เธออยากจะแฝงตัวเข้าไปในคุณหมอพวกนี้ ตามเข้าไปใกล้ชิดแรบบิท
เธออยู่ข้างใน พวกโห้หลีเฉินอยู่ข้างนอก จะได้ประสานงานกันภายในและภายนอก
โห้หลีเฉินแค่ฟังก็คัดค้านโดยจิตใต้สำนึก “ไม่ได้ อันตรายเกินไป”
“หาชัยชนะในอันตราย ฉันทำได้”
เย้นหว่านพยายามขอร้องโห้หลีเฉินให้เห็นด้วย วิธีนี้ถึงแม้จะอันตราย แต่ว่าก็อาจจะสำเร็จมากที่สุด ช่วยแรบบิทออกมาได้อย่างปลอดภัย
“อีกอย่าง แรบบิทตอนนี้โดนฉีดยาไปแล้ว เวลาเหลือไม่มากแล้ว ถ้าหากสามารถแย่งชิงเธอออกมาได้ ก็ดีน่ะสิ จะได้ขอให้ป่ายฉีช่วยรักษา ถ้าหากครึ่งชั่วโมงยังไม่มีทางแย่งชิงออกมาได้ล่ะ? ฉันก็เรียนวิชาแพทย์มาจากป่ายฉีเป็นเวลานานไม่น้อย อาจจะพอช่วยแรบบิทได้บ้าง”
โห้หลีเฉินยังคงขมวดคิ้วแน่น
เขาไม่วางใจที่สุดก็คือความปลอดภัยของเย้นหว่าน แต่ว่าสถานการณ์ปัจจุบัน จริงที่ทำสองอย่างพร้อมกันแบบนี้ ถึงจะดีที่สุด”
“โห้หลีเฉิน เชื่อฉัน”
เย้นหว่านแววตาชัดเจน
โห้หลีเฉินยังคงอยู่ในความเยือกเย็น เม้มปากแน่น ผ่านไปสักพัก ถึงจะอ้าปากพูดเสียงแหบพร่า
“อย่าทำอะไรวู่วามเด็ดขาด ผมจะดูคุณอยู่ตลอด”
ได้รับการยินยอมจากโห้หลีเฉิน พวกเขาถือโอกาสตีหมอคนสุดท้ายให้สลบอย่างเงียบๆ แล้วให้เย้นหว่านเปลี่ยนชุดของเขา แล้วค่อยๆตามอยู่ด้านหลังของทีม
ตลอดทางให้ความร่วมมือโดยปริยาย พวกคุณหมอเดินอย่างรีบเร่ง เลยไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ
ก็แบบนี้ เย้นหว่านตามหมอทีมนี้ เข้าไปในห้องห้องหนึ่ง
เธอพริบตาก็เห็นแรบบิทนอนอยู่บนเปลกำลังดิ้นรนเจ็บปวด ใบหน้าเล็กๆของเธอแดงฉาน เหมือนเส้นเลือดกำลังจะแตกออกมา ผิวหนังบนร่างกายก็มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ราวกับว่าจะระเบิดและตายได้ทุกเมื่อ
เย้นหว่านสูดหายใจเข้า เกือบจะทนไม่ไหวร้องไห้ออกมา
เธอรีบเอามือปิดหน้ากากไว้แน่น ถึงจะควบคุมเสียงของตัวเองไว้ได้
“ฮือๆๆ…เจ็บ…แม่…แม่ช่วยหนูด้วย…ปาปาช่วยด้วย…เจ็บ แรบบิทเจ็บจังเลย…”
แรบบิทร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเจ็บปวด ทนกับความเจ็บปวดที่แสนทรมาน
ร่างกายของเธอเกือบจะบิดเบี้ยวทั้งหมด
สั่นไหว
เย้นหว่านตาแดงก่ำ แทบจะทรุด แข็งทื่อไปทั้งตัว สายตาจับจ้องไปยังร่างของแรบบิทอย่างสิ้นหวัง อดไม่ได้อยากจะช่วยเธอทนรับมันแทน
เจมส์กวาดสายตามองหมอกลุ่มนี้ไปเรื่อย พร้อมพูดเสียงเย็นชาว่า:
“สาวน้อยคนนี้ใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว พวกแกรีบๆหาวิธีช่วยเธอ”
