เธอมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างดีใจ “พวกเขาไปทางไหน”
“ผมไม่รู้จะอธิบายสถานที่นั้นยังไง แต่ผมพาคุณไปที่นั่นได้”
ไม่สามารถอธิบายได้อย่างนั้นเหรอ?
พาเธอไปได้คนเดียว?
ถึงแม้เย้นหว่านจะร้อนใจอยากจะตามหาลูกๆ ให้พบ แต่ในเวลานี้ กลับต้องบังคับให้ตัวเองสงบลง แล้วมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างระมัดระวัง
เห็นได้ชัดว่าเขาเดินตามเธออยู่นาน แล้วตอนนี้เขาถึงจะออกมาพูด เธอรู้สึกเหมือนเขากำลังหลอกให้เธอไปที่ไหนสักที่
ทำให้เธอรู้สึกสงสัย ว่าเขาจะรู้ว่าเด็กๆ อยู่ที่ไหนจริงหรือเปล่า?
เด็กหนุ่มเห็นเย้นหว่านนิ่งเงียบ เขาก็ขมวดคิ้ว ลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะกระซิบพูด
“ผมเดาว่า คนชุดดำบนถนนคงกำลังตามจับคุณอยู่”
เย้นหว่านมองไปที่เขา
เด็กหนุ่มพูดต่อ “ผมยืนยันว่าผมไม่ใช่พวกเดียวกับพวกเขา เหตุผลที่ผมมาหาคุณ แล้วบอกเบาะแสของเด็กๆ นั้น ไม่ใช่เพราะผมใจดีอยากจะช่วยคุณ”
“แต่เป็นเพราะผมเห็นว่าคุณมีท่าทางไม่ธรรมดา น่าจะมีฐานะดี คุณคงมีลูกน้องของคุณ แต่ตอนนี้ยังมาไม่ถึงใช่ไหม”
แม้ว่าจะเป็นการคาดเดาของเขาทั้งหมด แต่เด็กหนุ่มก็เดาถูกเกือบจะทั้งหมด
ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเป็นสมาชิกของตระกูลหยุนแล้วจงใจพูดโกหก แสดงว่าเขามีจิตใจที่เฉียบแหลม
ถ้าเขาเป็นคนของตระกูลหยู แล้วจำเธอได้ ก็แค่เรียกคนมาล้อมจับเธอ ไม่จำเป็นต้องทำอะไรยุ่งยากหลอกให้เธอไปที่ไหนสักแห่งแบบนี้
หลังจากคิดได้แบบนี้ เย้นหว่านก็ลดการระวังตัวต่อเด็กหนุ่มลง
เธอเอ่ยถาม “แล้วจุดประสงค์ของนายคืออะไร?”
เด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อย แล้วกัดฟันพูด “ผมต้องการให้คุณช่วยผมช่วยชีวิตคน”
“ญาติของนายก็ถูกลักพาตัวไปเหรอ?”
“ก็ประมาณนั้น”
ดวงตาของชายหนุ่มสั่นไหว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ “เราไม่มีเวลามากแล้ว คนพวกนั้นจะเปลี่ยนที่เมื่อไรก็ได้ เราต้องรีบไปเดี๋ยวนี้ บางทีอาจจะตามทัน คุณจะไปกับผมไหม ถึงที่นั่นแล้ว คุณค่อยให้คนของคุณมาหาคุณ”
เย้นหว่านลังเลใจ
พูดตามตรง เธอไม่ไว้ใจเด็กหนุ่มคนนี้มากเท่าไหร่ แม้ว่าคำพูดที่เขาพูด ว่าเธอกำลังมองหาลูกจะถูกต้อง แต่จุดประสงค์ของเขากลับไม่บริสุทธิ์เลย
และเห็นได้ชัดว่าเขาต้องการใช้ประโยชน์จากเธอ หรือมีจุดประสงค์อื่นที่ไม่ยอมบอกกับเธอ
แล้วยังบอกทิศทางหรือตำแหน่งคร่าวๆ ไม่ได้ด้วย
เด็กหนุ่มยืนอยู่ในความมืด จึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่เห็นได้ชัดว่าเขาร้อนใจมาก
“ถ้าคุณไม่อยากไป ก็ช่างมันเถอะ”
หลังจากพูดอย่างเย็นชา เขาก็หันหลังเดินจากไป
