บทที่ 22: ฉันก็แค่อยากจะมีชีวิตอยู่
หวังเต็งออกมาจากโรงพักเมื่อใกล้เวลา 21.00 น. ก่อนหน้านี้เขาได้โทรไปที่บ้านและบอกพ่อแม่ว่าคืนนี้เขาจะไปทานอาหารเย็นกับเพื่อนร่วมชั้น
อย่างไรก็ตาม อันที่จริงเขาได้ถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจเพื่อบันทึกคำให้การของเขา
โชคดีที่หวังเต็งตกเป็นเหยื่อ ดังนั้นตำรวจจึงปล่อยตัวเขาไปหลังจากที่พวกเขาเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ผู้หมวดไปส่งหวังเต็งที่หน้าประตูเป็นการส่วนตัว จากนั้นเขาก็ส่งบุหรี่ให้หวังเต็ง
“ เอาไหม?”
หวังเต็งไม่ได้พิธีรีตอง เขาหยิบบุหรี่และใส่เข้าไปในปากของเขาโดยตรง
ทั้งสองจุดบุหรี่และเริ่มสูบบุหรี่กันที่หน้าสถานีตำรวจ
“ นายรู้วิธีสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุยังน้อยเลยนะ” หยางเฉินเฉายิ้มและหยอกล้อหวังเต็ง
“ อย่าใส่ใจมันเลย”
หวังเต็งถอนหายใจและส่ายหัว
หยางเฉินเฉาไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เขาละทิ้งท่าทีสบายๆและพูดอย่างจริงจังว่า “ โจรพวกนั้นหนีมาจากเมืองอื่นและมาที่เมืองตงไห่ของเรา พวกมันก่ออาชญากรรมที่ชั่วร้ายมามากมาย และพวกมันทั้งหมดก็เป็นอาชญากรที่ทุกฝ่ายต่างต้องการตัว”
“ นายเองก็น่าจะรู้ดีว่าพวกมันป่าเถื่อนและโหดร้ายขนาดไหน มือของพวกมันเปื้อนเลือดของผู้บริสุทธิ์มามากมาย”
“ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นายก็ได้กำจัดความชั่วร้ายเหล่านั้นเพื่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ด้วยการฆ่าพวกมันไปแล้ว ดังนั้นอย่ารู้สึกผิดหรือกดดันอะไรเลย”
หวังเต็งรู้สึกดีขึ้นมาในทันที
“ อย่างที่คาดไว้ พวกมันเป็นคนไม่ดี ถ้าฉันไม่ได้ถูกบังคับจนเข้าตาจนจริงๆ มีหรอที่นักเรียนต้นแบบอย่างฉันที่มีความสามารถรอบด้านทั้งด้านศีลธรรม ด้านสติปัญญา และด้านพละกำลังจะตอบโต้อย่างรุนแรงเช่นนั้น?”
หยางเฉินเฉา: …
เด็กเหลือขอคนนี้ดูไร้ยางอายเล็กน้อย
หยางเฉินเฉารู้สึกว่าความกังวลของเขามันดูค่าไปหน่อย จากนั้นเขาก็พูดอย่างไม่พอใจ “ หลังจากที่เราทำตามขั้นตอนของเราเสร็จแล้ว เราก็จะให้รางวัลนายด้วย ตรารางวัลและเงินรางวัล”
“ ห้ะ? คุณจะมอบตรารางวัลและเงินรางวัลกับฉันอย่างงั้นหรอ?” หวังเต็งรู้สึกตกใจเล็กน้อย เขารีบโบกมือแล้วพูดว่า “ นั่นไม่จำเป็น ฉันไม่สมควรได้รับมัน”
“ จริงหรอ? โจรกลุ่มนี้อยู่ในรายชื่อโจรที่รัฐต้องการตัวมาเป็นระยะเวลานาน อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่เคยมีใครสามารถจับพวกมันได้ ดังนั้นค่าหัวของมันจึงสูงมาก มันมากถึง 100,000!เลยนะ” หยางเฉินเฉาคิดว่าหวังเต็งไม่รู้ว่าเขากำลังปฏิเสธอะไร ดังนั้นเขาจึงอธิบายให้หวังเต็งฟัง
“ ฉันไม่ต้องการมันจริงๆ ฉันไม่ได้ขัดสนเงินทอง” หวังเต็งตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ นายไม่ต้องการเงินอย่างงั้นหรอ?” หยางเฉินเฉาพูดไม่ออก เจ้าเด็กนี่ช่างหยิ่งซะจริง
