ได้ยินแบบนี้แล้ว ทันใดนั้นเย้นหว่านก็หยุดเดิน
ตอนแรกเธอยังจับข้อมือแองเจล่าไว้ แองเจล่าก็ถูกดึงไปด้านหลังสองก้าว
เธอหันกลับไปก็เห็นเย้นหว่านกำลังมองตัวเองด้วยสีหน้าที่จริงจังอยู่
เย้นหว่านก็พูดว่า: “ฉันไม่ได้ไม่มั่นใจหรอก ฉันเชื่อใจโห้หลีเฉินมาก แต่ฉันมันคนใจแคบ ไม่ชอบให้ผู้หญิงอื่นเข้าใกล้เขามากเกินไป ดังนั้นไม่ว่าจะไม่มีความคิดอะไรเลยก็ตาม ก็ควรรักษาระยะห่างกันไว้จะดีกว่า”
เธอยอมรับว่าตัวเองใจแคบ ทำเอาแองเจล่าพูดไม่ออกเลย
เธอยักไหล่ แล้วพูดอย่างไม่สนใจว่า:
“วางใจเถอะ ฉันรู้ว่าควรวางตัวยังไง”
ทันใดนั้นแองเจล่าก็พูดเพราะขึ้นมาทันที กลับทำให้เย้นหว่านรู้สึกว่าตัวเองขี้เหนียวเกินไปหรือเปล่า และอ่อนไหวเกินไปด้วย
เธอกำลังวุ่นวายใจอยู่ เลยเม้มปากไม่พูดอะไรอีก แล้วก้าวเท้าเดินไปทางคลินิกอย่างเร็ว
หมู่บ้านไม่ใหญ่มาก เดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงคลินิกแล้ว
ภายในคลินิกพัฒนามาจากบ้านของชาวบ้าน มีทั้งลานบ้านและมีห้องรับแขก ตอนนี้เอง หมอที่สวมชุดกาวน์สีขาวกำลังยืนอยู่หน้าประตู เดินไปมาตรงหน้าประตูอย่างนั้น แล้วถูมือตัวเองด้วยสีหน้าที่ร้อนรน
ดูแล้วเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรเลย
พอนึกถึงเรื่องป่ายฉี เย้นหว่านก็กังวลขึ้นมาทันที เธอรีบเดินไปหาหมอ
ดึงเขาแล้ว แล้วรีบถามว่า “หมอคะ มีผู้ชายตัวสูงๆหล่อๆมาใช่ไหมคะ? เขาชื่อป่ายฉีใช่ไหม เขาเป็นยังไงแล้วบ้าง ตอนนี้อยู่ไหน เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
หมอตะลึงกับคำถามที่มาเป็นชุดๆแบบนี้
พอได้สติ ก็พูดประเด็นสำคัญว่า “แม่หนูรู้จักป่ายฉีเหรอ?”
“ใช่ เขาเป็นอะไรหรือเปล่า?”
หมอเหมือนจะเห็นตัวช่วย เขารีบจับมือเย้นหว่านแล้วเดินเข้าไปข้างใน เขาเดินไปด้วยพูดไปด้วย
“ป่ายฉีบุกเข้ามากะทันหัน แล้วอยู่ในห้องยาของฉันไม่ไปไหน เธอคิดดูสิ ห้องยาของฉันจะให้คนอื่นเข้าไปง่ายๆได้ยังไง แต่เขาโหดมากเลย สีหน้าเขาเย็นชาจนจะฆ่าคนได้เลยล่ะ
ฉันเป็นชาวบ้านธรรมดา จะกล้าหาเรื่องเขาได้ยังไง อีกอย่างยังให้บัตรฉันมาอีก บอกว่าในนั้นมีเงิน ให้ฉันไปเอาเอง ฉันไม่ได้ออกจากหมู่บ้านหลายปี ที่นี่ก็ไม่มีตู้เอทีเอ็มด้วย ไม่มีทางเอาเงินออกมาได้หรอก เอาบัตรนี้มาให้ฉันก็เหมือนกับขยะดีๆนั่นแหละ
แม่หนู ถ้าเธอรู้จักเขา ก็รีบพาเขาไปที อย่ามาทำลายห้องยาฉันเลยนะ”
หมอพูดด้วยน้ำตา แล้วพาเย้นหว่านเข้าไปด้านใน แต่ก็ไม่ได้เดินเข้าไปต่อ
ดูแล้วก่อนหน้านี้คงถูกป่ายฉีขู่จนกลัวมากเลยสินะ
เย้นหว่านพูดไม่ออกและอยากหัวเราะจริงๆ ที่นี่เป็นหมู่บ้านห่างไกลความเจริญ แม้จะมีไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตแล้ว แต่การใช้จ่ายก็ล้าสมัยกว่ามาก ที่ใช้บ่อยๆก็เป็นเงินสดมากกว่า
