ณ บ้านตระกูลเย้น
ป่ายฉีดึงหมอนออกจากแขนของยัยคิงคอง แล้ววางถุงเลือดไว้บนชั้นวางเครื่องมือวัด
เขายื่นน้ำสีฟ้าให้กับเธอ “สิ่งนี้สามารถเติมเต็มการสูญเสียเลือดของคุณได้อย่างรวดเร็ว”
หญิงสาวกลับไม่มองน้ำนั้นด้วยซ้ำ แล้วดึงแขนเสื้อตัวเองลง
เธอลุกยืนขึ้นจากเก้าอี้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ยังมีอย่างอื่นต้องทำอีกไหม ถ้าไม่ ฉันจะได้ไป”
เธอตอนนี้เป็นหนูทดลองของป่ายฉี ไม่ว่าจะต้องทำการตรวจสอบอย่างละเอียดครอบคลุม หรือต้องเจาะเลือด เธอก็ให้การร่วมมืออย่างเต็มที่ ราวกับเป็นมนุษย์หุ่นยนต์ก็ไม่ปาน ให้เขากระทำต่อเธอได้อย่างตามใจชอบ
แม้แต่เป็นการแล่เนื้อของเธอ ดูเหมือนเธอก็ไม่สนใจด้วยซ้ำ
ถ้าหากไม่ใช่เพราะแววตาของเธอยังมีความเกลียดชังป่ายฉีอยู่ ป่ายฉีคงคิดว่าหญิงสาวคนนี้เป็นเพียงซากศพที่เดินได้
ถึงแม้จะชินแล้วกับปฏิกิริยาเช่นนี้ของเธอ แต่ป่ายฉีรู้สึกว่าดูอย่างไรก็ขัดลูกตา
เขากล่าว:”ยังมีอีก นั่งลงก่อน”
แม้ว่าหญิงสาวจะรำคาญ แต่ก็นั่งกลับไปเหมือนเดิม
สีหน้าเฉยเมย ยอมให้ป่ายฉีทำทุกอย่างได้ตามใจ
ป่ายฉีไม่ได้แตะต้องเครื่องมือวัดเหล่านั้นอีก นั่งอยู่ตรงข้ามเธอ กอดอกแล้วจ้องมองเธอ
กล่าวขึ้น :”ผมอยากรู้ว่าอาการทุกอย่างของคุณหลังจากที่ฉีดยาแล้ว”
หญิงสาวใบหน้าเย็นชา “ฉันยอมให้คุณทำการวิจัย แต่ไม่ได้บอกว่าจะบอกเรื่องราวของฉันให้กับคุณ”
“ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณล้วนอยู่ในขอบเขตของการวิจัย ผมถามอาการของคุณ ก็เพื่อการวิจัย”
ป่ายฉียิ้มด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง “หากว่าคุณไม่บอก ก็คือผิดสัญญา”
หญิงสาว:”……”
เถียงสู้เขาไม่ได้
เธอกลั้นอารมณ์โกรธไว้ แล้วกัดฟันเปล่งเสียงที่เย็นชาออกมาจากปากทีละคำ
“ไม่รู้จะบอกยังไง คุณถามมาฉันตอบก็แล้วกัน”
เธอพูดไม่เก่ง ตอนที่อยู่ในองค์กรมักจะทำตามคำสั่ง จึงค่อนข้างพูดน้อย การถูกป่ายฉีคลุกคลีบังคับในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ถือว่าได้ทำให้เธอพูดเยอะมากพอแล้ว
ป่ายฉีชินกับความเย็นชาของหญิงสาวคนนี้ จนเกิดภูมิคุ้มกันทางร่างกายแล้ว
เขาเอ่ยถามขึ้น:”เมื่อสักครู่ที่คุณถูกฉีดยานั้น คุณทนมาได้อย่างไร ตอนที่ทนนั้นรู้สึกอย่างไร”
รู้สึก?
