เด็กหนุ่มสีหน้ามืดมน เห็นได้ชัดว่ามีความกลัวออกมาจากในใจกับคำพูดของพี่หลิว
เขามองถังเซียงที่อยู่ข้างๆด้วยสายตาเป็นประกาย
“ดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถอะ ขยะ”
ทันใดนั้น กระบองใหญ่อันหนึ่งทุบลงหลังศีรษะของพี่หลิว ทุบเขาหัวแตกจนเลือดไหลในพริบตา สลบคาที่ ไม่รู้ว่าตายหรือว่ายังมีชีวิตอยู่
และคนที่ลงมือ ถือกระบองเปื้อนเลือดด้วยมือข้างเดียว ท่าทางหยิ่งยโส
นั่นคือป่ายฉี
เขามองดูคนตรงพื้นอย่างดูถูก เชิดคาง พูดกับเด็กหนุ่มอย่างแน่วแน่:
“ไม่ว่าองค์กรนั้นของนายจะวิเศษมาจากไหน กล้ามาหาเรื่องคนจากตระกูลเย้นของเรา ก็มีแต่ตายสถานเดียว ในเมื่อนายเลือกเข้าร่วมทีมของเรา เย้นหว่านของเราให้ความสำคัญกับความรู้สึกที่มีต่อกันมากที่สุด เป็นธรรมดาที่จะรับประกันความปลอดภัยของนายครอบครัวของนายรวมไปถึงบรรพบุรุษแน่นอน”
คำพูดนี้เรียกได้ว่าเย่อหยิ่งไม่เบา แต่ว่าพอออกมาจากใบหน้าที่หยิ่งยโสของป่ายฉีแล้ว กลับทำให้รู้สึกว่า ก็สมควรจะหยิ่งผยองขนาดนี้
เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าประทับใจเล็กน้อย จับข้อมูลสำคัญได้ในทันที
“ตระกูลเย้น? ตระกูลเย้นไหน?”
ป่ายฉีเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “มองดูกว้างๆสิ มีตระกูลไหน กล้าเรียกตัวเองว่าตระกูลเย้น?”
รูม่านตาของเด็กหนุ่มหดเล็กลง ช็อกสุดขีด
เขารีบหันไปมองเย้นหว่าน “คุณเป็นคุณหนูตระกูลเย้น?”
เย้นหว่านพยักหน้า “ใช่”
“มิน่า มิน่าล่ะ”
เด็กหนุ่มถึงจะเข้าใจอย่างชัดเจน มิน่าล่ะหลังจากที่คนของโห้หลีเฉินมาถึง แข็งแกร่งถึงขั้นเอาชนะคนขององค์กรได้ทั้งหมด
นี่ไม่ใช่ความสามารถที่ชนชั้นสูงธรรมดาจะมีได้ มีแค่เฉพาะตระกูลที่มีอำนาจไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกเท่านั้น ถึงจะมีต้นทุน
และถ้าหากเป็นตระกูลเย้นลงมือละก็…
เด็กหนุ่มสายตาเป็นประกายมองเย้นหว่านไม่หยุด ทันใดนั้น ก็โค้งตัวเก้าสิบองศาให้แก่เธอ
เย้นหว่านสะดุ้งตกใจ “นายทำอะไร?”
“คุณเย้น ถึงแม้ผมจะไม่มีคุณสมบัติพูดสิ่งเหล่านี้ แต่ว่าผมก็อยากจะขอร้องคุณ ใช้ความพยายามทั้งหมดทำลายองค์กรหลัก แล้วก็…”
เขาลังเลสักพัก ถึงจะพูดต่อ “หลายคนในนั้นที่จริงล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่เป็นอิสระ ถ้าหากได้ละก็ คุณได้โปรดละเว้นพวกเขาด้วย”
ทั้งช่วยคน ยังต้องปล่อยคน
เย้นหว่านจับข้อมูลสำคัญในคำพูดนี้ได้อย่างมีไหวพริบ ถามว่า:
“คนพวกนั้นเป็นใคร? ทำไมถึงไม่เป็นอิสระ? เป็นเหมือนกับนายงั้นหรอ?”
