หลังจากความวุ่นวายสงบลง เด็กๆ ก็นิ่งสงบลงอีกครั้ง
เย้นหว่านไม่กล้าที่พูดอะไรตามใจชอบอีกต่อไป แต่ในใจของเขาเหมือนมีลูกไฟกำลังเคลื่อนไหวไปทั่วทั้งตัว แผดเผาจนเธอหวาดหวั่น
เธอเป็นห่วงแรบบิทมาก
เธอไม่แน่ใจว่าลูกสาวของเธอจะอยู่ที่รถอีกคันหรือเปล่า แล้วถ้าไม่อยู่ล่ะ?
เธอไม่กล้าคิดเลย
รถแกว่งไปมา ไม่รู้ว่าขับออกมาไกลแค่ไหนแล้ว
เสียงของโห้หลีเฉินดังมาจากหูฟังหลังจากที่เงียบมานาน
“เย้นหว่าน”
เย้นหว่านกระซิบตอบ “ค่ะ”
“ฟังผมนะ คุณกำลังจะถูกพาออกไปนอกเมือง องค์กรนี้มีร้ายกาจมาก ในขณะที่ตระกูลหยูปิดล้อมตัวเมืองไว้ ยังสามารถออกไปได้ มันไม่ใข่โจรลักพาตัวธรรมดาแน่ๆ
ถ้าถูกพวกเขาพาออกไป มีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุที่ควบคุมไม่ได้ขึ้น ดังนั้นคุณห้ามตามออกไปนอกเมืองเด็ดขาด”
“แล้วจะทำยังไงดีคะ” เย้นหว่านถามอย่างตื่นกลัว “จะปล่อยลูกไว้ที่นี่คนเดียวไม่ได้”
“ผมมีแผนที่ค่อนข้างจะเสี่ยง” โห้หลีเฉินที่พูดอยู่หยุดพูดไป หลังจากลังเลอยู่สักพัก ก็พูดต่อ “ผมตามคุณไปไม่ทัน แต่คนของตระกูลหยูที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น พวกเขาตามทัน”
เย้นหว่านตกใจ ตระกูลหยู?
ตระกูลหยูได้ตั้งด่านเพื่อจับพวกเธอและลูกๆ อยู่ หรือเธอต้องเลือกระหว่างถูกองค์กรร้ายจับตัวไปกับถูกตระกูลหยูจับตัวไปอย่างนั้นเหรอ?
มันน่าหมดหวังเกินไปแล้ว ทั้งสองทางไปล้วนเดินไปสู่ความตายชัดๆ
“เย้นหว่าน ผมจะปล่อยข่าวให้ตระกูลหยู พวกเขาจะมาสกัดกั้นและตรวจสอบบนรถของ บนรถของพวกเขามีเด็กอยู่ ต้องไม่ยอมให้ค้นแน่นอน ถึงตอนนั้นพวกเขาอาจจะมีการต่อสู้กัน
คุณใช้โอกาสจากความวุ่นวายนี้ หาทางหนีออกมาให้ได้ ถ้าไม่ไหว ก็หนีไปซ่อนตัวไว้ก่อน ขอแค่ปกป้องตัวเองและลูกๆ ให้ปลอดภัย รอจนกว่าผมจะมารับ”
เสียงของโห้หลีเฉินนั้นเคร่งขรึมและยับยั้งอารมณ์ตัวเองอย่างสุดกำลัง การตัดสินใจครั้งนี้เป็นเรื่องลำบากใจสำหรับเขา
แต่มันเป็นวิธีเดียว
“ผมจะมาให้เร็วที่สุด ก่อนหน้านั้น คุณต้องปกป้องตัวเองให้ดี ทำได้ไหมครับ”
เย้นหว่านขนลุกซู่ไปทั้งตัว
ถ้ามีคนในองค์กรนี้เห็นเธอ พวกเขาอาจจะฆ่าเธอทิ้งทันที
ถ้าตระกูลหยูพบเธอ พวกเขาก็จะจับเธอไปทันที แล้วพาเธอกลับไปตระกูลหยู ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของหยูฉู่สอง คิดจะหนีออกมา จะมีชีวิตรอดออกมาได้ ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ซะอีก
อีกทั้งเพราะเธอ ตระกูลเย้นกับโห้หลีเฉินอาจจะถูกควบคุมไปด้วย
