“ระวังด้วย ให้แม่อุ้มออกมาไหมจ๊ะ”
เย้นหว่านมองโห้หยูเซิงด้วยสีหน้าสงสาร ถึงแม้เธอจะอยากดึงเขามากอดไว้ในอ้อมอกมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่กล้าสัมผัสลูกตามอำเภอใจ
และเป็นไปตามที่คาด ลูกน้อยไม่สนใจเธอเลย เขาค่อยๆ ขยับตัวออกมาจากกรงอย่างช้าๆ
แค่การเคลื่อนไหวเล็กน้อย ก็สามารถทำให้เลือดไหลออกมาจากบาดแผลได้แล้ว
เย้นหว่านเห็นอย่างนั้นก็น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง
เมื่อตะกี้ตอนที่เขาเพิ่งจะออกมา เธออดที่จะฉีกผ้าเช็ดหน้าออกเป็นแถบยาวหลายเส้น แล้วพันรอบแผลที่แขนและน่องขาของเขาอย่างเบามือ
พอถูกใครแตะต้อง โห้หยูเซิงก็กอดรัดร่างกายของตัวเองไว้แน่น ร่างกายของเขาต่อต้านรุนแรงมาก
เย้นหว่านรีบปลอบขวัญ “ไม่ต้องกลัวนะลูก นี่แม่เอง แม่แค่จะพันแผลให้ จะไม่แตะต้องลูกแน่นอน”
โห้หยูเซิงยังคงเต็มไปด้วยอาการต่อต้าน แต่เขาก็ยืนนิ่ว ไม่ได้ทำอะไรเลย
เย้นหว่านกลัวจะทำให้เขาเจ็บ ดังนั้นเธอจึงทำแผลให้เขาอย่างรวดเร็วและเบามือ
ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ไม่สามารถทำแผลให้เขาได้ รอยแผลเหล่านั้น แค่เห็นก็ทำให้เธอรู้สึกหัวใจแทบสลายแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน เย้นหว่านถึงได้พันแผลให้โห้หยูเซิงเสร็จ ด้วยความรู้สึกที่ทรมานอย่างหนักหนาสาหัส
น้ำตาของเธอคลอเบ้า ความรู้สึกของเธอแทบจะแตกสลาย
แต่เธอจะร้องไห้ไม่ได้
ตอนนี้ที่นี่ยังมีเด็กๆ อีกมากมาย กำลังรอให้เธอช่วยเหลืออยู่
เย้นหว่านสูดน้ำมูก แล้วพูดกับโห้หยูเซิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หยูเซิง ลูกช่วยปล่อยพวกเขาออกมาด้วยได้ไหมจ๊ะ พวกเขาถูกขังอยู่ในกรงดูน่าสงสารมากเลย”
โห้หยูเซิงไม่ได้ขยับตัว
ในโลกของเขาเดิมทีก็ไม่มีใครอื่น ที่เขาสามารถปลดล็อกกรงออกมาได้ คงเป็นเพราะเขาเกลียดกรงนั่น อยากจะออกไป
แต่ให้ช่วยคนอื่น คงไม่ง่ายขนาดนั้น
เย้นหว่านพูดอย่างอ่อนโยน”ลูกถือซะว่าช่วยแม่ ได้ไหมจ๊ะ”
โห้หยูเซิงยังคงไม่มีอาการตอบสนอง
แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็เดินไปที่กรงที่ใกล้ที่สุดโดยไม่พูดอะไรเลย แล้วเอื้อมมือออกไปเพื่อปลดล็อกกรงอย่างรวดเร็ว
เย้นหว่านดีใจมาก ดีใจจนไม่รู้จะพูดยังไงดีแล้ว
หยูเซิงของเธอเป็นเทวดาตัวน้อยที่ฉลาดมากจริงๆ
แต่ว่าบนข้อมือของเขามีรอยแผลจากการถูกแส้ตี และตอนที่เขากำลังปลดล็อกกรงบาดแผลบางส่วนก็ฉีกขาด แล้วมีเลือดไหลลงมา เย้นหว่านปวดใจเป็นอย่างมาก
เธอไม่อยากให้โห้หยูเซิงต้องทนเจ็บ ดังนั้นเธอจึงพยายามตั้งใจดูขั้นตอนที่เขาปลดล็อกกรง
หลังจากที่โห้หยูเซิงปลดล็อกกรงเหล็กอันที่สองเสร็จแล้ว เย้นหว่านก็พอจะรู้วิธีปลดล็อกแล้ว เธอจึงเดินไปปลดล็อกกรงอื่นๆ ด้วยตัวเอง
แต่ว่า…
ทำไมจะปลดล็อกไม่ออกล่ะ
ดูไปแล้วเหมือนไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก แต่ทำไมมันถึงยากขนาดนี้?
