บทที่ 14: ผู้หญิงสวยข้างๆฉัน
หวังเฉินกั๋วคุยกับหวังเต็งขณะที่พวกเขากำลังทานอาหารเช้ากัน
ในอดีตเขาจะไม่ฟังพ่อของเขาเลย แต่ตอนนี้เขาตั้งใจฟังและเริ่มไตร่ตรองคำพูดของพ่อแล้ว
“ เขาโตแล้ว…”
หวังเฉินกั๋วรู้สึกพึงพอใจมาก การแสดงออกของหวังเต็งนั้นเปลี่ยนไปเป็นคนละคนในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
เขาเคยได้ยินคนอื่นบอกกับเขาว่า จู่ๆลูกของพวกเขาก็โตเป็นผู้ใหญ่ และเขาก็ทำได้เพียงยิ้มตอบอย่างขมขื่น เพราะเขารู้ดีว่าลูกชายที่ไร้ประโยชน์ของเขาจะไม่สามารถเติบโตได้จนกว่าเขาจะอายุสัก 30 ปี
ในฐานะพ่อของหวังเต็ง ดังนั้นเขาจึงเป็นห่วงหวังเต็งมาก!
ทว่าตอนนี้ หวังเฉินกั๋วก็ไม่ต้องรอจนถึงวันนั้นแล้ว!
สะอื้น~ มันน่าซาบซึ้งมาก ในที่สุดความเข้มงวดและความพยายามของเขาก็เริ่มแสดงผล
หวังเฉินกั๋วกินข้าวต้มเสร็จแล้วก็เช็ดปาก เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต พ่อหวังว่าลูกจะคิดเกี่ยวกับมันเอาไว้บ้าง”
“ ที่พ่อบอกลูกเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันก็ไม่ใช่เพราะพ่อต้องการให้ลูกสอบในปีนี้หรอกนะ”
“ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ผลการเรียนของลูกเองก็แย่มาก นอกจากนี้ลูกยังเพิ่งเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้เมื่อเร็วๆนี้อีก ดังนั้นมันจึงแทบจะไม่มีหวังเลยที่ลูกจะสอบผ่านในปีนี้ ซึ่งเราก็สามารถรอได้ ไม่ว่าจะเป็นปีหน้าหรือปีหน้านู้น”
“ กระทรวงศึกษาธิการมีกฎเกณฑ์ ลูกสามารถลงทะเบียนเรียนหลักสูตรศิลปะการต่อสู้ได้ทุกเมื่อก่อนอายุ 20 ปี ดังนั้นลูกจึงยังมีโอกาสอีกสองครั้งที่จะเรียนซ้ำชั้นมัธยมปลาย”
“ ตราบใดที่ลูกสามารถเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูงได้ก่อนอายุ 20 ปี ลูกก็จะมีโอกาสลงทะเบียนในหลักสูตรศิลปะการต่อสู้ ซึ่งพ่อก็สามารถจ้างติวเตอร์มาเพื่อช่วยฝึกให้ลูกโดยเฉพาะได้ถ้าลูกต้องการ”
เขามองไปที่หวังเต็งหลังจากที่เขาพูดจบด้วยแววตาที่คาดหวัง เขาหวังว่าลูกของเขาจะมีอนาคตที่สดใส!
นี่อาจเป็นความปรารถนาที่พ่อแม่ทุกคนมีต่อลูก นี่อาจเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของความรัก
หวังเต็งค่อยๆวางแท่งแป้งทอดในมือของเขาภายใต้สายตาของหวังเฉินกั๋ว จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและยิ้ม “ พ่อ บางทีเราอาจไม่ต้องรอถึงปีหน้า”
เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มของหวังเต็ง หวังเฉินกั๋วก็รู้สึกดีใจที่ลูกของเขาฟังเรื่องที่เขาพูด
เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “ มันเป็นเรื่องดีที่จะมีความมั่นใจ แต่ได้โปรดอย่ามาให้ความหวังพ่อของลูกเลย เด็กน้อย”
เขาไม่เชื่อว่าหวังเต็งจะสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้ได้
“ เด็กคนนี้เริ่มซนและซนมากขึ้น”
