เด็กหนุ่มยืนอยู่ที่ประตู ก่อนจะมองไปทางเย้นหว่านด้วยสีหน้าจริงจัง
เสียงของเขาต่ำมาก แฝงไปด้วยความหดหู่และซับซ้อนอย่างยิ่ง
“ผมรู้ว่าตอนนี้คุณคิดกับฉันยังไง ผมเป็นพวกเดียวกับพวกเขาจริงๆ ถึงแม้ผมจะไม่ได้อยู่ที่นั่นตอนที่พวกเขาลักพาตัวลูกของคุณ แต่ปกติผมก็ทำเรื่องพวกนี้เหมือนกัน”
เย้นหว่านทั้งกลัวทั้งโกรธ ยกเครื่องช็อตไฟฟ้าขึ้นสูง แทบอยากจะฆ่าเขาซะ
เธอกัดฟันกรอดแล้วก่นด่า “สัตว์เดรัจฉานชัดๆ !”
“แล้วนายหลอกฉันมาที่นี่ทำไม แค่ลักพาตัวเด็กยังไม่พอ ยังอยากจะลักพาตัวฉันด้วยหรือไง”
“แล้วยังจะให้ฉันพาคนมาอีก จับเวลาไว้แล้วใช่ไหมว่าพวกเขาจะไปจากที่นี่แล้ว ถึงแม้สามีของฉันจะมาถึง ก็สายเกินไป พวกนายหนีไปกันหมดแล้ว”
เด็กหนุ่มยืนตรงประตูไม่ขยับ
เขายกยิ้มเย้ยหยันตัวเองเล็กน้อย “สิ่งที่ผมทำมันเหมือนสัตว์เดรัจฉานจริงๆ นั่นแหละ”
เขาหลังหด ท่าทางของเขาหดหู่หมดอาลัยตายอยากมาก
“แต่ผมไม่อยากทำแบบนี้อีกแล้ว ทุกครั้งที่ผมเห็นเด็กที่ไร้เดียงสาถูกลักพาตัว แล้วถูกพาไปที่นั่น ถูกลิดรอนจากวัยเด็ก และพรากชีวิตจากพวกเขา ผมก็รู้สึกเสียใจแทนพวกเขามาก”
“แต่ผมทำอะไรไม่ได้ ผมเป็นแค่คนที่ไม่มีค่าที่สุดในกลุ่ม แม้แต่ตัวผมเองก็ยังถูกจับตามองอยู่ทุกวัน อยากจะไปที่ไหน ก็ต้องรายงานพวกเขา หรือแอบออกไปอย่างลับๆ ถ้าถูกจับได้ว่าแอบหนีออกไป ผมก็จะถูกลงโทษ”
“ผมที่อยู่ในสภาพนี้ ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น”
เย้นหว่านประหลาดใจมาก เธอคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะพูดแบบนี้ออกมา
น้ำเสียงของเขาดูเศร้ามาก ฟังดูเหมือนไม่ใช่เรื่องโกหก
เธอขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ในเมื่อนายทนดูไม่ไหว นายเองก็หนีออกไปได้ ทำไมไม่ไปแจ้งตำรวจ”
“เหอะ เปล่าประโยชน์” เด็กหนุ่มถูกความมืดมนปกคลุม “ขั้นตอนการออกหมายจับของตำรวจนั้นซับซ้อน ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการระดมกำลัง ยิ่งกว่านั้น ทุกครั้งที่พวกเขาไปหยุดพักที่ใดที่หนึ่ง พวกเขาจะส่งคนไปจับตาดูสถานีตำรวจในเมืองไว้ทุกสถานี ถ้ามีการเคลื่อนไหวพวกเขาจะอพยพหนีทันที”
ส่งผลให้ก่อนที่กองกำลังตำรวจมาถึงที่นี่ พวกเขาทั้งหมดก็หนีไปหมดแล้ว
แล้วยังเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นด้วย
