เย้นหว่านไม่เคยยิ้มและอ่อนโยน ตอนที่อยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้มานานมากแล้ว
โห้หลีเฉินรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ยิ่งหวงแหนเข้าไปใหญ่ และกำลังคิดว่า นี่น่าจะเป็นผลจากอาหารเช้า
เขาทำอาหารเช้าให้เธอกับมือ ทำให้เย้นหว่านรู้สึกซาบซึ้งใจมาก
ดูแล้ว ต่อไปเขาคงต้องทำเรื่องพวกนี้บ่อยๆแล้วล่ะ ให้เธอซาบซึ้งทุกวัน แล้วยังต้องไปศึกษาการทำอาหารเพิ่มอีก ให้เธอซาบซึ้งจนถึงขั้นสุด
แบบนี้อาจจะลดความเศร้าที่ต้องแยกกันตอนกลางคืนได้……
พอกินอาหารเช้าอุ่นๆเสร็จแล้ว เย้นหว่านกับโห้หลีเฉินก็ไปทำงาน
เวลาสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว
เดินออกจากคฤหาสน์ ในตอนที่กำลังเดินไปที่โรงจอดรถ เย้นหว่านก็เห็นคนที่ยืนอยู่ข้างรถ ก็อึ้งและตกใจมาก
“เว่ยชี”
เว่ยชียิ้มแย้ม แล้วโค้งคำนับเย้นหว่านอย่างเคารพ “คุณนาย ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
โห้หลีเฉินทำตามสัญญาเรียกเว่ยชีกลับมาจริงด้วย
เย้นหว่านยิ้มและเดินไปตรงหน้าเขา “ไม่เจอกันนานจริงด้วย ได้พบเจอกันอีกครั้ง ฉันดีใจมาก ยังดีที่ต่อไปพวกเราจะได้เจอกันบ่อยๆแล้ว”
เว่ยชียิ้ม “ผมได้ส่งต่องานของผมให้คนอื่นแล้ว ต่อไปผมจะรับหน้าที่เป็นคนขับรถให้คุณนายเองครับ คุณนายอยากไปที่ไหน ผมจะพาไปทุกที่เลยครับ”
“นายมีความสามารถขนาดนั้น ถ้ามาเป็นแค่คนขับรถก็คงน่าเสียดายแย่”
เย้นหว่านส่ายหน้า จ้องเว่ยชีแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ฉันไปบริษัท มีงานหลายอย่างที่ยังไม่คุ้นเคย ช่วงนี้ นายก็คอยช่วยฉันหน่อยแล้วกัน นำทางให้ฉันด้วย”
เว่ยชีตะลึง “คุณนาย จะให้ผมเป็นผู้ช่วยเหรอครับ?”
ผู้ช่วยเลขางั้นเหรอ?
เย้นหว่านพยักหน้า “จะพูดแบบนี้ก็ได้ นายอยากทำไหมล่ะ?”
เว่ยชีไม่ได้ตอบทันที สายตาของเขามองไปที่โห้หลีเฉินอย่างลังเล
เย้นหว่านเห็นท่าทีของเขา ก็หัวเราะและพูดว่า “เป็นเพราะว่าจากผู้ช่วยประธานมาเป็นผู้ช่วยเลขา ระดับลดลงมามาก นายไม่ชอบเหรอ?”
“ไม่ใช่ครับ ผมไม่เคยคิดแบบนี้เลย การได้ช่วยคุณนายเป็นเกียรติของผมครับ แต่ว่า……”
เว่ยชีกะพริบตามองโห้หลีเฉิน แววตานั้นดูไม่สบายใจและลังเลมาก
เมื่อก่อน เว่ยชีเคยเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดของโห้หลีเฉิน แม้จะเป็นลูกน้อง แต่ก็นับว่าเป็นพี่น้องและเพื่อน เขาเคารพโห้หลีเฉิน แต่ก็ไม่ถ่อมตนขนาดนั้น
แต่ตอนนี้ ความกังวลของเว่ยชี ดูจะห่างเหินกับโห้หลีเฉินมากเลย
เย้นหว่านรู้สึกกดดันมากภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เธอพยายามข่มอารมณ์ในใจเอาไว้ แล้วมองโห้หลีเฉินด้วยรอยยิ้ม
“คุณโห้จะไม่อนุญาตเหรอ?”