วงจรควบคุมภายในนั้น ยุ่งยากจนแทบจะบ้าตาย
หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง เย้นหว่านก็ต้องขอยอมแพ้ แล้วเฝ้าดูโห้หยูเซิงปลดล็อกไปทีละกรง เธอมองลูกชายของตัวเองด้วยแววตาชื่นชม เธอก็เปล่งประกาย
ลูกชายของเธอฉลาดมาก ช่างเหลือเชื่อมากจริงๆ
“ขอบใจ”
“ขอบใจมากเลย”
“ขอบใจจริงๆ ”
หลังจากที่เด็กๆ ออกจากกรงเหล็กได้ พวกเขาก็พูดขอบคุณโห้หยูเซิงทีละคนอย่างดีใจ แม้ว่าใบหน้าของพวกเขาจะซีดเซียว แต่ในเวลานี้ ใบหน้าเล็กๆ ของพวกเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ
ตอนเด็กคนแรกพูดขอบคุณ โห้หยูเซิงไม่ได้มีอาการใดๆ จนกระทั่งเด็กคนที่สอง สาม และสี่พูดขอบคุณ สีหน้าของโห้หยูเซิงก็แปลกประหลาดไป
แต่ไม่นาน มันก็ถูกปกคลุมด้วยความว่างเปล่าอีกครั้ง
พอปลดล็อกกรงทั้งหมดแล้ว เขายืนอยู่ข้างหนึ่งเหมือนตุ๊กตาหุ่น ดวงตาของเขาว่างเปล่า ห่างไกลออกไปจากโลก
ในใจของเย้นหว่านไม่สามารถอธิบายความรู้สึกออกมาได้
เธอเดินไปยืนอยู่ข้างเขาอย่างเงียบๆ แต่ก็เว้นระยะห่างออกไปเล็กน้อย พอเห็นว่าเขาไม่มีอาการต่อต้านมาก จึงนั่งลง
จากนั้น เย้นหว่านก็มองไปที่กลุ่มเด็กที่ยืนอยู่ข้างหน้าเธอ แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เด็กๆ จ๊ะ เดี๋ยวน้าจะพาพวกหนูหนีออกไป แต่พวกหนูต้องร่วมมือกับน้าด้วย เพื่อที่เราจะได้กำจัดคนเลวที่อยู่ข้างนอกนั่นด้วย”
“ได้ครับ/ค่ะ!”
เด็กๆ ตอบตกลงพร้อมเพรียงกัน เสียงของเขาก็ดังเล็กน้อย ราวกับคุณครูกำลังสอนเด็กในโรงเรียนอนุบาล และเด็กๆ กำลังตอบคำถามอย่างกระตือรือร้น
เย้นหว่านตกใจเล็กน้อย เพราะกลัวว่าคนข้างนอกจะได้ยิน เขาจึงรีบส่งเสียงห้าม
เด็กๆ ก็มีปฏิกิริยาตาม แล้วรีบปิดปากของตัวเองไว้ แต่ละคนมีดวงตาเป็นประกายราวกับลิงน้อยขี้เล่น
เย้นหว่านตื่นตกใจ ก่อนที่เธอจะคุยกับเด็กๆ เกี่ยวกับแผนบางอย่าง แล้วบอกว่าพวกเขาต้องทำอะไรบ้าง
หลังจากพูดจบ เด็กส่วนใหญ่ยอมทำตาม แต่มีเด็กสองคนที่กลัว
“คุณน้าคะ หนูกลัว หนูไม่กล้า”
ในขณะพูด เด็กคนนั้นก็ยกมือไปจับแขนและขาเล็กๆ ของตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเขากลัวการถูกทำร้ายแล้ว
เย้นหว่านก้าวไปข้างหน้า แล้วกอดเด็กคนนั้นไว้ด้วยความสงสาร
เธอพูดปลอบโยนเขาอย่างอ่อนโยน และปลอบโยนเด็กคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
“ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ น้าบอกว่าจะพาพวกหนูออกไป ให้พวกหนูได้กลับไปหาพ่อกับแม่ พวกหนูจะได้ไม่โดนพวกคนเลวทำร้ายอีก”
“หนูไม่อยากโดนคนเลวทำร้าย หนูอยากกลับบ้าน”
พอพูดถึงการกลับบ้าน เด็กน้อยน้ำตาไหลออกมา แล้วมีความกล้าหาญและความมุ่งมั่นเพิ่มขึ้น