พวกคุณหมอถึงจะคิดว่าไม่มีทางช่วยได้ แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของหัวหน้า ทุกคนตอบตกลง
จากนั้นก็ล้อมรอบข้างๆเปล
เย้นหว่านก็เดินตามเข้าไป ยิ่งเดินใกล้เข้าไป เธอก็ยิ่งได้กลิ่นคาวเลือดบนตัวของแรบบิทชัดเจน แสบจมูกอย่างรุนแรง บีบหัวใจ
ทั้งตัวเธอสั่นเทา อดที่จะคว้ามือเล็กๆของแรบบิทเอาไว้ไม่ไหว บอกเธอว่าแม่อยู่นี่
แต่เธอไม่สามารถทำได้
ในเวลานี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของแรบบิท เธอจะต้องใจเย็น ใจเย็น
ที่นี่เป็นห้องปิดล็อกห้องหนึ่ง แม้แต่หน้าต่างก็ติดเหล็กดัดทั้งหมด อยากจะออกไปมีแต่ต้องไปที่ทางเข้าหลัก
และภายในห้องนอกจากเจมส์ ฝู้ยวนและกลุ่มคุณหมอแล้ว ยังมีบอดี้การ์ดอีกสองสามคน โดยเฉพาะหัวหน้าบอดี้การ์ดคนนั้น…
รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางเยือกเย็นน่าหวาดกลัว ให้ความรู้สึกเหมือนกันกับผู้หญิงคนก่อนหน้านี้มาก
เกรงว่า จะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง
มีเขาอยู่ คงจะชิงตัวแรบบิทออกไปจากที่นี่ได้ยาก
เย้นหว่านเหมือนจะตัดสินสถานการณ์ออกในพริบตา เธอและโห้หลีเฉินปรึกษากันมาแล้ว ถ้าหากอยู่ในเงื่อนไขที่ชิงตัวคนมาได้ เธอก็จะไอ ผ่านหูฟังเพื่อบอกโห้หลีเฉิน ถ้าหากเงื่อนไขไม่สามารถทำได้ เธอก็จะไม่พูด เขาก็ไม่ต้องบุกเข้ามา
สถานการณ์ตอนนี้ ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด จะต้องอยู่ในนี้
ครึ่งชั่วโมงคงพาแรบบิทออกไปไม่ได้แล้ว
เย้นหว่านพยายามสงบนิ่ง ระงับในใจที่กำลังร้องไห้อย่างใจสลาย เอื้อมมือไปตรวจอาการของแรบบิทอย่างระมัดระวัง
ข้างๆตัว พวกคุณหมอกำลังกระซิบแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอาการของเธอ
“เด็กคนนี้อาการอันตรายมาก แนวโน้มแบบนี้ เกรงว่าจะไม่รอดแล้ว”
“ใช่น่ะสิ เด็กคนก่อนหน้านี้มาถึงขั้นนี้ ล้วนตายกันหมด”
“นี่จะให้เราช่วย จะช่วยได้ยังไง?”
เสียงของพวกเขาเบามาก ไม่ให้เจมส์ได้ยิน แต่เย้นหว่านอยู่ข้างๆ ได้ยินอย่างชัดเจน
มือเท้าของเธอเย็นเฉียบทันที
ไม่รอดแล้ว?
แรบบิทจะตาย?
ไม่ เธอไม่อนุญาต แรบบิทจะตายไม่ได้ เธอยังเด็กขนาดนี้ ยังมีชีวิตอีกทั้งชีวิตที่ต้องเดิน!
เธอจะตายไม่ได้
เย้นหว่านจิตใจสับสนวุ่นวาย นิ้วที่สั่นไหวเข้าไปสัมผัสแรบบิท บนผิวของเธอล้วนมีแต่เลือด เหนียวเหนอะหนะ
เธอเพิ่งจะสัมผัส ราวกับมีโทรจิต มือเล็กๆของแรบบิทคว้าเธอเอาไว้
“แม่!”