สำหรับรอยยิ้มของเย้นหว่าน โห้หลีเฉินก็ยกมือขึ้นขยี้ผมเธอเบาๆอย่างเป็นธรรมชาติ “ถ้าเธอชอบ ก็เอาไปเลย”
ได้ยินแบบนี้แล้ว ความกังวลในใจของเว่ยชีก็คลายลงไปทันที
แม้จะเป็นปฏิกิริยาที่เห็นไม่ค่อยชัด แต่เย้นหว่านก็ยังสังเกตเห็นอยู่ดี
เธอแอบคิดในใจ เดี๋ยวจะต้องหาโอกาสคุยกันเว่ยชีดีๆแล้วล่ะ
ลางสังหรณ์เธอบอกว่า เว่ยชีอาจจะรู้เรื่องเยอะมาก
ตอนแรกออกมาก็สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว ตลอดทางเย้นหว่านก็ซื้อของกินแล้วดื่มชานมไปด้วย พอถึงบริษัทก็เที่ยงสิบนาทีพอดี
พนักงานบริษัทก็ต่างพักเที่ยงกันตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง ตอนนี้คงไปกินอาหารกลางวันอยู่ ไม่มีใครอยู่ในที่ทำงานเลย
ตอนที่ขึ้นไปบนชั้นทำงานของประธาน ห้องเลขาก็ว่างเปล่าไม่มีใครอยู่เลย
รอบด้านเงียบมาก มีแค่พวกเขาสามคนยืนอยู่
โห้หลีเฉินพูดกับเย้นหว่านว่า “ตอนนี้เป็นเวลาพักเที่ยง เธอมาห้องทำงานฉันก่อนสิ เดี๋ยวค่อยออกมาทำงาน”
โห้หลีเฉินคิดว่านี่เป็นเหตุผลที่ดีที่จะพาเธอไปอยู่ใกล้ๆตัวเอง แต่ไม่คิดว่าเย้นหว่านจะปฏิเสธเขา
เธอพูดว่า: “ตอนเช้าฉันไม่ได้มา ตอนนี้ต้องทำงานแล้วล่ะ นายยังมีงานอีกเยอะที่ยังไม่ได้จัดการนี่? รีบไปทำงานเถอะ”
พูดจบ เย้นหว่านก็เดินเข้าไปในห้องเลขาโดยไม่สนใจเขาอีก
โห้หลีเฉินยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ รอบด้านไม่มีลมพัด แต่เขากลับรู้สึกเหมือนมีลมที่หนาวเหน็บพัดมาที่ตัวเขา
รู้สึกปวดและโดดเดี่ยวมาก
ภรรยาเขาเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ตัวติดกับเขาแล้ว ทำยังไงดีๆ
เว่ยชีมองโห้หลีเฉินด้วยแววตาสับสน เขาพยักหน้าอย่างมีมารยาท “คุณผู้ชายครับ มีอะไรก็เรียกผมได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมไปช่วยคุณนายก่อน”
“เดี๋ยวก่อน”
โห้หลีเฉินหันหน้าไปมองเว่ยชี แววตานั้นเย็นชาขึ้นมาทันที และมีความเข้มงวดมากๆ
น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขามีเพียงเว่ยชีที่ได้ยิน “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายก็เป็นเลขาของเธอ แค่ฟังเธอคนเดียวก็พอ เรื่องที่ช่วยเธอได้ก็ช่วย เว่ยชี ต่อไปก็จำไว้ด้วยว่าเจ้านายของนาย……คือใคร”
พอพูดจบ โห้หลีเฉินก็กลับหลังหันไปอย่างเย็นชา แล้วเดินตรงไปที่ห้องทำงานประธาน