“ งั้นเอางี้เป็นไง ฉันจะบริจาคเงินส่วนนี้ให้กับทางสถานีตำรวจ คุณคอยผู้รับใช้ประชาชน ซึ่งนั่นก็เป็นงานที่หนัก ดังนั้นคุณก็สามารถใช้มันเพื่อเป็นการขอบคุณฉันได้” หวังเต็งกล่าว
“ งั้นก็ให้ฉันเป็นตัวแทนของตำรวจได้กล่าวขอบคุณแทนพวกเขานะ” หยางเฉินเฉาเต็มไปด้วยความเคารพอย่างลึกซึ้ง
“ ใช่แล้ว ผู้หมวดหยาง ก่อนที่ฉันจะถูกจับเป็นตัวประกัน รถของฉันก็ได้ถูกทิ้งไว้กลางถนน เพราะฉะนั้นแล้วคุณพอจะช่วยตรวจสอบให้ทีได้ไหมว่ามันไปไหนแล้ว”
หวังเต็งนึกถึงรถสปอร์ตของเขาที่ติดอยู่ในการจราจร
“ ได้สิ ฉันจะโทรไปถามให้”
หลังจากเขาโทรออกไป เขาก็พูดประโยคสองสามประโยค จากนั้นเขาก็ถามหวงัเต็งเกี่ยวกับหมายเลขทะเบียนรถของเขา
“ มันถูกลากไปแล้ว มาเถอะ เดี๋ยวฉันจะพานายไปรับรถของนายเอง” หยางเฉินเฉาวางสายและพูด
“ ตกลง” หวังเต็งพยักหน้าและเดินตามชายคนนั้นไป
“ พูดตามตรง การโจมตีของนายนั้นมันดูโหดเหี้ยมไปหน่อยนะ”
ขณะที่เดินไป หยางเฉินเฉาก็หันไปพูดกับหวังเต็ง
“ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ ดังนั้นฉันเลยไม่รู้วิธีควบคุมพลังของตัวเองเท่าไหร่น่ะ” หวังเต็งกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
“ เมื่อเทียบกับนายแล้ว ครั้งแรกของฉันมันก็แตกต่างกันมาก ฉันเกือบจะล้มเหลวอย่างน่าสังเวชในงานง่ายๆ แต่โชคดีที่รุ่นพี่ช่วยฉันไว้” หยางเฉินเฉานึกถึงความทรงจำของเขา
จากนั้นเขาก็อุทานออกมาว่า “ นายยังเด็กมาก แต่นายก็เป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูงแล้ว นายแข็งแกร่งกว่าฉันมาก ฉันเชื่อเลยว่าภายในสองปีนี้ นายก็จะสามารถเป็นนักสู้ได้อย่างแน่นอน!”
“ ผู้หมวดหยาง คุณก็ชมฉันเกินไป ฉันก็แค่โชคดีเท่านั้น” หวังเต็งตอบอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ก็มาถึงที่หมาย พวกเขาถูกขอให้เซ็นเอกสารก่อนรับรถคืน หยางเฉินเฉามองไปที่รถสปอร์ตที่อยู่ข้างหน้าเขาและพูดไม่ออก
“ ไม่น่าแปลกใจที่นายจะรู้สึกว่าเงิน 100,000 หยวนนั้นไม่มีค่าอะไรเลย นายไม่ต้องการเงินจริงๆด้วย”
หวังเต็งขึ้นรถและโบกมือให้หยางเฉินเฉา
“ ผู้หมวดหยาง ขอบคุณสำหรับวันนี้ แต่ฉันต้องกลับบ้านแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นพ่อแม่ของฉันจะเป็นห่วงเอาได้”
“ ด้วยความยินดี ฉันเกือบลืมไปว่านายเป็นนักเรียนมัธยมปลาย เอาล่ะ รีบกลับบ้านเถอะ” หยางเฉินเฉาพยักหน้า
…
ชายอายุประมาณ 30 ปีเดินมาข้างๆหยางเฉินเฉาที่กำลังเฝ้าดูรถสปอร์ตขับออกไปในระยะไกล เขาถามว่า “ ภูมิหลังของชายหนุ่มคนนี้เป็นยังไงกัน? เขาสามารถทำให้นายต้องออกมาส่งเขาเป็นการส่วนตัวได้เลยอย่างงั้นหรอ?”
“ เขาไม่ได้เป็นใครหรือใหญ่มาจากไหนหรอก แต่เขาเป็นศิษย์นักสู้ชั้นสูง และวันนี้เขาก็ได้ฆ่าอาชญากรห้าคนที่มีปืนรูนฟอร์สอยู่ในครอบครองด้วยมือเปล่า” หยางเฉินเฉาตอบ
“ ศิษย์นักสู้ขั้นสูง!”