แรบบิทมองดูเธอและตะโกนร้องไห้
เย้นหว่านหัวใจราวกับถูกทำให้แตกสลาย ณ ตอนนั้น เจ็บปวดหัวใจจนใกล้บ้า
ส่วนคนอื่นๆก็เพราะเสียงนี้ ทั้งหมดหันมามองที่เย้นหว่าน หลายคนรู้สึกแปลกๆ มีบางคนมองสังเกตเธออย่างระแวดระวังทันที
เย้นหว่านสนใจมากขนาดนั้นที่ไหน จับมือเล็กๆของแรบบิทไว้แน่น
“อย่ากลัว ฉันจะช่วยหนูเอง หนูจะต้องผ่านไปได้แน่นอน”
แรบบิทน้ำตาไหลทีละหยด เหมือนจะมีความกล้าขึ้นมาหน่อยอีกครั้ง เธอยังคงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด
“ฮือๆๆ…แม่…แม่ช่วยด้วย แม่ช่วยแรบบิทด้วย…”
เธอสายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด มองเย้นหว่าน แล้วก็มองเพดานร้องออกมาอีกครั้ง
ท่าทางแบบนี้ เจ็บจนจะเป็นลมแล้ว
“เด็กคนนี้เจ็บจนใกล้จะหมดสติแล้ว”
อีกด้าน คุณหมอก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง ถอนหายใจ
เด็กหลายคนตอนที่ฉีดยาแล้วทนไม่ไหว ล้วนร้องเรียกไปเรื่อย แล้วก็จำคนผิดด้วย
เพราะงั้นคว้ามือของหมอแล้วเรียกแม่ ก็อยู่ในเหตุการณ์ปกติ
พอพูดแบบนี้ คนอื่นๆก็ไม่ได้สนใจแล้ว
เพียงแต่ฝู้ยวน มองเย้นหว่านด้วยสายตาลึกล้ำ เต็มไปด้วยการสำรวจอย่างถี่ถ้วน
เย้นหว่านไม่สนใจอะไรมากมายแล้ว ทำได้แค่ฝืนทำเป็นนิ่งเฉย รวบรวมสมาธิไปตรวจสอบอาการของแรบบิท คิดหาวิธีช่วยเธอ
ในขณะเดียวกัน
โห้หลีเฉินและเด็กหนุ่มอยู่ข้างๆห้องนี้ พวกเขาแอบเข้าไปในห้องข้างๆ
โห้หลีเฉินใช้อุปกรณ์ที่พกมาติดบนผนัง แอบฟังเสียงทางนั้น ในขณะเดียวกันก็ถือเครื่องสแกนอันหนึ่ง สามารถมองเห็นว่าฝั่งตรงข้ามมีกี่คน ยืนอยู่ตำแหน่งไหน
เขายังเอาของสีดำอันหนึ่งแปะไว้บนผนัง
เด็กหนุ่มไม่รู้จักของสิ่งนั้น ดูแล้วระเบิดก็ไม่เหมือนระเบิด แล้วก็ไม่เหมือนระเบิดทำลายกำแพง ใช้งานอะไร?
เขาถามอย่างสงสัย “คุณกะว่าจะช่วยพวกเขายังไง? ตอนนี้เย้นหว่านก็ไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรมา หมายความว่าให้พวกเรารอเธอช่วยแรบบิท”
ขณะพูด เขาก็เห็นโห้หลีเฉินเสื้อผ้าถูกย้อมไปด้วยเลือดหมดแล้ว
อดทนถึงตอนนี้ยังไม่ล้มลงไป ร่างกายของผู้ชายคนนี้เกรงว่าจะทนมาจนถึงขีดสุดแล้ว
“เธอช่วยไม่ได้หรอก”
น้ำเสียงของโห้หลีเฉินทุ้มต่ำมาก เย้นหว่านถึงแม้จะเรียนวิชาแพทย์กับป่ายฉีมาระยะหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรการช่วยเขาอย่างตรงจุดนั้น มีหลายอย่างที่เธอยังไม่เข้าใจ ยังทำไม่ได้
แล้วจะจัดการปัญหายากแบบนี้ ช่วยแรบบิทได้ยังไง?
เขาได้ยินชัดเจนผ่านหูฟังของเย้นหว่าน พวกหมอวิจัยที่เชี่ยวชาญไม่กี่คนนั่น ต่างก็จนปัญญา
เด็กหนุ่มตกตะลึง “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้างั้นทำไมคุณถึงยังให้เย้นหว่านเข้าไปตามลำพัง? แถมยังให้เธอไปลองช่วยแรบบิทอีก?”