ป่ายฉี “…” เขารู้สึกว่าตอนนี้เขาจะตายเพราะความรักของพวกเขาทั้งสอง
การเป็นคนโสดนี่มันยากลำบากจริงๆ
แย่
แย่ แย่
ป่ายฉีก้มหน้านอนลงไปบนโซฟา ขยับขาออกเพื่อหลบทางให้เย้นหว่าน
“เอาล่ะ คุณรีบไปเถอะ ไปซบอยู่ในอ้อมแขนของสามีคุณโน่น ผมไม่ส่งแล้วกัน ทนดูไม่ได้”
ระหว่างที่พูดเขายกมือขึ้นปิดตาตัวเองเอาไว้ด้วย ใบหน้ารังเกียจ
เย้นหว่านยิ้มออกมา ป่ายฉีก็เป็นแบบนี้ แม้ในสถานการณ์ที่อันตราย หรือจะยากลำบากแค่ไหน เขาก็สามารถทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงได้ ทำให้คุณยิ้มออกมาได้
เธอหมุนตัว เดินเข้าไปกอดเขา
“ป่ายฉี ลำบากคุณแล้ว ช่วยบอกพ่อแม่และพี่ชายด้วย ฉันคิดถึงพวกเขามาก อีกไม่นาน ฉันจะกลับไปอย่างปลอดภัย พวกเขาไม่ต้องกังวล”
เอ่ยถึงครอบครัว เย้นหว่านก็รู้สึกแสบจมูก เพื่อห้ามน้ำตาเอาไว้ เธอจึงรีบลุกขึ้น เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ป่ายฉีมองแผ่นหลังของเธอ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขา เปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นและยังสงสาร
เย้นหว่านเดินออกมาจากร้านกาแฟ เดินข้ามทางม้าลายออกมา หยุดอยู่ข้างรถโรลส์รอยซ์คันนั้น
เธอก้มลงไปมองโห้หลีเฉิน “คุณโห้ ให้ฉันไปด้วยได้ไหมคะ”
“พลัก” เสียงดังขึ้น ประตูรถถูกเปิดออก
เย้นหว่านก้าวขาขึ้นรถ นั่งลง พลันถูกล็อกเอาไว้กับที่นั่ง ร่างสูงใหญ่ด้านบนกดลงมา กักเธอเอาไว้ทั้งตัว
“คุณทำ…” อะไร…
เย้นหว่านยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกโห้หลีเฉินฉกจูบลงมา
จูบของเขารุนแรงและบ้าอำนาจ คล้ายกำลังกลืนกินเธอไปทั้งตัว จูบจนลิ้นของเธอเจ็บไปหมด
เธอผลักเขาออก แต่ยิ่งผลัก จูบของเขายิ่งรุนแรงมากขึ้น เย้นหว่านอ่อนระทวยไปทั้งร่าง ไม่กล้าต่อต้านเขาอีก ได้แต่ยอมเขาอย่างว่าง่าย
คนขับรถที่นั่งอยู่ประจำที่เดินลงจากรถไป เดินไปถึงด้านหลังช่วยปิดประตูด้วยความใส่ใจ จากนั้นยืนหันหลังให้กับรถ
แต่ แม้เขาจะปิดได้ทันเวลา ไกลออกไป ถูกกล้องจับภาพเอาไว้ได้ในตอนที่พวกเขายังไม่ปิดประตู
เย้นหว่านราวกับจะได้ให้ได้กับจูบของโห้หลีเฉิน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานกี่ศตวรรษ เธอถูกเขาคลายออกในยามที่เธอกำลังมึนงง
เขายังคงกดเธอเอาไว้ ใช้มือนวดท้ายทอยของเธอ แววตาสงสัยจ้องมองมายังเธอ
“เย้นหว่าน ผมอยากจับคุณกินที่นี่ซะเลย”
เย้นหว่านที่กำลังมึนงงนั้นตระหนกจนได้สติ รีบยกมืออ่อนแรงจับไหล่เขาเอาไว้
