ในที่สุด หลังจากอดกลั้นมานาน โห้หลีเฉินก็กัดฟันแล้วพูดว่า
“ฉันจะให้เธอไป ไปนอนได้แล้ว”
“อะไรนะ? ” หลังจากที่เก่อหรูซวนได้ยินดังนั้น ก็เบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจในทันที “คุณชาย งานของพวกเรากำลังยุ่งมาก ถ้าเกิดว่าฉันออกไป จะคุยกันไม่ค่อยสะดวกนะคะ”
ถ้าเกิดว่าโห้หลีเฉินตัดสินใจไปแล้ว ก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้ง่ายๆ
“ถ้าจำเป็นต้องปรึกษา ก็โทรมาแล้วกัน”
เก่อหรูซวนพูดไม่ออกในทันที โทรคุย มันจะสะดวกกว่าคุยกันต่อหน้าได้ยังไง? แต่ถึงแม้ว่ามันจะไม่สะดวก แต่ว่าก็ยังสามารถคุยกันได้
น่าอายแบบนี้
สิ่งที่ทำให้เธอปวดหัวมากกว่าเดิมก็คือ เย้นหว่านทำเรื่องที่เลวร้ายขนาดนี้ โห้หลีเฉินโกรธเธอขนาดนี้ จนถึงตอนนี้แล้ว เขายังคงมาดูแลให้เย้นหว่านนอนหลับ ทนกับเธออีกครั้งหนึ่ง
ความรักที่เขามีต่อเย้นหว่าน มันไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ เหรอ?
ไม่ว่าเย้นหว่านจะทำร้ายเขาขนาดไหน เขาก็ยังคงรักเธอเหมือนเดิม
เก่อหรูซวนรู้สึกหมดหวัง เธอพูดด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “คุณชาย หวังว่าสิ่งที่คุณพูดในที่ประชุม คุณจะสามารถทำได้นะคะ ไม่ยังงั้น……”
เธอพูดไม่จบ ก็กอดคอมพ์แล้วก็เดินออกไปด้วยใบหน้าที่มืดมน
เก่อหรูซวนออกไปจากห้องทำงานของประธาน เย้นหว่านรู้สึกว่าอากาศสดชื่นและเย็นสบาย
เธอยื่นมือออกไปกอดเอวของโห้หลีเฉินเอาไว้ แล้วก็เอาแก้มถูกกับหน้าท้องของเขา
“คุณโห้ ฉันรู้อยู่แล้วว่านายเป็นรักฉันมากที่สุด”
นี่เป็นครั้งแรกที่เย้นหว่านกอด และโห้หลีเฉินไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรให้กับเธอ
เขาตัวแข็งและตรง เอามือไว้ด้านข้างโดยที่ไม่แตะต้องอะไรเธอเลย
เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “เย้นหว่าน ความรักที่ฉันมีต่อเธอ ไม่ควรเป็นทุนของเธอสำหรับความเย่อหยิ่งและความประพฤติไม่ดี เฉพาะครั้งนี้เท่านั้นนะ ต่อไปอย่าทำอะไรแบบนี้อีก”
“ไม่”
เย้นหว่านปฏิเสธอย่างรวดเร็วมาก เธอไม่ละอายใจ แถมยังดูภูมิใจอีกด้วย เธอยิ้มกว้างพร้อมกับมองโห้หลีเฉิน “คุณโห้ ขอแค่เก่อหรูซวนอยู่ ฉันก็จะอยู่ด้วยทั้งวัน”
โห้หลีเฉินขมวดคิ้วแน่นมาก เสียงเหมือนบีบออกจากคอ
“เย้นหว่าน ที่เธอทำตัวไม่มีเหตุผลแบบนี้ ไม่นึกถึงความรู้สึกของฉันบ้างเลยเหรอ ไม่กลัวว่าฉันจะหมดรักในตัวเธอเลยเหรอ? ”
มือของเย้นหว่านที่กอดเขาอยู่นั้นแข็งทื่อไป แต่ว่าบนใบหน้าของเธอ ยังคงคงรอยยิ้มเอาไว้
เธอมองเขา “นายจะเป็นแบบนั้นเหรอ? ”
ริมฝีปากของโห้หลีเฉินเป็นเส้นตรง มันเม้มแน่นมาก ยับยั้งอารมณ์ที่ซับซ้อนและพังทลายในหัวใจของเขา