เมื่อหญิงสาวได้ยินคำนี้ ดวงตาก็เกิดความสับสนงุนงงเล็กน้อย
หลายปีแล้วที่เธอไม่มีความรู้สึก ร่างกายของเธอแทบจะไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด มีเพียงความเจ็บปวดที่รุนแรงสาหัสเท่านั้น เธอถึงจะรับรู้สึกถึงความเจ็บปวดเล็กน้อย เล็กน้อยมาก ๆ
สามารถพูดได้ว่า ในโลกของเธอ คำว่าความรู้สึกแทบจะไม่ค่อยคุ้นเคยสำหรับเธอ
เมื่อเธอหวนคิดถึงความทรงจำที่นานมาแล้ว น้ำเสียงจึงบางเบา “เมื่อความเจ็บปวดถึงขีดสุด ทุกอย่างในหัวสมองทั้งหมดก็จะพังทลายลง ร่างกายก็แทบจะแตกสลาย ฉันคิดว่าฉันตายแล้ว ดังนั้นความรู้สึกทั้งหมดจึงด้านชาไปหมด”
“แต่ว่าหลังจากนั้น ฉันก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง”
“ฉันรู้เพียงว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ แต่ร่างกายของฉันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ ตอนที่เริ่มเปลี่ยน ฉันแทบจะไม่สามารถควบคุมมันได้ ร่างกายเกิดการเปลี่ยนจนรู้สึกไม่คุ้นชิน ต้องใช้เวลานานกว่าจะทำการคุ้นเคย และถึงสามารถควบคุมร่างกายได้ ความรู้สึกนั้น……”
หญิงสาวครุ่นคิด ก้มหน้าดูมือของตัวเอง “เหมือนกับนั่งอยู่ในเครื่องจักรอะไรสักอย่าง แล้วก็ถูกควบคุมโดยเครื่องจักร”
ควบคุมโดยเครื่องจักร ไม่ใช่ร่างกาย
คำพูดนี้ทำให้ป่ายฉีรู้สึกอึ้งและประหลาดใจ
สาเหตุที่คนเรายังชีวิตอยู่ เพราะจิตใจความรู้สึกนึกคิดกับร่างกายนั้นเชื่อมโยงสัมพันธ์ต่อกัน หากสูญเสียการรับรู้ทางแขน ก็จะถูกตัดทิ้ง
แต่ว่าสถานการณ์ของเธอนี้ กลับเหมือนจะขาดความเชื่อมโยง แต่ก็กลับยังมีความสัมพันธ์ต่อกัน
จิตวิญญาณคอยควบคุมร่างกายเครื่องจักรเหรอ
ดังนั้นเธอถึงไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด
และตอนนี้ถึงแม้ว่าการทำงานของร่างกายแรบบิทนั้นจะเป็นปกติ แต่กลับไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของร่างกายได้ ราวกับเหมือนเจ้าหญิงนิทรา แต่ก็ไม่ได้เหมือนทั้งหมด
สภาพค่อนข้างคล้ายกับตอนที่ยัยคิงคองฟื้นตื่นขึ้นมา
หรือว่าแรบบิทก็เป็นแบบนี้เช่นกัน เธอกำลังคุ้นเคยกับการควบคุมร่างกายตัวเอง
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ป่ายฉีก็เกิดอาการลนลาน รีบถามขึ้นอย่างร้อนรน:”คุณใช้เวลานานเท่าไหร่ในการฟื้นตื่นขึ้นมา หลังจากที่ฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว ใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ในการควบคุมร่างกายตัวเอง ทำให้ร่างกายสามารถขยับเขยื้อนได้”
ยัยคิงคองตอบกลับ “หนึ่งวัน”
“หนึ่งวันเหรอ”
ป่ายฉีกระวนกระวายแล้ว ความเป็นไปได้ที่คิดเมื่อสักครู่นั้น ประหนึ่งโดมิโนที่ถูกผลักล้ม
แรบบิทเป็นกึ่งเจ้าหญิงนิทรามานานสักระยะหนึ่งแล้ว
“อย่างนั้นคุณรู้เวลาฟื้นตื่นของคนอื่นไหม”
ยัยคิงคอง:”ไม่รู้”
การแสดงออกของเธอเรียบเฉย เห็นได้ชัดว่าไม่แยแสกับสิ่งเหล่านี้
คิดว่าน่าจะเป็นเพราะการผ่านชีวิตความเป็นความตายแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก หลังฟื้นตื่นขึ้นมา ถึงแม้จะยังมีชีวิตอยู่ แต่ร่างกายกลับไม่สามารถรับรู้สึกได้ จึงสัมผัสไม่ได้ถึงความรู้สึกของการมีชีวิตอยู่จริง ๆ