หลังจากพูดเกลี้ยกล่อมพวกเขาเสร็จ เย้นหว่านก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสารและเสียใจมาก
เด็กในกลุ่มคนที่มีอายุแค่สามขวบ ถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติ พวกเขาควรจะอยู่ในวัยเยาว์ที่ยังไม่ต้องทุกข์ใจอะไร ในแต่ละวันพวกเขาควรจะกินนอนเล่นแล้วก็ร้องไห้ก็พอ
แต่พวกเขาล่ะ หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ที่ราวกับฝันร้าย ก็ถูกบังคับให้เติบโตเร็วขึ้น
ไม่กล้าไม่โตขึ้น ไม่กล้าไม่รู้อะไรเลยอีก
อีกทั้งยังต้องต่อสู้อย่างใจกล้าเข้มแข็ง…
เย้นหว่านสูดหายใจ พยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา แล้วพูดให้กำลังใจทุกคน
“สู้ๆ เชื่อมั่นในตัวเอง เราต้องทำได้อย่างแน่นอน”
หลังจากที่เย้นหว่านจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เธอก็เลือกเด็กสาวที่ก่อนหน้านี้เลือกที่จะเชื่อใจเธอ อายุน่าจะประมาณสามขวบกว่า เธอดูฉลาดมีไหวพริบดี น่าจะร่วมมือกับเธอได้ดีที่สุด
เด็กสาวประหม่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีอาการหวาดกลัวเลย
เธอดูกล้าหาญ ไม่กลัวอะไร ถึงแม้จะบาดเจ็บไปทั้งตัว แต่สำหรับพวกผู้ชายที่ทำร้ายเธอพวกนั้น เธอมีแต่เกลียดชังและเคียดแค้น ไม่มีท่าทางหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
พูดตามตรง เย้นหว่านรู้สึกชื่นชมหัวใจของเด็กสาวคนนี้มาก
“ถังเซียง เริ่มตะโกนตามที่น้าสอนเลยจ๊ะ”
ถังเซียงเป็นชื่อของเด็กสาวคนนี้
เธอพยักหน้าอย่างแรง แล้วปีนขึ้นไปบนกรงเหล็ก ใกล้ที่นั่งคนขับ มือเล็กๆ ตบกระจกกั้นรถอย่างแรง
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย คุณลุง ช่วยด้วยค่ะ มีเด็กคนหนึ่งอ้วกออกมาเป็นฟองขาว น่ากลัวมากเลยค่ะ ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย…”
ถังเซียงร้องออกมาด้วยเสียงที่แหลมและสูง เพื่อให้แน่ใจว่าคนที่อยู่อีกด้านจะได้ยิน
วินาทีถัดมาก็มีเสียงตะโกนด่าดังออกมาจากที่นั่งคนขับ
“หุบปาก หยุดร้องเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่หยุดฉันจะฆ่าทิ้งให้หมดเลย”
“เขากำลังจะตายแล้ว ช่วยด้วยค่ะ มาช่วยเขาที พวกเรากลัว แงแงแง…”
ถังเซียงตะโกนไปด้วยร้องไห้ไปด้วย ฟังเสียงแล้วคงจะตกใจมากจริงๆ
ผู้ชายที่นั่งตำแหน่งคนขับถูกก่อกวนจนรำคาญ ในสถานการณ์แบบนี้ จะให้เด็กตะโกนมากไม่ได้ ไม่อย่างนั้น พวกที่อยู่ข้างหน้าได้ยินเข้า จะเกิดเรื่องเอาได้
เขาสบถด่าออกมาทันที “ได้ เดี๋ยวฉันจะลงไปดู หุบปากซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าแกซะ”