เย้นหว่านมองเขา มุมปากยิ้มอย่างขมขื่น
“ถ้าเกิดว่าเป็นเมื่อก่อน นายจะพูดอย่างไม่ลังเลว่า ไม่มีทาง”
แต่ว่าตอนนี้ เขากลับไม่พูดแบบนั้น แต่กลับเงียบแทน
บางเวลา ความเงียบก็เท่ากับเป็นการยอมรับ และเป็นการทำร้ายจิตใจคนมากที่สุด
เย้นหว่านกอดเอวของเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม แล้วพูดเบาๆ ว่า “คุณโห้ ความรักของฉันไม่สามารถทนต่อรอยด่างพร้อยได้ ดวงตาของฉันไม่สามารถทนเม็ดทรายได้แม้แต่เม็ดเดียว ไม่ว่าจะต้องทำยังไง ฉันก็ต้องไล่เก่อหรูซวนออกไปให้ได้ นายจะห้ามฉันก็ได้ แต่ว่าฉันไม่มีทางหยุดอย่างแน่นอน……ถ้าเกิดว่า หลังจากนั้นนายรู้สึกหมดรักแล้วจริงๆ และไม่ต้องการที่จะรักฉันอีกต่อไป บอกฉันทีว่าเราต้องหย่ากัน ฉันจะ…”
มือของเย้นหว่านที่กอดโห้หลีเฉินอยู่นั้นกำหมัดแน่น เธอต้องใช้กำลังมหาศาลในการกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา
เธอพูดว่า “ฉันจะตกลงกับนายอย่างแน่นอน หย่ากับนาย และไม่ปรากฏตัวต่อหน้านายอีก”
“เย้นหว่าน!”
โห้หลีเฉินเหมือนกับว่าถูกดึงต่อมโมโห เขาตะโกนชื่อของเธอออกมาอย่างไม่พอใจ แล้วก็บีบไหล่ของเธอแน่น เกือบจะสูญเสียการควบคุม “การหย่ามันง่ายเหมือนกับที่เธอพูดยังงั้นเหรอ? เธอใจร้ายกับฉันขนาดนั้น แล้วก็ปล่อยฉันไปได้ขนาดนั้นเลยเหรอ? ”
เย้นหว่านส่ายหน้า มือของเธอกำเสื้อผ้าของเขาแน่น
“ฉันไม่อยากปล่อยมือ ต่อให้ตายก็ไม่อยาก มันจะทำให้ฉันตายได้จริงๆ ดังนั้นคุณโห้ นายต้องไม่ปล่อยมือก่อน ต้องจับฉันไว้ให้แน่น”
แววตาของโห้หลีเฉินหดตัวอย่างรุนแรง
ถ้าเกิดว่าปล่อยมือ สามารถทำให้เธอตายได้……
คำนี้น่ากลัวกว่าคำพูดใดๆ มันทำให้เขากลัว แม้จะเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ว่าเขาก็ยอมจำนน
เขาโอบไหล่เธอไว้แน่น น้ำเสียงของเขาดูจริงจังหนักแน่นและเศร้า
“เย้นหว่าน เธอไม่รู้หรอกว่า ถ้าเกิดว่าบริษัท ตี้เหา จำกัดล่มสลาย ผลที่ตามมาคืออะไร เธอและฉันอาจจะทนไม่ไหว อย่าเอาแต่ใจ ถอยไปก้าวหนึ่งได้ไหม? ”
“ไม่ได้”
เย้นหว่านไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว เธอเฉียบขาดเป็นอย่างมาก พร้อมกับยิ้มอย่างเศร้าโศก “พวกเราก็อยู่กันอย่างศัตรูแบบนี้ไปก่อนแล้วกัน ก่อนที่จะตัดสินคนแพ้และชนะ ก็ให้มันเป็นแบบนี้แหละ……”
เป็นศัตรูของกันและกัน
ไม่ปล่อยมือ และไม่ยอมถอย
มือของโห้หลีเฉินที่บีบไหล่ของเย้นหว่านอยู่นั้นคลายออกอย่างไม่มีแรง ดูเหมือนว่าเขาจะสูญเสียกำลังที่จะสนับสนุน
“เย้นหว่าน เธอเหมือนกับคนบ้าเลย”
บ้าคลั่งกว่าเขาอีก
ทำให้เขาหมดหนทางและทำอะไรไม่ถูก
บ้างั้นเหรอ?