รอบด้านมืดมาก และดูเหมือนพริบตาเดียวเขาก็หายลับเข้าไปในความมืด
ทันใดนั้นเอง หัวใจของเย้นหว่านก็กระตุกขึ้นมา แทบไม่คิดอะไรอีกต่อไป เธอเรียกเด็กหนุ่มไว้ตามสัญชาตญาณ “ฉันจะไปกับนายด้วย”
ไม่ว่าจะเป็นความอันตรายที่แอบแฝงหรือความไม่มั่นใจ ก็ไม่เท่ากับ เบาะแสแม้จะเพียงนิดเดียวก็ตาม
เธอกลัวมากจริงๆ
หากสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดมาเป็นความจริง หยูเซิงกับแรบบิทถูกลักพาตัวไป ถ้ายังล่าช้าต่อไป เด็กทั้งสองจะถูกพาออกจากเมืองไป แล้วสูญหายไปสุดหล้าฟ้าเขียว
เด็กหนุ่มหยุดเดิน แต่ไม่หันกลับมา
ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ตามผมมา”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินเข้าไปในเงามืดตรงหน้าต่อ
หัวใจของเย้นหว่านเต้นแรงมาก ด้วยความที่ไม่รู้อะไรเลยทำให้เธอสั่นไปทั้งตัว เธอสูดหายใจเข้าลึก แล้วเดินตามเด็กหนุ่มเข้าไปในความมืด
ในเวลาเดียวกัน เธอก็ส่งข้อความให้โห้หลีเฉิน บอกโห้หลีเฉินว่าเธอกำลังจะไปตามหาลูกกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง แล้วขอให้โห้หลีเฉินติดตามตำแหน่งแบบเรียลไทม์รีบตามเธอไป
ทันทีที่ข้อความถูกส่งไป โห้หลีเฉินก็โทรมาทันที
เสียง “ตู๊ดตู๊ด” ในความมืด ดูแสบหูเป็นพิเศษ
เด็กหนุ่มหยุดเดินกะทันหัน แล้วหันกลับมาตะโกนอย่างเย็นชา
“ปิดมือถือซะ ถ้าไปถึงที่นั่น แล้วยังมีเสียงดังขึ้นมา พวกมันจะฆ่าเราทันที!”
น้ำเสียงนี้ทำให้เย้นหว่านรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เธอขมวดคิ้วแน่น “รู้แล้ว ที่นี่ยังไม่มีใคร นายแค่นำทางไปก็พอ”
ขณะที่พูด เย้นหว่านก็กดรับสาย
อีกด้านของโทรศัพท์ มีเสียงดุของโห้หลีเฉินดังขึ้นมาตามสาย “เย้นหว่าน กลับมาเดี๋ยวนี้ คุณห้ามตามเขาไป รอผมอยู่ตรงนั้นห้ามไปไหน”
พอกดรับสาย เธอก็เดาได้ว่าโห้หลีเฉินจะพูดแบบนี้
ในขณะที่เธอรู้สึกอ่อนใจ ในใจของเธอก็รู้สึกอบอุ่นมากด้วย แต่ว่า เธอเองก็รู้ดี ว่าตอนนี้เธอกำลังเข้าไปเสี่ยงอันตราย
เดินตามเด็กหนุ่มที่ไม่รู้จักไป เธอกำลังเดิมพันอยู่
“โห้หลีเฉิน” เสียงของเย้นหว่านเบามาก อีกทั้งยังยิ้มออกมาด้วย “ฉันรู้ว่าคุณจะต้องมาหาฉันในไม่ช้านี้แน่นอน จริงไหมคะ”
“เย้นหว่าน นี่ไม่ใช่เวลาที่คุณจะทำตามใจได้! ถ้าผมตามไปไม่ทันล่ะ ผมอยู่ห่างจากคุณมาก ถ้าช้าไปแค่วินาทีเดียวอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณก็ได้”
น้ำเสียงร้อนใจของโห้หลีเฉินเกือบจะลุกเป็นไฟ
เย้นหว่านยกยิ้มบาง “ถึงแม้จะเกิดเรื่องขึ้น ฉันก็ปกป้องตัวเองได้ ฉันจะรอจนกว่าคุณจะมาถึง ฉันเชื่อในตัวคุณ และคุณเองก็ต้องเชื่อในตัวฉันด้วย”