และในแต่ละวันคืนยังต้องถูกฝึกซ้อม ถูกปลูกฝังความคิดการสังหารคน
ในโลกของเธอจึงไม่มีความเป็นห่วงเป็นใยใส่ใจคนอื่น
ป่ายฉีมองใบหน้าที่เย็นชาของเธอ ภายในใจนั้นกลับผุดความรู้สึกอีกด้านหนึ่งขึ้น รู้สึกว่าเธอนั้นก็เป็นคนที่น่าสงสารเช่นกัน
“คุณชื่ออะไร” ป่ายฉีเอ่ยถาม
หญิงสาวสีหน้าเย็นชา “นี่ไม่เกี่ยวกับการวิจัย”
ป่ายฉียกริมฝีปากยิ้มขึ้น ยื่นสมุดบันทึกให้กับเธอ แล้วพูดเหมือนดูดีมีหลักการ
“หนังสือวิจัยต้องลำดับชื่อของผู้ถูกวิจัย ซึ่งนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการวิจัย”
“หานจื่อ”
หญิงสาวพูดสองคำออกมาอย่างห้วน ๆ ราวกับไม่รู้จักกับชื่อนี้
เธอพูดน้อยมาก และก็ยิ่งไม่เคยพูดชื่อของตัวเองออกมา
ชื่อสำหรับเธอแล้ว ก็แค่นามแฝงเท่านั้น
ป่ายฉีเลิกคิ้ว “หานจื่อ ดูเหมาะสมกับคุณดี เพราะกว่ายัยคิงคองอีก”
หานจื่อไม่สนใจเขา
นอกจากคำพูดที่จำเป็นต่อการวิจัยแล้ว เธอก็ไม่เคยเอ่ยปากพูดอะไรที่มากกว่านั้น
เมื่อป่ายฉีได้ข้อมูลมาแล้ว วันนี้จึงได้ปล่อยตัวหานจื่อ แล้วเก็บของจากนั้นก็รีบเดินออกจากห้องไป
หานจื่อบอกเล่าสิ่งที่ตัวเองประสบพบเจอหลังฟื้นตื่นขึ้นมา ทำให้ป่ายฉีได้ข้อคิดและแนวทาง
ตอนนี้เขาอยากรู้อย่างเร่งด่วนเกี่ยวกับข้อมูลและสิ่งที่มนุษย์พันธุ์แกร่งคนอื่นขององค์กรประสบพบเจอ
เด็ก ๆ เหล่านั้นใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะฟื้นตื่นขึ้นมา แล้วตื่นขึ้นได้อย่างไร นี่บางทีอาจจะเป็นแนวทางที่สามารถทำให้แรบบิทฟื้นตื่นขึ้นมา
หลายวันมานี้ ป่ายฉีทุ่มเทกับการวิจัยอาการป่วยของแรบบิท จึงยังไม่ได้เดินออกไปจากเรือนหลังนี้
เมื่อเขาเดินออกไป เห็นถึงแสงอาทิตย์ ถึงกับต้องปรับสภาพสักครู่เพื่อให้ชินกับความอบอุ่นของแสงแดด
แต่ทว่าเขากลับไม่ชินกับใบหน้าคนที่เจอระหว่างทาง ใบหน้าที่เศร้าสร้อยหดหู่
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเพิ่งฟื้นตื่นขึ้นมานั้น บรรยากาศในบ้านผู้คนก็เป็นแบบนี้ ตอนนั้นสมาธิของเขาจดจ่ออยู่กับสภาพอาการป่วยของแรบบิทอย่างเดียว จึงไม่ได้สนใจอย่างอื่นมากนัก
ตอนนี้เมื่อกลับมาคิด ๆ ดูแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง รู้สึกผิดปกติ
เมื่อป่ายฉีคิดตกแล้ว จึงได้เดินไปที่กองบัญชาการของตระกูลเย้น
สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจยิ่งขึ้นไปอีกคือ ตอนนี้เป็นช่วงที่กำลังต่อสู้กับตระกูลหยูอย่างดุเดือด กองบัญชาการคือที่ที่โกลาหลวุ่นวายและมีคนเยอะที่สุด แต่ว่าตอนนี้ ในนั้นกลับมีเพียงไม่กี่คน สิ่งที่ทำก็มีเพียงสิ่งเดียว
กงจืออวีกับเย้นเจิ้นจื๋อที่ควรนั่งอยู่ตรงนั้นต่างก็ไม่อยู่
ป่ายฉีประหลาดใจ ศึกนี้ไม่ต่อสู้กันแล้วเหรอ หรือว่าได้ย้ายกองบัญชาการแล้ว
เขารีบเดินไปด้านหน้าแล้วรั้งใครคนหนึ่งไว้ จากนั้นถามขึ้น “คุณนายล่ะ”
“คุณนายอยู่ในห้องนอนครับ”
ทำไมถึงอยู่ที่ห้องนอน ป่ายฉียิ่งมึนงง แล้วก็ถามขึ้นอีก “แล้วคุณท่านล่ะ”
“คุณท่านก็น่าจะอยู่ที่ห้องนอนมั้งครับ”
กลางวันแสกๆ คุณท่านกับคุณนายล้วนอยู่ที่ห้องนอน
นี่มันช่างแปลกมากจริง ๆ
ป่ายฉีคิดในใจว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่ที่เขาไม่รู้เกิดขึ้นแน่ ๆ เขาจึงรีบเดินพุ่งไปที่ห้องนอนของกงจืออวี