ชายคนนั้นประหลาดใจ “ เขาเพิ่งจะอายุประมาณ 17 ใช่ไหม? ถึงกระนั้นเขาก็สามารถเป็นศิษย์นักสู้ชั้นสูงด้แล้วอย่างงั้นหรอ? แถมเขายังจัดการฆ่าอาชญากรห้าคนที่ครอบครองปืนรูนฟอร์สอยู่ด้วยมือเปล่า นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?”
“ ใครจะไปรู้ล่ะ? แต่เขาช่าง… น่าทึ่งจริงๆ ฉันเกรงว่าเมื่อเราเจอเขาในอนาคตอีกที ฉันก็คงจะทำได้แค่มองแผ่นหลังของเขาเท่านั้น” หยางเฉินเฉาอุทานออกมา
ชายคนนั้นพยักหน้าเห็นด้วย
…
หวังเต็งไม่รู้ว่าการสนทนานั้นเกิดขึ้นอยู่ด้านลังเขา เขาแค่ขับรถออกไปยังสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้
หลังจากที่เขาไปถึงสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้ เขาก็ตรงไปที่ชั้นสอง
เมื่อมองไปที่เหล่าศิษย์ที่กำลังฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งในห้องฝึกอบรม ความกังวลใจของเขาก็เริ่มสงบลง
หวังเต็งเดินรอบห้องโถงและเก็บฟองสบู่ที่ดรอปออกมา จากนั้นเขาก็เดินไปข้างหน้ากระสอบทรายและเริ่มฝึกทักษะหมัดของเขา
ปัง ปัง ปัง!
หวังเต็งต้องการช่องทางในการปลดปล่อยอารมณ์ของเขา เขาต้องการปลดปล่อยความเครียดและแรงกดดันที่สะสมอยู่ในหัวใจของเขา ดังนั้นเขาจึงซัดกระสอบทรายอย่างโกรธจัด แขนของเขาก่อตัวเป็นเงาที่เลือนลางขณะที่เขาซัดกระสอบทราย
กระสอบทรายเริ่มสั่นอย่างรุนแรงจากแรงต่อยของเขาราวกับว่ากำลังประสบกับพายุ
ศิษย์ข้างๆเขาเดินถอยหลังไปสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นการกระทำบ้าๆ ของเขา… นี่มันน่ากลัวมาก! คนนี้เป็นคนบ้าหรือเปล่า? พวกเขาต้องอยู่ให้ห่างจากเขาให้มากที่สุดถึงจะดี!
ในขณะที่หวังเต็งกำลังฝึกทักษะหมัดของเขา ภาพที่เขาฆ่าโจรทั้งห้าก็ยังคงเล่นซ้ำไปมาในใจของเขา
ถ้าเขาได้เจอเหตุการณ์แบบนั้นอีกครั้ง เขาจะยังโจมตีอย่างโหดเหี้ยมเช่นนั้นหรือไม่?
คำตอบก็คือ…ใช่!
เขาไม่ชินกับมัน แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาทำผิด
คนที่ฆ่าคนอื่นจะถูกคนอื่นฆ่ากลับ!
นอกจากนี้ ในสถานการณ์นั้น พวกโจรก็จะต้องฆ่าเขาอย่างแน่นอนถ้าเขาไม่ฆ่าพวกมัน
พวกมันมีปืนรูนฟอร์ส ถ้าเขาไม่ระวังให้มากพอ เขาก็จะเป็นคนที่ถูกฆ่าตาย ความเมตตาจะหาไม่เจอในสถานการร์แบบนั้น เขาจะทำทุกอย่างเพราะ… เขาแค่อยากจะมีชีวิตอยู่
หลังจากที่เขาฝึกทักษะหมัดเสร็จแล้ว เขาก็เริ่มใช้ทักษะดาบและมีด
หวังเต็งไม่ต้องการหยุดแม้แต่วินาทีเดียว เขาต้องการที่จะฝึกจนหมดแรง นั่นเป็นวิธีเดียวที่เขาจะสามารถปลดปล่อยความกดดันทั้งหมดได้
ด้วยเหตุนี้เอง หวังเต็งจึงฝึกฝนจนถึงเวลา 23.00 น. หลังจากที่ศิษย์คนอื่นๆกลับไป เขาก็ลากร่างที่เหนื่อยล้าไปที่รถแล้วขับรถกลับบ้าน
เมื่อเขากลับถึงบ้าน ในที่สุดเขาก็รู้สึกโล่งใจและสงบสุขอย่างแท้จริง
“ ลูกไม่ได้ไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนร่วมชั้นอย่างงั้นหรอ? ทำไมลูกถึงไปสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้แทนล่ะ?”