“อุตส่าห์ได้ข่าวของลูกๆ ทั้งที เราจะพลาดไปไม่ได้ หลังจากฉันไปถึงแล้ว ขอแค่พวกเขาไม่ย้ายที่ ฉันจับตาดูอยู่ในที่มืด จะไม่ทำอะไรทั้งนั้น รอคุณมาหาฉัน ฉันจะไม่เป็นอะไรแน่นอนค่ะ”
“อีกอย่าง ป่ายฉีก็สอนทักษะการป้องกันตัวให้ฉันไว้แล้ว ถ้าเขากล้าทำอะไร ฉันก็สู้กลับได้ ฉันยังมีอุปกรณ์ป้องกันตัวอยู่ คนอื่นไม่สามารถทำร้ายฉันได้ง่ายๆ แน่นอน”
เย้นหว่านไม่คิดจะปิดบัง ประโยคสุดท้ายเธอจงใจพูดให้เด็กหนุ่มฟัง
เด็กหนุ่มไม่มีท่าทางตอบกลับ ยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เส้นทางที่เขาเดินนั้นซับซ้อนมาก ทุกเส้นทางเป็นซอยแคบมืดมิด และแทบไม่มีใครเดินผ่านทางนั้นเลย
แบบนี้ทำให้เย้นหว่านสงสัยมาก ปกติเด็กหนุ่มคนนี้ทำงานอะไร เขาถึงคุ้นเคยกับพื้นที่บริเวณนี้ ดังนั้นเขาถึงเดินเข้าซอยพวกนี้ หรือเป็นเพราะอะไร?
การไม่อนุญาตของโห้หลีเฉิน ไม่สามารถขัดขวางการตัดสินใจที่แน่วแน่ของเย้นหว่านได้
จนสุดท้ายเขาได้แค่ขอให้เย้นหว่านสวมหูฟังบลูทูธไว้ แล้วติดต่อกับเขาตลอดเวลา ส่วนเขาเองก็จะรีบเดินทางไปยังตำแหน่งของ เย้นหว่านให้เร็วที่สุด
เส้นทางที่เด็กหนุ่มนำทางไปนั้น อยู่ตรงกันข้ามกับที่โห้หลีเฉินอยู่ในตอนนี้ ดังนั้นถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะเดินไปเรื่อยๆ แต่โห้หลีเฉินก็ลดระยะห่างระหว่างเย้นหว่านลงอย่างต่อเนื่อง แต่ตรงกลางก็ยังคงมีระยะห่างที่ไกลจนตามมาไม่ทัน
เย้นหว่านเดินตามเด็กหนุ่มคนนี้อยู่นาน ส่วนใหญ่จะเดินไปตามถนนที่มืดมิดไม่มีแสงไฟ อีกทั้งยังไม่ให้เธอเปิดไฟฉายในโทรศัพท์มือถืออีก ทำให้เธอเดินชนสิ่งของไปตลอดทาง ตอนนี้สายตาของเธอคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมที่มืดมิดนี้แล้ว
ไม่รู้ว่าเดินมานานแค่ไหน เดินจนเธอเริ่มหลงทิศทางแล้ว ในที่สุดเด็กหนุ่มก็หยุดเดิน
เขาหันกลับมามองทางเย้นหว่าน
ในความมืดมิด ใบหน้าของเขายังคงเห็นไม่ชัด แววตาของเขาคมลึกราวกับบ่อลึก
น้ำเสียงของเขาต่ำมาก แล้วยังแฝงไปด้วยอารมณ์ที่หดหู่ใจมาก “ถึงแล้ว อยู่ข้างหน้านี่แหละ”
เย้นหว่านมองไปด้านหน้า แล้วเห็นอาคารที่พักอาศัยที่ทรุดโทรมมากตั้งอยู่ มันดูเก่าแก่มาก น่าจะถูกทิ้งร้างไว้หลายปีแล้ว
รอบด้านไม่มีแสงไฟเลย มีดงหญ้าก็รกร้าง ยิ่งช่วงดึกดื่นขนาดนี้ ยิ่งดูอันตรายมากขึ้น
เย้นหว่านตัวสั่นอย่างอธิบายไม่ถูก
เด็กหนุ่มชี้ไปที่ด้านข้างของอาคารที่พักอาศัย “พวกเราต้องปีนขึ้นไป”
เย้นหว่านตกตะลึง แล้วนิ่งอึ้งไปสามวินาที ก่อนที่จะบีบคำพูดออกจากปากของเขาอย่างลำบาก
“ปีนขึ้นไปเหรอ?”
เธอไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม ให้เธอปีนขึ้นจากกำแพงอย่างนั้นเหรอ?