“คุณใจเย็นหน่อย ฉันเกือบจะโดนคุณกินจนไม่เหลืออะไรแล้ว”
น้ำเสียงของเย้นหว่านนั้นแหบแห้ง ริมฝีปากแดงระเรื่อ ซ้ำยังบวมเล็กน้อย
เธอโกรธอยู่ในใจ ป่ายฉีนะป่ายฉี คนที่ซวยก็คือเธอนะ
นี่เป็นการแก้แค้น ต้องเป็นการแก้แค้นของป่ายฉีอย่างแน่นอน
โห้หลีเฉินที่เดิมนั้นเย็นยะเยือก เมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนหวานของเย้นหว่านแล้ว ราวกับอากาศเย็นได้พบกับพระอาทิตย์ ละลายในทันใด
เขาโกรธเธอไม่ลง
โห้หลีเฉินถอนหายใจ นั่งลงข้างเธอ ยืนมือไปดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขน “ผมหิวแล้ว อยากไปกินข้าวที่ไหน”
เปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว ทำให้เย้นหว่านมึนงง เนิ่นนานกว่าจะมีสติตอบสนองเขา
เธอส่ายหน้า “ฉันพึ่งกินไป”
“คุณดื่มกาแฟไปแค่อึกเดียว ไม่ได้กินอะไรอย่างอื่น แบบนั้นไม่นับ” โห้หลีเฉินบอก
เย้นหว่านนิ่งอึ้ง หันไปมองโห้หลีเฉินที่อยู่ด้านข้างด้วยความแปลกใจ “คุณรู้แม้กระทั่งเรื่องนี้ คุณแอบดูมาตั้งแต่ต้นเลยเหรอ”
โห้หลีเฉินเม้มปาก เขาบอกเธอไม่ได้ ว่าเขาแอบตามเธอตั้งแต่เธอออกมา
ความเงียบของเขาเป็นการยอมรับอยู่เงียบๆ ทำให้เย้นหว่านตกใจ
เธอมองสำรวจเขา เอ่ยช้าๆ “คุณโห้ เดี๋ยวนี้ความอดทนของคุณนับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นนะคะ ทนมาได้นานขนาดนี้เชียว”
เจอหน้ากันก็กอด ก่อนจะกลับป่ายฉียังตั้งใจยั่วยุ เขายังอดทนไม่ยอมลงจากรถ
“ไม่เกี่ยวกับความอดทน ต้องดูว่าเป็นใคร”
โห้หลีเฉินเอ่ยจริงจัง “ป่ายฉีไม่นับว่าเป็นผู้ชาย”
หากเป็นผู้ชายคนอื่น เขาคงพุ่งเข้าไปฉีกกระชากร่างของเขา อย่างไม่ต้องสงสัย
เย้นหว่านยู่ปาก “…”
ป่ายฉีที่น่าสงสาร เป็นโสดมาหมื่นปีก็ช่างเถอะ ในสายตาของโห้หลีเฉิน ไม่นับว่าเป็นผู้ชายด้วยซ้ำ
น่าสงสาร
เย้นหว่านถูกหลอกจึงรู้สึกหดหู่ใจอยู่เล็กน้อย ทว่ากลับรู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย
โห้หลีเฉินกอดเย้นหว่านเอาไว้ ถามอีกครั้ง “อยากไปทานข้าวที่ไหน”
เห็นท่าทางเขาที่แสดงออกว่าอย่างไรก็ต้องพาเธอไปทานข้าวให้ได้ เย้นหว่านรู้ว่าอย่างไรก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงได้แต่เลยตามเลย
เธอคิดอยู่ชั่วครู่ เอ่ย “ไปMQกันเถอะค่ะ”
โห้หลีเฉินขมวดคิ้ว “นี่เป็นร้านใหม่ คุณรู้จักด้วยเหรอ”
เย้นหว่านร้อนตัวเล็กน้อย