หลี่ซิ่วเหม่ยหยิบเสื้อคลุมบนชั้นวางเสื้อผ้าแล้วส่งต่อให้หวังเฉินกั๋วขณะที่เธอบ่นออกมา
“ วันนี้พ่อไม่ให้คนขับรถขับรถให้ส่งลูกแล้ว ลูกสามารถเลือกได้ ว่าลูกจะขับรถหรือใช้บริการขนส่งสาธารณะ ทั้งหมดนี้มันขึ้นอยู่กับลูกแล้ว” หวังเฉินกั๋วสวมเสื้อคลุมและออกจากบ้าน
หวังเต็งพูดไม่ออก ที่ผ่านมาพ่อของเขากังวลเกี่ยวกับเขามากขนาดไหนกัน? พ่อของเขามักจะสั่งให้ใครสักคนไปรับ-ส่งเขาที่โรงเรียนและพาเขากลับบ้าน เพราะกลัวว่าเขาจะออกไปเล่นข้างนอก
เขาส่ายหัวและบอกลาแม่ของเขา “ แม่ครับ ผมกินเสร็จแล้ว ผมจะไปแล้วนะ”
“ โอเค ไปดีมาดีนะลูก”
…
หวังเต็งขับรถไปถึงโรงเรียนใน 20 นาที เขาหาที่จอดรถและเริ่มเดินไปที่ห้องเรียนของเขา
อืม… ถ้าเขาจำไม่ผิด เขาก็น่าจะอยู่ปีสามห้องแปด
อาคารเรียนปีสาม
นักเรียนส่วนใหญ่ที่นี่ดูเหมือนจะรีบร้อน บรรยากาศที่นี่เองก็ตึงเครียดกว่าอาคารเรียนปีหนึ่งและปีสองมาก
เมื่อเขาไปถึงห้องเรียน นักเรียนหลายคนก็กำลังเรียนอย่างหนัก
นักเรียนส่วนใหญ่ขยับริมฝีปากขณะท่องตำราอย่างเงียบๆ พวกเขาไม่ได้ส่งเสียงใดๆเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนผู้อื่น
การมาถึงของหวังเต็งดูเหมือนจะเด่นชัดมากในห้องเรียนที่เงียบสงบ นักเรียนสองสามคนเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยในสายตาของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
ลูกเศรษฐีคนนี้อาจตื่นเช้าโดยบังเอิญ
นึกว่าจะตื่นพรุ่งนี้เหมือนปกติซะอีก
ความคิดเล็กน้อยเหล่านี้แวบเข้ามาในจิตใจของนักเรียนหลายคนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเขารีบก้มศีรษะลงและกลับไปทำในสิ่งที่พวกเขากำลังทำ
เมื่อหวังเต็งเดินเข้าไปในห้องเรียน ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นทันที
ฟองสบู่ค่าคุณสมบัติ!
ฟองสบู่สองสามฟองดรอปออกมาข้างๆพวกนักเรียนที่กำลังอ่านหนังสือ
เขามองดูนักเรียนหญิงคนหนึ่งท่องตำราของเธออย่างเงียบๆ และมันก็มีฟองสบู่ฟองเล็กๆปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเธอ ขณะที่เธอพูดต่อไป ฟองสบู่ก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้น…
จากนั้นมันก็ตกลงบนพื้นพร้อมกับ ‘ป้าย‘
เธอดูเหมือนปลาทองที่พ่นฟองสบู่ออกมา
หวังเต็งอยู่ในภวังค์ “ นี่ฉันสามารถได้รับฟองสบู่เหล่านี้มาระหว่างเรียนได้ด้วยอย่างงั้นหรอ?”
เขาคิดเสมอว่ามีเพียงศิลปะการต่อสู้เท่านั้นที่ดรอปฟองสบู่ค่าคุณสมบัติออกมา แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ มันก็ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เขาเดินไปอย่างสงบและรวบรวมฟองสบู่ค่าคุณสมบัติ
ภาษา*10
อังกฤษ*155
ชีววิทยา*12
เคมี*15
…
วินาทีต่อมา หวังเต็งก็ยิ้มแก้มปริ วินาทีที่แล้วเขายังกังวลใจเรื่องที่เขาเรียนไม่เก่ง แต่ตอนนี้มันไม่เป็นอย่างงั้นแล้ว
บั๊กของเขาช่างน่าทึ่งจริงๆ!