เย้นหว่านเข้าใจอะไรบางอย่างบางอย่างขึ้นมาบ้างแล้ว “ดังนั้น นายต้องการใช้ฉันให้สามีของฉันพาคนมาจัดการพวกเขาอย่างนั้นใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”
เด็กหนุ่มตอบโดยไม่มีอาการลังเล
หลังจากนั้น เขาลังเลอยู่สักพัก แล้วพูดต่อ
“ในเมื่อตอนนี้คุณรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว ผมก็จะไม่ปิดบังคุณอีก ที่นี่อันตรายมาก ทุกคนที่นี่มีฝีมือการต่อสู้ที่ร้ายกาจ ถ้าคนที่สามีของคุณพามาไม่เก่งพอ พวกเขาก็จะต้องตายกันหมด”
เย้นหว่านหรี่ตามอง “นายไม่แน่ใจว่าสามีของฉันและคนที่เขาพามาเก่งกาจพอหรือเปล่า สู้กับคนที่นี่ได้ไหม แต่นายก็ยังตัดสินใจพาฉันมาที่นี่”
ท่าทางของเด็กหนุ่มยิ่งหดหู่มากขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดด้วยเสียงที่เบามาก “ผมขอโทษ”
“แต่ผมจะปล่อยคุณไปไม่ได้”
“ไม่ว่าคุณจะยอมหรือไม่ยอม คืนนี้ผมจะต้องช่วยเด็กๆ ที่นี่ออกไปให้ได้ ถ้าคุณไม่ให้ความร่วมมือ ผมคงต้องมัดคุณไว้ แต่ถ้าใช้วิธีนี้ คุณจะหมดอิสระ ความปลอดภัยของคุณเองไม่ได้มีการรับประกัน ส่วนลูกๆ ของคุณก็อาจจะต้องตายทันทีเพราะคุณ”
นี่มันขู่กันชัดๆ
ในความมืดมิด เย้นหว่านมองเห็นเพียงนัยน์ตาที่สะท้อนแสงของเด็กหนุ่มเท่านั้น เธอเห็นความโหดเหี้ยมและอำมหิตอยู่ข้างใน
เด็กหนุ่มที่อายุแค่สิบกว่าปี แต่กลับโหดเหี้ยมมาก
เขาไม่สนใจว่าเธอจะเป็นหรือตาย แล้วจะนับประสาอะไรกับคนที่โห้หลีเฉินพามาด้วย ว่าจะตายตาไม่หลับหรือเปล่า
แต่เขากลับเอาแต่พูด ว่าจะช่วยเด็กๆ หนีไปให้ได้
คนที่ช่วยชีวิตเด็กๆ ควรจะเป็นคนที่มีจิตใจดีไม่ใช่หรือไง?
เย้นหว่านพบว่า เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอคนนี้ เธอมองเขาไม่ออกเลย
อีกทั้งยังรู้สึกถึงไอเย็นที่หนาวเข้าไปถึงกระดูก
เด็กหนุ่มพูดอย่างหมดความอดทน “คุณตัดสินใจได้หรือยัง ร่วมมือกับผม ลูกของคุณอาจจะรอดชีวิต ฉันจะรับรองความปลอดภัยของพวกเขาเอง”
หมายความว่า ให้เธอเสียสละสามีและคนที่มาช่วยเหลือ แล้วเลือกลูกๆ
ตัวเลือกแบบนี้ มันโหดร้ายเอามากๆ
แต่กลับหลุดออกมาจากปากของเด็กหนุ่มที่อายุแค่สิบกว่าปี
เธอนึกไม่ออกเลยว่าเขาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน แล้วเป็นคนนิสัยแบบไหน
เย้นหว่านเลิกคิ้ว “ฉันคิดว่านายเองก็ไม่ต้องการให้คนบริสุทธิ์ต้องมาตายเปล่าหรอกใช่ไหม ฉันขอเตือนสามีของฉันให้เขาระวังตัว แบบนี้ได้ไหม?”