แววตาของเด็กหนุ่มลึกล้ำขึ้นไปอีก
เขากำมือแน่น “พวกเขาไม่เหมือนกับผม พวกเขายิ่งกว่า…มือของพวกเขาเปื้อนเลือดมามาก แต่ว่าพวกเขา ไม่ได้ทำออกมาจากใจของตัวเองจริงๆ”
เปื้อนเลือดมามาก
หมายความว่า เคยฆ่าคนไปหลายคนแล้ว
ถ้าหากแบบนี้ยังเรียกว่าไม่เป็นอิสระ ตกลงว่าพวกเขาเป็นยังไงกันแน่?
“หรือว่าพวกเขาเป็นหน่วยงานลับ?”
คิดดูแล้วก็มีความเป็นไปได้มาก ยังไงการฝึกฝนหน่วยงานลับก็จำเป็นต้องฝึกมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นก็ถูกล้างสมอง หรือถูกบังคับ ให้ทำเรื่องเลวทรามพวกนั้น
แต่ว่านี่ก็ใช่ว่าจะมาจากใจจริงของพวกเขา เพราะพวกเขาไม่ทำ ก็ต้องตาย
องค์กรนี้ยิ่งโหดเหี้ยมมากขึ้น แม้แต่คนในครอบครัวและบรรพบุรุษของเด็กหนุ่มก็ไม่เว้น เรื่องแบบนี้ คงจะทำมานับครั้งไม่ถ้วน
เด็กหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ใช่หน่วยงานลับ แต่ว่ายิ่งกว่าหน่วยงานลับ…”
ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อย ไม่ได้พูดต่อไป เย้นหว่านสายตาเคร่งขรึม
“คุณเย้น พวกคุณไปถึงก็รู้เอง คนพวกนี้อันตรายมาก แต่ว่าผมก็อยากจะขอร้องพวกคุณรับปากผม ให้โอกาสพวกเขาสักครั้ง พวกเขา ล้วนเป็นคนที่น่าสงสาร”
เด็กหนุ่มเข้าอกเข้าใจอย่างดี
เขาก็เป็นคนประเภทเดียวกัน ก็แค่ถูกจัดสรรทางที่ไม่เหมือนกัน ถูกพาออกมาเพื่อจับตัวเด็กเล็ก
บนมือ ยังไม่เปื้อนเลือดชั่วคราว
แต่ว่ากลับทำให้ครอบครัวแยกจากกันมานับครั้งไม่ถ้วน
เขาก็เป็นคนบาปเช่นกัน แต่เขา ก็ยังอยากจะมีชีวิตใหม่ แล้วก็อยากจะมีอนาคต
เย้นหว่านเป็นคนใจอ่อน ยิ่งไม่มีเหตุผลจะต้องฆ่าใครระบายความโกรธ
เธอแค่อยากช่วยแรบบิทออกมาอย่างปลอดภัย
เอาคนชั่วช้าสารเลวพวกนั้น ทำให้พวกมันหายไปจากโลกนี้ให้หมด
ตกลงกับเด็กหนุ่มเรียบร้อย เย้นหว่านถึงจะมองไปทางป่ายฉี
ครั้งนี้คนที่มาสนับสนุนไม่น้อย ล้วนเป็นยอดฝีมือตระกูลเย้น แต่ว่าผู้นำมีเพียงแค่ป่ายฉีเท่านั้น เย้นโม่หลินไม่มา
ตอนนี้เขาน่าจะยังอยู่ในสนามรบอีกด้านเตรียมรบกับหยูฉู่สอง ยุ่งจนไม่รู้จะทำยังไงแล้วล่ะมั้ง
เย้นหว่านพูด: “สถานการณ์พี่ชายทางนั้นเป็นไงบ้าง?”
ป่ายฉีตอบ “กำลังดำเนินการตามแผนที่วางไว้ ไม่มีอะไรผิดพลาด”
“แล้วคุณล่ะ?” เย้นหว่านถามเขา “คุณต้องรีบกลับไป หรือว่าไปด้วยกันกับเรา? ทางนั้นพี่ชายสามารถห่างจากคุณได้หรือเปล่า?”
