เย้นหว่านหัวใจหนักอึ้ง ไม่มีอารมณ์ล้อเล่น เอ่ยเสียงเข้ม “ป่ายฉี รอบข้างโห้หลีเฉินมีอำนาจบางอย่าง และถ้าฉันเดาไม่ผิด อำนาจนั้นกำลังควบคุมโห้หลีเฉินอยู่”
“อำนาจนั้นกำลังควบคุมเขาอยู่ เขาทำอะไรไม่ได้ ต่อต้านไม่ได้ ดังนั้น มีเพียงฉันที่จะต่อต้านมันได้”
“ฉันต้องสืบหามันให้ได้ ฉันจะจับพวกเขาทั้งหมดให้ได้ ฉันต้องการให้แผนของพวกเขาล่ม”
“ฉันจะไล่พวกเขา ไปจากโห้หลีเฉิน”
ท่าทางแน่วแน่ของเย้นหว่าน ทำให้ป่ายฉีขมวดคิ้ว “เสี่ยวหว่าน คุณรู้หรือเปล่าว่าคุณทำแบบนี้มันอันตรายขนาดไหน”
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ทำไมเย้นหว่านถึงให้เขาเก็บความลับเอาไว้ และแอบมาก่อน และไม่บอกกับเย้นโม่หลิน
เพราะจากท่าทีปกป้องของเย้นโม่หลิน คงไม่มีทางยอมให้เย้นหว่านต้องมาเสี่ยงอันตรายแบบนี้ แน่นอนว่าไม่มีทางให้เย้นหว่านได้พูด และลากเธอกลับตระกูลเย้นอย่างแน่นอน
แต่ป่ายฉีมองเย้นหว่านที่อยู่ตรงหน้า กลับเข้าใจและรู้ชัด ว่าเย้นหว่านไม่มีทางกลับไปอย่างแน่นอน
เธอกลับมาครั้งนี้ เพื่อช่วยโห้หลีเฉิน ช่วยเหลือสามีของเธอ
ป่ายฉีถอนหายใจ “เสี่ยวหว่าน นี่คุณหลอกผมมา กั้นอยู่ตรงกลางระหว่างคุณและเย้นโม่หลิน ให้ผมเป็นแซนด์วิชสอดไส้เหรอ”
หากเขาแสดงท่าทีว่าสนับสนุนเย้นหว่าน กลับไปไม่แน่ว่าอาจจะถูกเย้นโม่หลินตีตาย
เย้นหว่านกลับพยักหน้าอย่างไร้ความรู้สึกรับผิดชอบ “ป่ายฉี คุณต้องช่วยฉันแน่ ใช่ไหมคะ”
เธอมองเขาด้วยท่าทางน่าสงสาร ท่าทางแบบนั้นทำให้คนปฏิเสธไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้เจอกันกว่าสามปี ป่ายฉีจึงอยากตามใจเด็กผู้หญิงคนนี้ ยิ่งไม่กล้าปฏิเสธ
เขาถอนหายใจ “ว่ามาสิ คุณอยากให้ผมทำอะไร ขอแค่หลังจากที่ผมกลับบ้านตระกูลเย้นไปแล้วไม่โดน ตี จน ตาย ผมจะช่วยคุณ”
“ป่ายฉี น่ารักที่สุดเลย~”
เย้นหว่านยิ้มออกมา เลื่อนเค้กตรงหน้าไปหาป่ายฉี “ของขวัญขอบคุณ”
ป่ายฉี “คำขอบคุณของคุณมันดูง่ายไปหน่อยนะ”
แม้ปากจะบ่น แต่เขาก็ยังใช้ช้อนตักเค้กแรงๆ ขึ้นมากิน
เย้นหว่านมองเขากิน พลางเอ่ย
“ฉันต้องการให้ตระกูลเย้นเข้ามาช่วยฉันอย่างเต็มที่ ให้พี่ชายคอยควบคุมธุรกิจ การค้าผ่านตระกูลเย้นอยู่ไกลๆ ค่อยๆ เจาะเข้าไปในบริษัท ตี้เหา จำกัด ฉันจะร่วมมือกับเขาจากภายใน สุดท้ายควบคุมบริษัท ตี้เหา จำกัดเอาไว้”
“แต่เรื่องทั้งหมดนี้ ใช้โทรศัพท์ไม่ได้ ไม่วางใจที่จะพูดคุยผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ คงต้องรบกวนคุณช่วยบินมาบ่อยๆ ”