หลี่ซิ่วเหม่ยอดไม่ได้ที่จะถามเมื่อเธอเห็นหวังเต็งที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อและใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้า
“ ผมไปที่นั่นหลังอาหารเย็น เราต้องฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อย่างสม่ำเสมอ” หวังเต็งยิ้มและตอบ
“ โธ่ลูกแม่ คราวนี้ลูกจริงจังมากจริงๆ” หลี่ซิ่วเหม่ยกล่าวด้วยความโล่งใจ
“ รีบไปอาบน้ำเถอะ แม่จะทำอาหารเย็นให้ลูกเอง”
ความห่วงใยและความเอ็นดูของหลี่ซิ่วเหม่ยทำให้หัวใจที่เย็นชาของหวังเต็งอบอุ่นขึ้น เขายิ้มและเดินขึ้นไปชั้นบน
เขาหยิบเสื้อผ้าและเข้าห้องน้ำไป จากนั้นเขาก็เปิดก๊อกน้ำ
น้ำเย็นไหลกระเซ็นลงบนร่างกายที่อ่อนล้าของเขา และล้างทุกอย่างออกไป
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว หวังเต็งก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขารู้สึกเบาและเป็นอิสระ เขาเป่าผมให้แห้งและลงไป
“ ว้าว นี่มันกลิ่นหอมจริงๆ แม่ทำอาหารอะไรกินอย่างงั้นหรอ?”
“ บะหมี่ไข่ที่ลูกชอบไง แม่ใช้เนื้อสัตว์อสูรดาราทำซุปและใส่เนื้อมันเข้าไปด้วยนะ เอาล่ะ มากินกันเถอะ” หลี่ซิ่วเหม่ยถือชามก๋วยเตี๋ยวและเดินออกจากครัว
“ ไม่น่าแปลกใจที่มันมีกลิ่นที่แตกต่างกัน มันหอมยิ่งกว่าปกติอีก” หวังเต็งหยิบตะเกียบของเขาขึ้นมาด้วยความกระหายและซัดบะหมี่คำโต
“ นี่มันอร่อยมาก”
หวังเต็งกลืนทุกอย่างลงในท้องของเขาเหมือนปลาวาฬ ไอร้อนไหลออกจากปากของเขาขณะที่เขากินมันโดไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
“ กินให้เยอะๆนะลูก การฝึกศิลปะการต่อสู้นั้ต้องใช้พลังงานเยอะมาก ดังนั้นลูกก็จะต้องเติมเต็มความแข็งแกร่งของลุกให้พร้อม” หลี่ซิ่วเหม่ยกล่าว
“ เข้าใจแล้ว”
หวังเต็งกินบะหมี่หมดเกินครึ่งภายในไม่กี่คำ เขาเงยหน้าขึ้นและถามว่า “ แม่ พ่ออยู่ที่ไหนกัน? ทำไมผมไม่เห็นเขาเลย”
“ เขาไปต่างประเทศเพื่อทำธุรกิจ เขาน่าจะไม่กลับมาอีกในช่วงสองวันข้างหน้า” หลี่ซิ่วเหม่ยตอบ
“ ผมเข้าใจแล้ว”
หวังเต็กินบะหมี่เสร็จอย่างรวดเร็วและตบท้องด้วยความพึงพอใจ จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นและเหยียดหลังของเขา
“ ผมอิ่มแล้ว งั้นผมขึ้นไปพักผ่อนแล้วนะ”
“ เดี๋ยวแม่ล้างจานเสณ้จ แม่ก็ไปนอนแล้ว” หลี่ซิ่วเหม่ยตอบ
หวังเต็งกลับไปที่ห้องของตัวเองและหยิบโทรศัพท์ออกมา
มันมีข้อความที่ยังไม่ได้อ่านสองสามข้อความบนวีแชทของเขา
ไป่เว่ยได้ทิ้งข้อความไว้สองสามข้อความ เธอถามเขาว่าเขากำลังทำอะไรอยู่และอีกอันหนึ่งก็มาจากหยูห่าว เพื่อนคนนี้ต้องการฝึกศิลปะการต่อสู้กับเขา
พวกเขาส่งข้อความมาตอนที่เขากำลังถูกจับเป็นตัวประกัน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตอบกลับได้ในตอนนั้น
และเนื่องจากมันดึกมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ส่งข้อความกลับไปหาพวกเขา และเขาก็ตัดสินใจที่จะรอจนถึงพรุ่งนี้
หวังเต็งใช้คอมพิวเตอร์ท่องอินเทอร์เน็ตอยู่พักหนึ่ง เขาเห็นว่าชาวเน็ตหัวแข็งบางกลุ่มกำลังทะเลาะกันและล้อเลียนคนอื่น เมื่อเขาเริ่มง่วง เขาก็ปีนขึ้นไปบนเตียงด้วยอารมณ์ที่มีความสุขและกล่าวราตรีสวัสดิ์กับตัวเอง
จากนั้นเขาก็หลับตาลงและเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝัน