ความรู้สึกแปลก ๆ ที่แล่นขึ้นมาจากขา ทำให้หญิงสาวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
ความรู้สึกแปลกประหลาดท้าทายประสาทสัมผัสของเธอ
มันต่างกับการต่อสู้ การบาดเจ็บและการฝึกที่เข้มข้นที่เจอในยามปกติ ต่อให้ตายเธอก็ไม่เคยกลัว แต่ความรู้สึกแบบนี้กลับทำให้เธอไม่อาจทนได้อย่างไม่มีเหตุผล
“ฉันจะฆ่านาย! ปล่อย! เอาอุ้งเท้าของนายออกไปซะ!”
เธอด่าทออย่างโกรธเคือง
แต่ป่ายฉีกลับยิ้มอย่างหน้าด้านหน้าทนแล้วทำเสียงเยาะเย้ย “ไม่นึกว่าจะได้ยินเธอพูดยืดยาวขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะชอบมากเลยสินะ ฉันยังมีอะไรที่น่าสนใจกว่านี้อีกนะ เธออยากลองไหมล่ะ?”
นิ้วของเขาไต่ขึ้นไปราวกับดีดเปียโน
หญิงสาวสั่นไปทั่วร่างอย่างไม่อาจควบคุม
เธออดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป เพื่อจะป้องกันความรู้สึกที่ยากจะทานทนนี้ เธอจึงถอยออกมา
เธอปล่อยป่ายฉีออกก่อน จากนั้นจึงยกกำปั้นขึ้นทุบไปยังป่ายฉีอย่างไม่สนใจใยดี โดยที่ไม่ป้องกันใด ๆ เลย
เพียงแค่ป่ายฉีตอบโต้หมัดนั้นออกไป ทั้งสองคนก็จะสวนกันทันที
แต่ป่ายฉียังไม่อยากตาย
“เข้ามา ชักหงุดหงิดแล้ว”
เขาหลบหลีกอย่างว่องไว ม้วนตัวรอบหนึ่งก็กลิ้งออกไปถึงสองสามเมตร
เขารีบลุกขึ้นแล้ววิ่งอย่างไม่ลังเล ขณะวิ่งก็ตะโกนอย่างเจ้าเล่ห์ไปพลาง
“สาวน้อย ฉันไม่เล่นกับเธอแล้ว ถ้าเหงาก็ช่วยตัวเองไปสิ”
พูดจบเขาก็ใช้แรงทั้งหมดเตะเสาหินบาง ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ เสาหินพังล้มลงมาในทันทีดัง “โครม”
เดิมทีก็เป็นทางใต้ดินแคบ ๆ ไม่ได้กว้างอะไรอยู่แล้ว เมื่อก้อนหินพังลงมาก็ถูกปิดไปจนหมด
หญิงสาวถูกขวางไว้ข้างหลัง
ป่ายฉีหันกลับไปมองแล้วถอนหายใจ ในที่สุดก็สลัดเครื่องจักรสังหารจอมเย็นชานั่นไปได้แล้ว
เขาบาดเจ็บสาหัสไปทั้งตัวจนแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรง แต่เขาก็ยังกล้าที่จะพักผ่อน ผู้หญิงคนนั้นน่ากลัวเกินไป ไม่ใช่คนแล้ว ไม่แน่ว่าเธออาจเคลื่อนก้อนหินหนักหลายร้อยกิโลนั่นได้ก็ได้
เขาหนีไปที่ไกล ๆ ก่อนดีหว่า
ป่ายฉีเปิดไฟฉายแบบพกพา ส่องสว่างในความมืด แล้วเดินไปตามกระแสน้ำ
ที่ใดมีน้ำก็ย่อมมีทางออก
ถึงกับขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว เสียงระเบิดนั้นเขาเองก็ได้ยิน ทั้งใต้ดินสั่นสะเทือน และเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จะดีกว่าถ้าเขาจะหาทางออกอื่น โอกาสรอดก็จะมากขึ้น
หลังจากเดินมานาน ใช้กำลังทั้งหมดไปหมดเกลี้ยงไม่สามารถฝืนต่อไปได้อีก ป่ายฉีจึงหยุดแล้วนั่งลงพักผ่อนข้างทางน้ำ
เขาดื่มน้ำไปหลายอึก ล้างแผลแล้วใช้ยาที่พกมาปฐมพยาบาลอย่างง่าย ๆ จากนั้นจึงหาก้อนหินสักก้อนไว้พิงหลับไป
เขาไม่สนใจแล้วว่าหญิงสาวจะไล่ตามมาไหม หรือในความมืดจะมีอันตรายอะไรอยู่หรือเปล่า เขาอ่อนระโหยโรยแรงไปหมด ลืมตาไม่ขึ้นแล้ว
นานเถอะ
จะตายจะอยู่ก็แล้วแต่สวรรค์บัญชา
เมื่อคิดแบบนั้นป่ายฉีก็นอนหลับไปลึกมาก หลับลึกจนแม้แต่ฝันก็ไม่มี
เขาถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงแผ่วเบา
ด้วยความระแวดระวังตามสัญชาตญาณ เขาลืมตาขึ้นทันใด สติตื่นตัวในพริบตา
เขาถืออาวุธในมือและหลบอยู่หลังก้อนหิน ฟังเสียงของแหล่งกำเนิดเสียงอย่างระมัดระวัง
วิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ฟังออก
มันคือเสียงฝีเท้า!
เสียงฝีเท้านั้นช้ามาก การเดินนั้นยิ่งยากลำบาก แต่มันกลับแข็งกร้าวเป็นพิเศษ ก้าวเท้าเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างหมดรูป
และในตอนนี้ ฟังจากเสียงแล้ว ระยะห่างก็ไม่ได้ไกลจากป่ายฉีมากนัก
เขานิ่งเงียบ ราวกับจะเดาออกว่าหญิงสาวที่ขาหักไล่ตามมาแล้ว
หล่อนเป็นตังเมหรือกอเอี๊ยะหนังหมากันแน่? ถึงได้สลัดไม่หลุดอยู่แบบนี้
ป่ายฉีถอนหายใจ แม้จะฟื้นกำลังกายมาได้เล็กน้อย แต่ความเจ็บปวดบนร่างกายก็หนักหนา เขาไม่อยากประจันหน้ากับเธอแม้แต่นิดเดียว
ดังนั้น เขาจึงเดินหน้าต่อไปอีกครั้งอย่างไม่ลังเล
หลังจากทำแผลแล้ว บาดแผลภายนอกก็ได้รับการรักษาไปเล็กน้อย แม้จะรักษาอาการบาดเจ็บภายในไม่ได้ แต่สถานการณ์ตอนนี้ก็พอให้เขาประคองไปได้สักสองสามวัน
ขอแค่หาทางออกเจอแล้วหนีออกไปจากทางน้ำใต้ดินนี้ก่อนที่จะหิวตาย เหนื่อยตายหรือบาดเจ็บตาย เขาก็รอดแล้ว
ป่ายฉีเดิน ๆ หยุด ๆ โดยไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไหร่แล้ว พอเหนื่อย เขาก็หยุดพัก
แต่สิ่งที่ทำให้เขาขนพองสยองเกล้าก็คือ เมื่อเวลาที่เขาพักผ่อนนานไปเพียงเล็กน้อย เสียงฝีเท้าเบา ๆ ข้างหลังก็จะไล่ตามมา
พัวพันไม่รู้จบ เหมือนพวกภูตผีอย่างนั้นแหละ
นอกจากนี้ป่ายฉีก็สงสัยอย่างยิ่งว่าหญิงสาวนั้นบาดเจ็บสาหัสมาก ในสถานการณ์แบบนี้ควรจะหมดแรงล้มลงไปนานแล้วสิ แต่เธอราวกับไล่ตามเขาตลอดอย่างไม่หยุดหย่อนโดยที่ไม่เคยพักเลย
นั่นทำให้ป่ายฉีอดคิดไม่ได้ว่าร่างกายของผู้หญิงคนนั้นอาจตายไปแล้ว และที่ไล่ตามเขามานั้นคือวิญญาณหรือเปล่า?