“ยังมีพ่อกับแม่ฉันอีก อย่าให้พวกเขามาที่เมืองหนานเด็ดขาด ขอแค่พวกเขาไม่มา ก็จะเป็นที่พึ่งพิงให้กับฉันได้”
เย้นหว่านยื่นของหวานส่งมาให้ป่ายฉีอีก ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มหวาน “ครั้งนี้คุณกลับไป หน้าที่สำคัญของคุณคือโน้มน้าวพวกเขา อย่าให้พวกเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้เวลาที่โทรมาหาฉัน และไม่ให้มาห้ามฉัน”
ป่ายฉีสำลักให้กับของหวานตรงหน้า ไม่อยากคิดว่าหลังจากเขากลับไปแล้วจะถูกเย้นโม่หลินและคู่สามีภรรยาเย้นเจิ้นจื๋อปิดล้อมอย่างไร แต่เรื่องนี้ ก็มีเพียงเขาที่ทำได้
หนึ่งคือเขามีกำลัง ฝีมือดี ระหว่างทางยากที่จะเกิดปัญหา เมื่อเกิดอะไรขึ้นกะทันหันก็ช่วยเหลือตัวเองได้ สองคือเขาเป็นคนของตระกูลเย้น แต่เย้นเจิ้นจื๋อไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิด ดังนั้นสำหรับภายนอก เขาไม่ได้สำคัญเท่ากับเย้นหว่านและเย้นโม่หลิน แม้จะลักพาตัวหรือข่มขู่เขา พวกเขาก็จะไม่ทำ
นี่เป็นอีกเหตุผลที่เย้นหว่านไม่ให้เย้นโม่หลินและพวกเขามาที่เมืองหนาน
กินของหวานเข้าไปอย่างปวดใจ ดื่มกาแฟจนหมด ป่ายฉีตบท้องที่กำลังอิ่มของตนเอง พลันลุกขึ้นมา ขยับไปนั่งลงด้านข้างเย้นหว่าน
เย้นหว่านมองเขาด้วยท่าทีสงสัย “ทำอะไร”
ป่ายฉีจับยึดไหล่เย้นหว่านสองข้างเอาไว้ เอ่ย “โห้หลีเฉินกำลังมองอยู่ด้านล่าง”
“ห๊ะ”
เย้นหว่านแปลกใจ รีบหันมองลงไปด้านล่าง มองเห็นโรลส์รอยซ์คันหนึ่งกำลังจอดอยู่ริมถนน หน้าต่างถูกลดลงมากว่าครึ่ง เผยให้เห็นดวงตาของโห้หลีเฉิน
เธอไม่รู้เลยว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ มาแล้วยังไม่เข้ามาอีก รอเธออยู่ด้านนอก
ความรู้สึกแบบนี้ เป็นความรู้สึกที่ถูกจับได้เมื่อขโมยดวงดาว
ป่ายฉีก็รู้แล้วยังจะโอบไหล่ของเธอไว้ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจให้โห้หลีเฉินเห็น ยั่วโมโหเขา
เย้นหว่านผลักเขาออก “คุณคิดจะสร้างปัญหาครอบครัวให้ฉันใช่ไหม”
ป่ายฉียกมือขึ้นวางไว้ที่แขนของเย้นหว่านอีกครั้ง ยิ้มร้าย
“ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดีสิ ไม่ทำให้ต้องหย่ากันก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว แม้จะทำไม่ได้ ขอให้ได้ทำให้โห้หลีเฉินโกรธก็ยังดี”
อยากฆ่าเขาแต่ทำไม่ได้ เปลี่ยนวิธียั่วให้เขาโกรธก็นับเป็นการระบายที่ดี