ครั้งนี้อันตรายมาก จากความอันตรายและลึกลับขององค์กรนี้ ไม่ว่าโห้หลีเฉินจะพาคนมาเท่าไหร่เข้าไป นอกจากใช้กระสุนปืนใหญ่พังเข้าไปตรงๆ มิฉะนั้นอาจจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นได้
ในสถานการณ์แบบนี้ กำลังคนชั้นยอดนั้น สำคัญเป็นพิเศษ
ฝีมือของป่ายฉีสามารถเทียบเคียงโห้หลีเฉินได้ ถือว่าไม่เป็นสองรองใคร
รวมถึงวิชาแพทย์ของเขาสามารถช่วยชีวิตคนได้ ตอนภาวะฉุกเฉิน เย้นหว่านก็กังวลถึงตอนที่ช่วยแรบบิทได้แล้ว อาการบาดเจ็บของเธอ
หากว่าสถานการณ์เลวร้าย มีแต่ป่ายฉีเท่านั้นถึงจะสามารถรับประกันได้
ป่ายฉีพูดอย่างมีเหตุผล “ทางด้านพี่ชายคุณยังมีผู้นำตระกูลช่วย ดำเนินการตามแผน ไม่ต้องการผมเท่าไหร่ ผมจะไปช่วยแรบบิทกับพวกคุณ หลายปีมานี้ ผมขึ้นเหนือล่องใต้ไม่มีสถานที่ลับไหนที่ไม่เคยเจอ ครั้งนี้ก็แค่ไปสถานที่ลับอีกครั้ง”
ได้ยินเช่นนี้ เย้นหว่านก็ยิ้มออกมา พลังในใจยิ่งเพิ่มมากขึ้น
จะชักช้าไม่ได้ พวกเขาเริ่มวางแผนทันทีว่าจะทำลายองค์กรและช่วยแรบบิทยังไง
จากที่เด็กหนุ่มบอกมาถึงอันตรายพวกนั้น และเรื่องที่ควรระวัง ของที่ต้องเตรียมและแผนการ
แน่นอน พวกเขาให้เด็กหนุ่มเป็นคนนำทาง รีบไปที่องค์กร เลยปรึกษากันบนรถ
ขบวนรถจากไปอย่างรวดเร็ว และฝ่าวงล้อมของตระกูลหยูออกไปได้โดยสิ้นเชิง
ตอนที่คนของตระกูลหยูรีบมาถึงสนามรบทางนี้ คนก็ถูกพาตัวไปนานแล้ว ทุกที่ว่างเปล่าเหลือเพียงแค่คราบเลือดเต็มพื้น
แต่ว่าศพ ซากรถหรือของที่มีประโยชน์ใดๆ ไม่เหลือเลยสักอย่าง
ชายชุดดำยืนอยู่บนเลือดที่เกือบจะแห้งแล้ว รายงานทางโทรศัพท์ด้วยร่างที่หนักอึ้ง
ทางสายโทรศัพท์ หยูฉู่สองหน้าตาบูดบึ้ง ดึงผ้าห่มโยนลงบนพื้น ทุบจนยับเยิน
“ไร้ค่า! ไอ้พวกไร้ค่า!”
แบบนี้ก็จับคนไม่ได้ พลาดโอกาสนี้ไปแล้ว คิดจะจับโห้หลีเฉินอีกครั้งก็ยากแล้ว
อีกทั้งตอนนี้ตระกูลเย้นเริ่มออกหน้าอีกครั้ง การปะทะกันของอำนาจโดยตรงแบบนี้ แม้จะเป็นตระกูลหยูตอนนี้รากฐานแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น แต่ว่าการจะเอาชนะตระกูลเย้นอย่างสิ้นเชิง จำเป็นต้องใช้เวลานานมากจริงๆ
โห้หลีเฉินเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่แน่ว่าในช่วงเวลานี้ จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก
หยูฉู่สองโกรธจนไฟลุก “รู้แบบนี้แต่แรกจะไม่แค่ทำลายขาทั้งสองข้างของมัน น่าจะทำให้มันกลายเป็นผักไปเลย!”
“ผู้นำตระกูลอย่าได้รีบร้อน อยากจะจับพวกโห้หลีเฉิน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีเสียเลย”
ฝู้ยวนบนใบหน้าแสยะรอยยิ้มที่ชั่วร้าย สีหน้าชั่วร้ายถึงที่สุด “ถึงแม้คนกลุ่มนั้นที่เราส่งไปตอนนี้จะถูกจัดการหมดแล้ว แต่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาก็ได้ส่งข้อมูลมา บอกว่าในรถของอีกฝ่ายมีเด็กจำนวนมากวิ่งออกมาไม่ใช่หรือครับ?”
“เป็นแบบนี้ แล้วยังไง?” หยูฉู่สองถามด้วยใบหน้าบึ้งตึง