แผ่นหลังที่สูงโปร่งแผ่ซ่านไปด้วยความเยือกเย็น
เว่ยชีมองดูเขา แววตาก็มืดมนลง เป็นความรู้สึกที่ปวดใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน เมื่อก่อนเขาเคยอยู่ข้างโห้หลีเฉิน และเป็นคนที่รู้จักเขามากที่สุด แต่ตอนนี้……
เขาไม่ได้คุยหรืออยู่ใกล้โห้หลีเฉินมานานมากแล้ว คนที่อยู่ข้างโห้หลีเฉิน เปลี่ยนไปเป็นเก่อหรูซวนแทน
และตอนนี้โห้หลีเฉินก็เหมือนจะเปลี่ยนไปเยอะมากเหมือนกัน เว่ยชีไม่ใช่คนที่รู้จักโห้หลีเฉินที่สุดแล้ว
เย้นหว่านดึงเก้าอี้ออกมา ให้เว่ยชีนั่งลงข้างตัวเอง
เว่ยชีมองดูเก้าอี้ที่วางเรียงอยู่ใกล้กัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ “คือว่า คุณนาย ผมยืนดีกว่า”
แม้จะไม่อยู่ใกล้โห้หลีเฉิน แต่เขาก็รู้ดีว่าโห้หลีเฉินใจแคบแค่ไหน ขี้หึงจะตายไป ถ้าเขานั่งลงข้างๆเย้นหว่าน เขาคงได้ไม่ตายดีแน่
อาการหึงของโห้หลีเฉิน เขารับไม่ไหวหรอก
เย้นหว่านไม่รู้ว่าเว่ยชีคิดเยอะขนาดนี้ ก็แค่รู้สึกว่าเขาคงเกรงใจ ดังนั้นเลยยื่นมือไปดึงเขานั่งลงมา
“นั่งลงสะดวกกว่า”
เว่ยชีตัวแข็งทื่อทันที เขาหันไปมองห้องทำงานประธานอย่างรู้สึกผิด
คอมของประธานสามารถดูกล้องวงจรปิดในห้องทำงานเลขาได้ เขาจะอยู่ในลิสต์บัญชีดำของโห้หลีเฉินหรือยังนะ?
เย้นหว่านเห็นท่าทีของเว่ยชี ก็ถึงสังเกตได้ว่า เขากำลังกังวลอะไรอยู่
เธอเหนื่อยใจ แล้วก็ตั้งใจพูดเสียงดังว่า:
“ไม่ต้องกังวลหรอก โห้หลีเฉินไม่ทำอะไรนายหรอก เขาไม่หึงหวงไปทั่วหรอกนะ วางใจได้”
เว่ยชียิ้มแห้งๆ ในใจก็แอบถามเบาๆว่า จริงเหรอ?
ตอนนี้เอง ภายในห้องทำงานประธาน โห้หลีเฉินที่ถือมีดปอกผลไม้กำลังจะพุ่งออกมา ก็ได้ยินเสียงกล้องวงจรปิดจากในคอมดังออกมา จากนั้นเขาก็ชะงักอยู่กับที่ทันที
สักพักหลังจากนั้น เขาก็โยนมีดทิ้งไป แล้วกลับไปนั่งที่ทำงานต่อ
แต่สีหน้ากลับบึ้งตึง ทั้งเย็นชาทั้งแข็งทื่อแผ่ซ่านไปด้วยกลิ่นอายความอันตราย ถ้าตอนนี้มีคนเข้ามาในห้องทำงานของเขา วินาทีต่อไปคงได้ตัวเย็นเป็นน้ำแข็งแน่
เย้นหว่านเปิดคอมแล้วพิมพ์รหัสลงไป เข้าไปยังระบบของบริษัท
เว่ยชีเห็นแล้ว ก็รีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที
“คุณนายครับ นี่เป็นอำนาจสูงสุดของบริษัท ผมไม่มีสิทธิ์ดูครับ”
“อย่าทำงั้นสิ ฉันเปิดออกมาก็เพื่อให้นายดูนะ”
เย้นหว่านดึงเขา “เรื่องนี้มีแค่นายที่ช่วยฉันได้”