เย้นหว่านมองคนที่ทำตัวเป็นเด็กด้านข้าง ทั้งยังแอบมองออกไปนอกหน้าต่างมองโห้หลีเฉินอย่างกังวลใจ กังวลว่าเขาจะโกรธจนพุ่งเข้ามาทำร้ายป่ายฉีหรือไม่
แต่ว่า โห้หลีเฉินยังคงนั่งอยู่ในรถ ท่าทีไม่เปลี่ยนแปลง
ห่างกันไปนาน เธอเองก็มองสายตาของเขาไม่ออก ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาโกรธหรือเปล่า โกรธมากแค่ไหน
แม้ป่ายฉีกำลังโอบเย้นหว่านเอาไว้ แต่ก็รักษาระยะห่าง เพียงวางมือลงบนไหล่ของเธอ ไม่ได้สัมผัสอย่างอื่น
เขาก้มหน้า กดเสียงต่ำ กระซิบ “เสี่ยวหว่าน คุณหรือไหมว่าเด็กๆ อยู่ที่ไหน”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ความคดสับสนของเย้นหว่าน พลันเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นและอ้างว้างขึ้นมา
เธอกดความหวาดกลัวที่มีเอาไว้ บังคับให้มันสงบลง
“ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่ฉันเชื่อว่า โห้หลีเฉินไม่มีทางปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับเด็กๆ อย่างแน่นอน”
“คุณเชื่อใจเขาขนาดนั้นเลยหรอ”
ป่ายฉีหันมามองเย้นหว่าน ดวงตาแหลมคมจ้องมอง “ถ้าคุณเชื่อว่าเขาจะไม่ทำร้ายเด็กๆ คุณจะไม่มีทางไม่รู้อะไรเลยแบบนี้แน่”
คำพูดนั้นราวกับเข็มที่ทิ่มแทงเข้ามาในใจของเย้นหว่าน ยิ่งทำให้ท่าทางมั่นใจของเธอ ฉีกขาดไม่เหลือ
เธอ ไม่ได้แน่ใจขนาดนั้น
ดังนั้นเธอจึงไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับโห้หลีเฉิน หลังจากกลับมา ใครก็ไม่เอ่ย ใช้ชีวิตราวกับพวกเขาไม่เคยมีลูกมาก่อน
แต่นั้นเป็นความสงบภายนอกที่สร้างขึ้น เมื่อเอ่ยขึ้นมา ก็เป็นราวกับมีดคมที่กรีดลึกเข้ามาในใจ
มือของเย้นหว่านกำแน่นอยู่ข้างลำตัว เนิ่นนาน เธอจึงเอ่ยออกมาช้าๆ “ฉันจะใช้วิธีของฉัน ตามหาเด็กๆ พาพวกเขากลับมาอย่างปลอดภัย”
เนื้อที่ออกมาจากร่างกายของพวกเขา เป็นดั่งชีวิตของเธอ
ป่ายฉีมองสายตาของเย้นหว่านรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก ถอนหายใจออกมา ลูบผมเธอเบาๆ
“เดิมควรเป็นชีวิตแบบเจ้าหญิง ทำไมถึงได้ลำบากแบบนี้ เจ็บปวดทุกอย่างก้าว เสี่ยวหว่าน ผมอยากทำให้คุณกลายเป็นคนตัวเล็กๆ ซ่อนเอาไว้ในกระเป๋าก็พอแล้ว”
เขาเป็นห่วงเธอมาก
หัวใจเย้นหว่านอุ่นวาบ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเหนื่อยล้า ผลักเขาออก
“ช่างเถอะ เปลวไฟก็พอแล้ว อย่าได้คิดเล่นกับไฟ ฉันกล้ารับประกัน คุณทำแบบนี้ ความหึงหวงของโห้หลีเฉินจะทำให้คุณต้องจมน้ำตาย”