ทั้งสองทางก็เหมือนทางตัน ทางรอดทางเดียวของเธอ ก็คือในช่วงที่เกิดสถานการณ์วุ่นวาย เธอต้องหนีไปซ่อนตัว ปกป้องตัวเองและลูกๆ ให้ปลอดภัย
แต่ระดับความยากนี้ เทียบเท่ากับการให้คนที่กลัวความสูง ไปเดินไต่เชือกบนหน้าผา
“ฉันทำได้ค่ะ”
เธอกัดฟันตอบกลับอย่างมั่นใจ เธอมองไปทางโห้หยูเซิงที่ได้รับบาดเจ็บทั่วร่างผ่านช่องว่างของกล่อง และยิ่งมั่นใจอย่างชัดเจน เธอต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ จะถอยหลังไม่ได้อีกแล้ว
เธอต้องปกป้องลูกๆ ของเธอ
โห้หลีเฉินนิ่งเงียบไปหลายวินาที
หลังจากผ่านไปได้สักพัก เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ต้องปกป้องตัวเองให้ดีนะนะครับ ที่รัก”
พระเจ้ารับรู้ ว่าตอนนี้เขากังวลมากแค่ไหน ร้อนรนมากแค่ไหน
เขาแทบอยากจะบินไปหาเธอทันทีเลย
แต่ถ้าพวกเขาเร่งรีบเกินไปจะทำให้คนของตระกูลหยูรู้สึกตัวได้ ระหว่างทางพวกเขาปะทะไปสองกลุ่มแล้ว และตรงหน้าก็มีมาอีกกลุ่มหนึ่ง
โห้หลีเฉินปิดหูฟัง ดวงตาของเขาแดงก่ำ บนร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบรรยากาศที่น่ากลัวและอันตราย
คำพูดหนึ่ง เล็ดลอดออกมาจากลำคอ
“ฆ่า!”
……
ตามที่โห้หลีเฉินพูด ผ่านไปสักพัก รถที่โยกเยกไปมาก็หยุดลง
คงจะถูกสกัดตรวจแล้ว
ตรงด้านหน้า มีเสียงพูดคุยและต่อรองกันอย่างแผ่วเบา
ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะไม่พอใจการเจรจา ต่างฝ่ายต่างก็สงสัยกัน จึงทะเลาะกันไม่หยุด
เย้นหว่านสูดหายใจเข้าลึก
เวลานี้แหละ
เธอฉีกกล่องกระดาษออกไป แล้วเผยให้เห็นใบหน้าครึ่งหน้าของเธอ ใบหน้าของเธอประดับด้วยรอยยิ้มที่ใจดี เธอหันหน้าเข้าหาพวกเด็กๆ
“เด็กๆ จ๊ะ ไม่ต้องกลัวนะ น้ามาช่วยพวกหนู”
พอเห็นว่ามีคนออกมาจากกล่อง พวกเด็กๆ ตกใจกลัวกันมาก พวกเขากำลังจะร้องไห้และกรีดร้อง แต่พวกเขาได้ยินคำพูดของเย้นหว่าน ทุกคนก็นิ่งเงียบไป
พวกเขาเบิกตาโต แล้วมองไปทางเย้นหว่านอย่างระวังตัว
เธอเหมือนคุณน้าที่ทั้งสวยทั้งอ่อนโยน และดูใจดีกว่าผู้ชายที่ดุร้ายและน่ากลัวที่อยู่ข้างนอกพวกนั้น
แม้ว่าเด็กๆ จะยังอายุน้อย แต่ในสถานการณ์อย่างนี้ พวกเขาหวังว่าจะได้รับการช่วยเหลือหนีไปจากที่นี่
เน้นหว่านบอกว่ามาช่วยพวกเขา และทำให้พวกเขารู้สึกใกล้ชิด ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
เมื่อเห็นว่าเด็กๆ ไม่ได้ส่งเสียงดังแล้ว เย้นหว่านก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนว่าขั้นตอนแรก จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เดี๋ยวน้าจะปลดล็อกกรง แล้วพาพวกหนูออกไป พวกหนูต้องฟังที่น้าพูดรู้ไหม”