เย้นหว่านคิด บางทีในช่วงสามปีของการพลัดพราก และการทรมานของการคิดถึงทั้งวันทั้งคืน เธออาจจะบ้าไปแล้วจริงๆ
เธอกลายเป็นคนที่ไม่สนใจอะไรเลย เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
“โห้หลีเฉิน”
เย้นหว่านกอดเขา พิงเขา เสียงของเธอดูเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก “ฉันง่วงมากเลย จะนอนแล้วนะ ตอนที่ฉันนอน นายอย่าไปไหนนะ”
โห้หลีเฉินยนอยู่ที่เดิม เม้มปากแน่น ไม่ได้พูดอะไร
เย้นหว่านคอยๆ หลับตาลง
ความง่วงเข้ามาครอบงำ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความมืดมิดไร้ขอบเขต และคนที่เธอกอดอยู่ คือความรอดเพียงอย่างเดียวของเธอ
เธอกอดแน่น แน่นมาก
แต่เมื่อบุคคลหลับลึก ร่างกายจะผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว หากไม่มีการสนับสนุน การที่เธอกอดเขาอยู่ก็จะเริ่มคลายตัวออกเรื่อยๆ ร่างกายของเธอสุดท้ายก็ล้มตัวลงที่โซฟา
ในขณะที่เธอกำลังจะล้มลงบนโซฟา โห้หลีเฉินเอาแขนโอบไหล่ของเธอ พยุงเธอเอาไว้ และค่อยๆ วจับตัวเธอเอนลงและนอนราบบนโซฟา
หลังจากนั้น เขาก็ถอดเสื้อคลุมออก พร้อมกับคลุมให้กับเธอ
หลังจากทำทั้งหมดนี้ เขานั่งยองๆ ข้างโซฟา และใช้นิ้วเอาผมของเธอขึ้นไปทัดที่หู ความเย็นชาและความโกรธในดวงตาของเขา ก็กลายเป็นความอ่อนโยนไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมกับความเจ็บปวดเข้ากระดูก
แต่เสียงที่เขากระซิบกับตัวเองนั้น มันทั้งเป็นเสียงที่กัดฟันแน่นอย่างเย็นชา “เย้นหว่าน พวกเราก็เป็นศัตรู กันแบบนี้ต่อไปเถอะ จนกว่าจะรู้ผล”
“จนถึงตอนนั้น ถ้าเกิดว่าถึงชีวิต ฉันจะปกป้องเธอ แต่ถ้าเกิดว่าตาย ฉันก็จะกอดเธอเอาไว้”
……
เย้นหว่านหลับลึกมาก และก็ตื้นมากเหมือนกัน
แม้แต่ในความฝันอันลึกล้ำ เมื่อประตูถูกเปิดออกและมีเสียง เธอก็ลืมตาขึ้นพร้อมกันในทันที
แล้วเธอก็เห็น เก่อหรูซวนเขย่งเท้าเดินเข้ามา
เย้นหว่านตำหนิอย่างไม่พอใจ “เก่อหรูซวน เธอทำอะไร? ”
อาศัยโอกาสตอนที่เธอหลับเข้ามายั่วผู้ชายของเธอยังงั้นเหรอ?!
ฝีเท้าของเก่อหรูซวนหยุดลงในทันที แล้วก็หันมามองเย้นหว่านอย่างหดหู่ที่สุด เธอเช็กกับโห้หลีเฉินตั้งหลายครั้ง ว่าเย้นหว่านหลับสนิทแล้ว ถึงได้ค่อยๆ เข้ามา
แต่ว่าเธอกลับตื่นขึ้นในทันที มันหลับสนิทตรงไหนกัน
“เธอเข้ามาส่งเอกสาร เดี๋ยวก็ออกไปแล้ว”โห้หลีเฉินตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
เก่อหรูซวนไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ว่าพอเห็นสายตาที่เย็นชาของโห้หลีเฉิน ก็เลยต้องยอมรับ
เธอวางแฟ้มไว้บนโต๊ะแล้วเดินออกไปอย่างหงุดหงิดอีกครั้ง
เย้นหว่านยื่นคอมองประตูห้องทำงานถูกปิด พอแน่ใจว่าเก่อหรูซวนจากไปแล้ว ถึงได้หาวอย่างง่วง หลับตาลงอีกครั้ง แล้วก็หลับไปหลังจากไม่กี่นาที