เงินก้อนใหญ่ของป่ายฉี ไม่มีประโยชน์ที่นี่เลย
เย้นหว่านเลยต้องปลอบใจหมอก่อน แล้วค่อยเดินไปในห้องรักษา
เธอเพิ่งเดินเข้าไป พอเห็นสถานการณ์ด้านในห้อง ก็ตกใจจนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ สีหน้าซีดขาวจนไร้สีเลือด
เธอเห็นป่ายฉีเหงื่อแตก ปากก็กำลังกัดแผ่นเหล็กไว้แน่น เขาพยายามอดทนกับความเจ็บปวดไว้ มือซ้ายก็ถือเข็มแล้วฉีดไปที่มือขวาของตัวเอง
และบนมือขวาของเขานั้น ตอนนี้กำลังมีบาดแผลเหวอะหวะอยู่ เมื่อกี้จัดการแล้ว ก็ยังคงมีเลือดไหลอยู่เต็มไปด้วย กระดูกบนข้อมือของเขาแทบจะออกมาแล้ว
เย้นหว่านขอบตาแดงก่ำ เธอปิดปากไว้ แต่ก็อดไม่ได้สะอื้นออกมาอยู่ดี
ป่ายฉีที่ยังอยู่ในความเจ็บปวด ก็ถึงเห็นคนที่ยืนหน้าประตู เขาเห็นเย้นหว่านน้ำตาไหลอาบแก้ม ดูท่าจะตกใจมาก เขาก็เลยรีบโยนเข็มทิ้งไป แล้วก็จะดึงแขนเสื้อลงบนปิดแผลตัวเองไว้
เมื่อวานเขาก็ทำแบบนี้ ซ่อนแผลไว้มิดชิดแล้วทำตัวปกติ ให้เธอคิดว่า เขาต่อสู้กับคนชุดดำสองคนนั้นอย่างสบายๆ และไม่บาดเจ็บเลยด้วยซ้ำ
เย้นหว่านรีบวิ่งเข้าไป แล้วรีบจับข้อมือที่เขาจะดึงเสื้อลงมาปิด
เธอร้องไห้แล้วสะอื้นพูดว่า “ฉันเห็นหมดแล้ว นายยังจะซ่อนอะไรอีก”
“แผลแค่นี้เอง เธอร้องไห้ทำไมกัน น่าขายหน้าจริงๆเลย”
ป่ายฉีพูดเสียงแข็ง ดูอึดอัดมากกว่าเดิมอีก
เห็นเย้นหว่านร้องไห้เพื่อเขา ในใจเขาก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมา
น้ำตาของเย้นหว่านไหลพรากเยอะขึ้นกว่าเดิม “นี่ไม่เล็กเลยนะ ถึงขั้นเห็นกระดูกแล้ว! นายอยากถูกคนตัดแขนทิ้ง ถึงจะเรียกว่าแผลเหรอ”
“อีกอย่าง นายดูนายตอนนี้สิ รักษาไม่ดีจนเน่าหมดแล้ว นายเป็นหมอเทพไม่ใช่หรือไง? คนใกล้ตายแล้วนายก็ยังช่วยได้ ทำไมพอถึงตัวนาย แผลแค่นี้ก็รักษาไม่ได้กัน”
ป่ายฉีโดนด่าจนอึ้งไปทันที จากนั้นเขาก็ตอบไปว่า “มีสำนวนหนึ่งที่ว่า หมอรักษาตัวเองไม่ได้”
“รู้ว่าหมอรักษาตัวเองไม่ได้ นายยังจังอมไว้ไม่บอกฉันอีกเหรอ?”
เย้นหว่านยิ่งโกรธเข้าไปอีก และตะคอกเสียงดังมากขึ้น
ป่ายฉีกระตุกมุมปาก เหมือนดอกไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางพายุ ถูกพัดไปมาอย่างน่าสงสาร แล้วล้มลงไปเรื่อยๆ
เย้นหว่านทั้งปวดใจทั้งโกรธ แล้วเช็ดน้ำตาตัวเองอย่างไม่ตั้งใจ
“ฉันจัดการให้นายเอง!”
“ไม่ต้องหรอก แผลแค่นี้เอง ฉันทำเอง……”
“หุบปากน่า ยังไงฉันก็เป็นเหมือนลูกศิษย์ของนายไหม เป็นหมอจริงๆ บาดเจ็บแล้วก็ต้องฟังคำของหมอ นายจะต้องรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนไข้นะ”
ป่ายฉี: “…….” เป็นครั้งแรกที่มีความรู้สึกแบบนี้เลย เขารู้สึกแปลกใจอย่างมาก
อีกอย่างยังรู้สึกสงสัยมากอีกด้วย “ฉันไม่เคยสอนเธอทำแผลเลยนะ เธอทำได้จริงเหรอ?”