เด็กหนุ่มลังเล “คุณแน่ใจเหรอว่าถ้าคุณบอกเขาว่าที่นี่อันตราย เขาจะกล้ามาที่นี่ ถ้าเขาไม่มา คนที่ต้องตายจะเป็นคุณและลูกๆ ของคุณ”
“ฉันแน่ใจ เขาต้องมาแน่นอน อีกทั้งฝีมือของเขา ก็ไม่น้อยไปกว่าคนพวกนี้เลย”
เย้นหว่านรับประกันอย่างมั่นอกมั่นใจ
แม้ว่าเด็กหนุ่มจะมีประสงค์อื่นแอบแฝง อีกทั้งยังโหดร้ายและเลือดเย็น แต่ก็อย่างที่เขาบอก เธอไม่มีทางเลือกอื่น ให้เลือกเดิน
ตั้งแต่เธอตามเขามาจนถึงที่นี่ เธอก็เหมือนฝากเนื้อไว้กับเสือ
หลังจากเด็กหนุ่มนิ่งพิจารณา ก่อนจะอนุญาต ให้เย้นหว่านรีบเตือนให้เสร็จ
ก่อนหน้านี้ตอนปีนกำแพง ไม่สะดวก เย้นหว่านถึงต้องวางสายของโห้หลีเฉินไป ตอนนี้เธอรีบก็กดโทรหาเขาอีกครั้ง
โห้หลีเฉินรีบกดรับสายทันที
“ที่รัก คุณเป็นยังไงบ้าง ยังปลอดภัยดีไหม”
พอได้ยินเสียงของเขา เย้นหว่านก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา
เธอรีบพูด “โห้หลีเฉิน ตอนนี้คุณฟังฉันก่อน อย่าเพิ่งร้อนใจ กลุ่มคนที่ลักพาตัวหยูเซิงกับแรบบิท เป็นองค์กรชั่วร้าย ที่นี่มีคนเยอะมาก ทุกคนมีฝีมือการต่อสู้และอาวุธติดตัว พวกเขาอันตรายมาก
คุณห้ามมาคนเดียวเด็ดขาด ต้องรอให้พี่ชายฉันแล้วมาด้วยกัน พวกคุณต้องเตรียมพร้อม ระวังตัวให้มาก
และพวกเขากำลังจะย้ายที่ คุณมาหาฉันตามตำแหน่งที่ระบุไว้นะคะ”
เสียงทุ้มต่ำของโห้หลีเฉินเต็มไปด้วยความเป็นห่วง “มันอันตรายเกินไป คุณไม่ต้องตามต่อแล้ว ผมจะหาทางตามพวกเขาไปเอง”
“ไม่ได้ค่ะ คนพวกนี้ระวังตัวเป็นอย่างมาก ถ้าพลัดหลงจากพวกเขาก็จะหาเจอยาก ฉันต้องตามไป”
“แต่ถ้าคุณตามไป แล้วเกิดอะไรขึ้นกับคุณจะทำยังไง เย้นหว่าน ผมทนเห็นคุณเป็นอะไรไปไม่ได้”
เสียงของเขาถูกกดต่ำอย่างสุดกำลัง แต่เย้นหว่านก็ยังรับรู้ได้ถึงความตื่นตระหนกหวาดกลัวของเขาได้อย่างชัดเจน
โห้หลีเฉินไม่เคยกลัวอะไรมาก่อน ในพจนานุกรมของเขาไม่มีคำว่าหวาดกลัวอยู่ในนั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องของเย้นหว่าน เขากลัวไปหมดทุกอย่าง
เขากลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ กลัวว่าเธอจะเกิดอุบัติเหตุ
เย้นหว่านรู้สึกปวดใจ น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เธอสูดหายใจเข้าลึก พยายามระงับอารมณ์ แล้วแกล้งพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ที่รักคะ คุณต้องเชื่อในตัวฉันสิ เพื่อลูกๆ ฉันต้องทำได้ ฉันจะซ่อนตัวอย่างดี ก่อนที่คุณจะมาถึง ฉันจะไม่ให้ใครจับได้ เด็กคนนี้ก็จะช่วยฉันด้วย เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง
พอได้ยินสองคำสุดท้าย เด็กหนุ่มก็มองไปทางเย้นหว่านด้วยความประหลาดใจ เหมือนสองคำนี้ปลุกสติของเขา
คนดีอย่างนั้นเหรอ?
จนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยได้ยินคนอื่นพูดถึงเขาแบบนี้มาก่อน
นี่มัน ช่างบาดใจจริงๆ
โห้หลีเฉินไม่วางใจ แต่สุดท้าย สถานการณ์ก็ถูกบังคับให้เป็นแบบนี้ อีกทั้งเขาเถียงสู้เย้นหว่านไม่ได้ ได้แต่ย้ำเตือนให้เธอไม่ต้องทำอะไรบุ่มบ่าม ซ่อนตัวไว้ให้ดี ก่อนจะปล่อยให้เธอตามต่อไป