ในทางน้ำใต้ดินอันมืดมิด ป่ายฉีพลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา
“เวรเอ๊ย ฉันกลัวการเจอผีที่สุดเลย รีบเดินรีบเดิน”
เขารีบเดินไปข้างหน้าอีกครั้งอย่างเร่งรีบ
ไม่กี่วันต่อมา แม้ว่าป่ายฉีจะใช้ยาประคองร่างกายไว้ แต่ก็ไม่มีอาหาร ประกอบกับอาการบาดเจ็บภายในไม่ได้รับการรักษา ร่างกายของเขาจึงย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ ถึงขนาดที่เดินไปสามก้าวก็ต้องหยุดหายใจไปห้าเฮือกแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะข้างหลังไล่ตามมาเหมือนภูตผี เขาก็คงนอนรอความตายอยู่ที่พื้นไปนานแล้ว
วันที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้
ป่ายฉีที่ร่างกายถึงขีดจำกัด สีหน้าซีดขาว ริมฝีปากแห้งแตก และเดินด้วยตัวสั่นเทิ้ม ในที่สุดเขาก็เห็นแสงแห่งความหวัง
ด้านบนข้างหน้าของเขา มีปากถ้ำที่สูงราวสี่ห้าเมตร ด้านบนนั้น ไม่นึกว่าจะได้เห็นฟ้าใสแดดจ้า
ปีนออกไปจากตรงนี้ เขาก็จะออกไปจากทางน้ำใต้ดินบ้าบอนี่เสียที
“เย้ ๆ ๆ!”
ป่ายฉีอดร้องตะโกนด้วยความดีใจไม่ได้ “สวรรค์ยังไม่ทอดทิ้งฉัน ฉันช่างโชคดีจริง ๆ !”
ป่ายฉีปรับท่าทางเล็กน้อยแล้วเตรียมจะปีนขึ้นไปตามหน้าผา
ทว่า ปีนไปได้ไม่นาน เขาก็พบกับปัญหายุ่งยากเข้า
หน้าผานี้มันลื่นเกินไป เขาไม่มีอุปกรณ์ปีนเขา เมื่อใช้มือเปล่าก็จะไถลลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า จับอย่างมั่นคงไม่ได้เลย
ป่ายฉีใช้วิธีต่าง ๆ นานาจนหัวแทบไฟลุก แต่ก็ล้วนจบลงด้วยความล้มเหลว
“แม่ง! หรือจงใจจะให้ทางออกฉัน ให้ฉันคาดหวังอย่างโง่เขลาแล้วจากนั้นก็ให้พบก็ความสิ้นหวังงั้นเหรอ?”
เขาไม่อยากยอมรับความสูญเปล่าแบบนี้
“ตึก….ตึก….ตึก….”
ขณะที่ป่ายฉีกำลังโทษฟ้าโทษดินอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่นั้น เสียงที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็ดังขึ้น
เป็นเสียงฝีเท้านั่นอีกแล้ว
ครั้งนี้มันชัดเจนและใกล้ยิ่งกว่าเดิม
ป่ายฉีลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนคิดจะวิ่งหนีไปทันที แต่เมื่อเขามองปากถ้ำที่อยู่ตรงหน้า โลกที่กว้างใหญ่ไพศาลภายนอก หากพลาดโอกาสนี้ไป อาจจะไม่มีครั้งต่อไปแล้วก็ได้
หลังจากลังเลเล็กน้อย เขาก็หยิบอาวุธติดตัวออกมาแล้วตั้งท่าเตรียมสู้
ยังไงก็ปีนขึ้นไปไม่ได้แล้ว งั้นก็ขอเลือกตายในการต่อสู้ดีกว่า
ป่ายฉีตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
จากนั้นเขาก็มองเห็น เงาร่างคนที่ขยับในความมืด ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีคนที่ร่างโชกเลือด บนร่างกายมีบาดแผลมากมายที่เน่าเปื่อยอย่างร้ายแรง ลากขาที่ไม่รู้ว่ายังมีความรู้สึกอยู่หรือเปล่าค่อย ๆ เดินเข้ามา
แม้ว่าป่ายฉีจะเห็นเครื่องในบนเตียงผ่าตัดจนชินแล้ว แต่เมื่อเห็นภาพนั้น เขาก็อดสูดหายใจเฮือกไม่ได้
ที่ไม่เห็นมาหลายวันนี้ ผู้หญิงคนนี้ทำตัวเองจนกลายเป็นภูตผีแบบนี้ไปแล้วเหรอ?
คำถามคือ กลายเป็นแบบนี้ไปแล้วเธอยังมีชีวิตอยู่อีกงั้นเหรอ?
ป่ายฉีรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อเกินไป ทันใดนั้นคิดอยากจะพาเธอกลับไป ทำการผ่าตัดทดลองดูสักหน่อย