เด็กที่ถูกลักพาตัวมา บางคนถูกลักพาตัวมา บางคนถูกหลอกมา
พอเจอเหตุการณ์ไม่ดีมาก่อน ทำให้ความไร้เดียงสาของพวกเขาลดน้อยลง และระมัดระวังตัวมากขึ้น จึงไม่ตอบตกลงในทันที
ในรถตกอยู่ในความเงียบอยู่หลายวินาที
ในขณะที่เย้นหว่านกำลังจะพูดเกลี้ยกล่อมให้พวกเด็กๆ เชื่อเธอ ก็มีเสียงของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ดังขึ้นมา
“ได้ค่ะ หนูอยากออกไปข้างนอก หนูจะเชื่อฟังคุณ”
อีกฝ่ายเป็นเด็กผู้หญิงอายุสองถึงสามขวบ เธอมีมารยาทดีมาก บนตัวมีบาดแผลเต็มตัว
เย้นหว่านมองมาที่เธอ แล้วรู้สึกว่าใบหน้าของเธอดูคุ้นมาก เหมือนเคยเห็นเธอจากที่ไหนสักแห่งมาก่อน แต่เธอก็จำไม่ได้แล้ว
เธอไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้ เย้นหว่านพูดกล่อมเด็กๆ “เด็กดี น้าสัญญาว่าจะพาหนูหนีออกไปอย่างปลอดภัย”
พอมีเด็กหญิงตัวเล็กๆ เป็นผู้สนับสนุน เด็กคนอื่นๆ ก็เริ่มเชื่อเย้นหว่านแล้ว มีเด็กสองคนยอมรับ
ส่วนเด็กคนอื่นๆ นิ่งเงียบ ไม่แสดงความคิดเห็น และไม่พูดอะไร
ไม่เป็นไร ขอแค่พวกเขาไม่ตะโกนเสียงดังจนดึงดูดผู้คนข้างนอกก็พอ
เย้นหว่านนั่งลงข้างๆ กรงของโห้หยูเซิงทันที แล้วพยายามปลดล็อกมันด้วยความรู้ที่เธอเคยได้เรียนรู้มาจากป่ายฉีกับเย้นโม่หลิน
ตัวล็อกนี้มีถูกจัดทำขึ้นมาโดยเฉพาะ แตกต่างจากตัวล็อกทั่วไป
เธอพยายามอยู่นาน ใช้วิธีการทั้งหมดที่มี แต่ก็ยังปลดล็อกไม่ได้อยู่ดี
เย้นหว่านเริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมาแล้ว
อยากจะช่วยเด็กๆ รอให้โห้หลีเฉินมา การปลดล็อกกุญแจเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด
การเจรจาและการเคลื่อนไหวภายนอกเริ่มเบาลงเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าพวกเขาเจรจากันยังไง กลัวว่าองค์กรนี้จะมีความสามารถที่จะทำให้ตระกูลหยูยอมเชื่อ
จะล่าช้าไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
เย้นหว่านร้อนใจมาก เธอแทบอยากจะทุบล็อกให้พังด้วยหิน
ในเวลานี้ มือเล็กๆ สีขาวสองข้างก็ยื่นออกมาจากกรง วางมือลงบนตัวล็อก แค่พลิกไปมาเล็กน้อย ก็มีเสียง “แกร๊ก” ดังขึ้นมา ตัวล็อกก็ถูกปลดออกอย่างง่ายดาย
เย้นหว่านตกตะลึง
เธอมองโห้หยูเซิงที่ปลดล็อกกุญแจด้วยสายตาตะลึงงัน เด็กน้อยคนนี้ ที่ไม่พูดอะไรสักคำ แต่กลับเก่งกาจได้ขนาดนี้?
เขาไม่เคยเรียนวิธีปลอดล็อกมาก่อน นี่เขาเป็นเด็กอัจฉริยะอย่างนั้นเหรอ?
เย้นหว่านตื่นเต้นดีใจมากจนอยากจะกอดเขาและจูบเขาอย่างแรง
สมแล้วที่เป็นลูกชายของเธอ แต่ฉลาดมากจริงๆ