แม้ตลอดสามปีนี้เธอจะไม่ได้อยู่ที่เมืองหนาน แต่เธอติดตามข่าวของโห้หลีเฉินอยู่ตลอดเวลา และยังติดตามข่าวทั้งหมดของเมืองหนาน กระทั่งร้านเปิดใหม่เล็กๆ ก็รู้จัก
แต่เพื่อไม่ขายหน้า เธอจึงเอ่ย “แน่นอนสิ ไม่มีอะไรที่ฉันไม่รู้”
“ไม่มีอะไรที่ไม่รู้ งั้นคุณรู้ไหมว่า ผมคิดถึงคุณมากแค่ไหน” โห้หลีเฉินขยับเข้าใกล้เธอ ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ห่างเล็กน้อย คล้ายกำลังจะฉกจูบลงมา
เย้นหว่านพลันรู้สึกเจ็บริมฝีปากขึ้นมา รีบปิดริมฝีปากเอาไว้
เธอหันหน้าเข้าหาหน้าต่าง ปกปิดหัวใจที่เต้นกระหน่ำ “จะทานข้าวไม่ใช่เหรอคะ รีบไปสิ รีบกินรีบเสร็จจะได้กลับไปพักผ่อน”
โห้หลีเฉินมองใบหน้าด้านข้างของเธอ มุมปากยกยิ้มเอ็นดู
เขายังมีหนึ่งประโยคที่ยังไม่ได้เอ่ย ป่ายฉีไม่ใช่ผู้ชาย เพราะเขาคือครอบครัวของเย้นหว่าน
……
เช้าวันต่อมา เสียงนาฬิกาปลุกของเย้นหว่านดังขึ้น ก็ได้รับวิดีโอคอลจากเย้นโม่หลิน
เธอมองเห็นเย้นโม่หลินสามคำปรากฏขึ้น มุมปากยกยิ้มอ่อนโยน
เธอลุกขึ้นนั่ง จัดแต่งทรงผมที่ยุ่งเหยิง จากนั้นจึงกดรับโทรศัพท์
เมื่อรับโทรศัพท์แล้ว บนหน้าจอ ปรากฏขึ้นไม่เพียงเย้นโม่หลินคนเดียว แต่เป็นทั้งครอบครัว
มีเย้นโม่หลิน มีกู้จื่อเฟย มีกงจืออวีและเย้นเจิ้นจื๋อ
พวกเขานั่งอยู่ด้วยกัน ดวงตาจับจ้องมาที่หน้าจอโทรศัพท์
เมื่อเห็นหน้าจอปรากฏใบหน้าของเย้นหว่าน พวกเขาก็รู้สึกยินดีจนตัวสั่น กงจืออวีกระบอกตาแดงขึ้นมา ปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น “เสี่ยวหว่าน”
เสียงเรียกเบาๆ คล้ายกับปลดปล่อยความคิดถึงทั้งหมดที่มี ทำให้จมูกของเย้นหว่านนั้นแสบขึ้นมา ความคิดถึงล้นเอ่อ
เธอกลั้นน้ำตาเอาไว้ให้ถึงที่สุด เอ่ยเรียกพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
“แม่ พ่อ พี่ชาย จื่อเฟย ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ไม่เจอกันนาน คิดถึงมากเลย
กงจืออวีทนไม่ได้อีกต่อไป น้ำตาไหลออกมา เธอลุกขึ้นแล้วเดินหายออกไปจากหน้าจอ เพื่อปิดบังใบหน้าที่กำลังร้องไห้
เย้นเจิ้นจื๋อก็ลุกขึ้น ตามไปปลอบเธอ
ปลอบไปปลอบมา กระบอกตาเขาก็แดงตามไปด้วย
กู้จื่อเฟยปิดปาก ร้องไห้ออกมาด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวหว่าน ในที่สุดก็ปรากฏตัวแล้ว ทุกคนคิดถึงคุณมากเลยนะ”
เย้นหว่านกลืนก้อนสะอื้นลงไป “ฉันก็คิดถึงทุกคนค่ะ”
เย้นโม่หลินเป็นคนที่นิ่งและไม่ร้องไห้เหมือนคนอื่น เขาจ้องเย้นหว่านนิ่ง ตำหนิเธอ
“ทำไมไม่กลับตระกูลเย้น”