หลังจากที่เขารวบรวมฟองสบู่ค่าคุณสมบัติต่างๆเรียบร้อยแล้ว ความรู้ที่เกี่ยวข้องก็เริ่มปรากฏขึ้นในใจของเขา
เขารู้สึกราวกับว่าเขาเคยได้เรียนรู้สิ่งต่างๆทั้งหมดเหล่านี้มาก่อน พวกมันได้รวมเข้ากับความทรงจำของเขาและปรากฎออกมา
หวังเต็งนั่งลงข้างๆผู้หญิงที่ดรอปฟองสบู่เมื่อครู่นี้ออกมา
อันที่จริงนี่คือเพื่อนร่วมโต๊ะของหวังเต็ง
ผู้หญิงคนนี้เป็นหัวหน้าห้องของพวกเขา หลินซัวหาน เธอมาจากครอบครัวธรรมดาๆ แต่เธอก็เป็นนักเรียนดาวเด่น และเธอก็เป็นคนที่มีโอกาสสูงมากในการเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ
คนหนึ่งเป็นลูกเศรษฐีที่ร่ำรวยที่โง่บรรลัย ในขณะที่อีกคนหนึ่งก็เป็นพลเรือนทั่วไปที่เป็นนักเรียนดาวเด่นผู้มีอนาคตไกล
ไม่มีทางที่คนสองคนนี้จะนั่งด้วยกันได้ แต่ฟ่านเว่ยหมิง ครูของพวกเขาก็ได้จัดที่นั่งมาให้แบบนี้
เขาอ้างว่าเขาทำอย่างนี้เพื่อให้นักเรียนที่ดีสามารถช่วยสอนเพื่อนร่วมชั้นที่…โง่ได้
ดังนั้น หลินซัวหานนักเรียนที่ดีที่สุดจึงต้องทนสอนหวังเต็งนักเรียนโง่ๆอย่างช่วยไม่ได้
การเคลื่อนไหวที่คาดไม่ถึงของเฒ่าฟ่านนั้นเกือบทำให้นักเรียนทุกคนในชั้นแทบคลั่ง
พวกเขากลัวว่าสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อการเรียนของหลินซัวหาน และทำให้นักเรียนที่แสนดีคนนี้หลงทางไปกับหวังเต็ง
แน่นอนว่าการปรากฏตัวของหลินซัวหานนี้เองที่สร้างความเกลียดชังให้กับหวังเต็ง
นี่เป็นดอกไม้ดอกเล็กๆที่สวยสดและงดงาม แต่เธอกลับดันต้องมานั่งกับลูกเจ้าสัวชาติชั่วอย่างหวังเต็ง
น่าเสียดายที่ไม่มีใครกล้าแสดงความโกรธออกมา
หวังเต็งเป็นลูกเศรษฐีที่ร่ำรวยซึ่งจะได้รับมรดกหลายร้อยล้านในอนาคต ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถทำให้หวังเต็งขุ่นเคือง
อย่างไรก็ตาม ทุกคนในนี้ต่างก็ประหลาดใจกับหวังเต็ง แม้ว่าเขาจะไร้ความสามารถในการศึกษา แต่เขาก็ไม่เคยรบกวนหลินซัวหานแต่อย่างใด
พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกันมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว และผลลัพธ์ของหลินซัวหานก็ยังคงเหมือนเดิม เธอคือที่หนึ่งเสมอ และไม่เคยตกอันดับ
นอกจากนี้ มันก็เป็นเพราะหวังเต็ง นักเรียนชายจำนวนมากจึงไม่กล้าเข้ามารบกวนหลินซัวหาน ซึ่งสิ่งนี้ก็ทำให้เธอมีสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เงียบสงบ
ใครจะไปรู้ว่านี่จะเป็นพรที่ปลอมตัวมา
หวังเต็งมองไปที่หลินซัวหาน และความทรงจำก็ลอยเข้ามาในหัวของเขา
เขาเพิ่งเริ่มต้นปีสามในโรงเรียนมัธยมปลาย
คืนหนึ่ง หวังเฉินกั๋วบอกกับหวังเต็งอย่างภาคภูมิใจว่า “ ลูกเอ๋ย พ่อจะให้ของขวัญกับครูใหญ่ของลูก เพื่อที่เขาจะได้จัดนักเรียนที่ดีที่สุดให้นั่งข้างๆลูก ดังนั้นลูกก็ควรที่จะเรียนรู้จากเธอ”
“ แล้วก็อย่าไปรังแกเด็กผู้หญิงนะ ถ้าพ่อรู้ขึ้นมาล่ะก็ พ่อก็จะหักขาของลูกทิ้งซะ ลูกเข้าใจไหม!”
หวังเต็งแข็งค้างไปเมื่อได้ยินเช่นนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นการแสดงออกที่น่าภาคภูมิใจของพ่อของเขา เขาก็ยิ่งพูดไม่ออกเข้าไปใหญ่
พ่อให้ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโรงเรียนมานั่งข้างฉัน แต่พ่อกลับไม่อนุญาตให้ฉันแตะต้องเธอ พ่อเป็นพ่อของฉันจริงๆรึเปล่าเนี่ย?
นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว!
แม้จะบ่น แต่หวังเต็งก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งของหวังเฉินกั๋ว ดังนั้นเขาจึงยังคงเป็นคู่หูที่เชื่อฟังและเป็นเพื่อนที่ดีของหลินซัวหานตลอดเวลาหนึ่งปี
O(╯□╰)o….