และในเมื่อโจวสุนออกไปแล้ว อย่างนั้นทางด้านคนตระกูลไป๋ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องอยู่ในนี้ต่อไป
พวกเขาพากันแยกย้ายไปคนละที่ ในขณะที่เฉินเฟิงนั้นมาอยู่ที่สวนดอกไม้ แล้วนั่งอยู่ตรงนั้นจ้องมองทิวทัศน์ด้วยความเบื่อหน่าย
พอผ่านไปได้ไม่นาน เขาก็มองเห็นร่างขาวๆ หนึ่ง ซึ่งร่างนั้นกำลังเดินตรงมายังเขา
“คุณโจว ทำไมคุณถึงไม่อยู่กับคุณชายรอง แต่กลับเดินออกมาที่นี่คนเดียวแบบนี้ล่ะครับ ”
บริเวณโดยรอบไร้ผู้คน เพราะพวกเขาน่าจะไปรวมตัวกันอยู่ที่ห้องโถงใหญ่กันหมดแล้ว ซึ่งการที่โจวจื่อเอ๋อเดินตรงมาที่นี่ นอกจากจะมาหาเฉินเฟิงแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีเหตุผลอื่นอีก
โจวจื่อเอ๋อดึงกระโปรงขึ้นเดินก้าวขึ้นบันได แล้วตรงไปนั่งยังเก้าอี้ยาวที่อยู่ข้างเฉินเฟิง
“ถ้าหากฉันบอกคุณชายเฉินว่าฉันมาหาคุณ ไม่ทราบว่าคุณชายเฉินจะเชื่อหรือเปล่าคะ ” โจวจื่อเอ๋อตอบกลับอย่างเฉยชา ซึ่งดูเป็นคนละคนกับตัวเธอในก่อนหน้านี้เลย
เฉินเฟิงถามกลับด้วยความประหลาดใจ: “คุณมาหาผม เพราะเหตุอะไรกัน?อีกอย่างคุณควรจะมีความสนใจต่อคุณชายรองไป๋คนนั้นถึงจะถูกสิครับ ”
โจวจื่อเอ๋อตอบกลับ: “สนใจหรือไม่สนใจ คนอื่นคงจะไม่สามารถมองออกได้ง่ายดายขนาดนั้นหรอกค่ะ มีเพียงแค่ตัวฉันเท่านั้นที่รู้ได้”
เฉินเฟิงถามกลับอีกครั้งด้วยความแปลกใจ: “ความหมายของคุณก็คือเมื่อสักครู่นั้นคุณแค่แสร้งแสดงออกมาต่อหน้าคนอื่นเท่านั้นงั้นหรอ ?”
โจวจื่อเอ๋อไม่ได้ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้กล่าวปฏิเสธ: “เรื่องบางอย่างก็จำเป็นจะต้องทำ แบบนั้นถึงจะทำให้ทุกคนเกิดความพอใจ ซึ่งสำหรับตัวฉันแล้วขอแค่พวกเขาพึงพอใจก็เพียงพอแล้ว ”
ภายในแววตาของเธอนั้นมีความมัวหมองแฝงอยู่ และคำพูดก็แฝงด้วยความไร้หนทางเช่นกัน
เฉินเฟิงที่ได้ยินจึงถามอย่างสงสัย: “คุณมาที่นี่ เพื่อจะมาบอกเรื่องแค่นี้กับผมงั้นหรอ ?”
“คุณชายเฉิน ตัวฉันนั้นไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวคุณมากนัก แต่เมื่อสักครู่นี้ได้ยินความคิดของคุณลุงที่มีต่อคุณแล้ว ฉันเองก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าคุณเป็นคนแบบไหน” โจวจื่อเอ๋อพูดออกมาอย่างผ่อนคลาย
“หืม?” เฉินเฟิงวางขาที่พาดอยู่บนเก้าอี้ของตัวเองลงมา แล้วมองไปยังโจวจื่อเอ๋ออย่างจริงจัง : “ถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าผมเป็นคนแบบไหนกัน ?”
โจวจื่อเอ๋อนั่งยืดตัวตรงขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับยืดอกตรง : “คุณชายเฉินคุณเป็นคนเดียวที่จะสามารถช่วยเหลือฉันได้ และก็เป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถช่วยเหลือฉันได้ ”
เฉินเฟิงถูกคำตอบนี้ของเธอทำให้งุนงงทันที
“ฉันรู้ดีว่าคุณชายเฉินต้องคิดว่าฉันบ้าไปแล้วแน่ๆ และตัวคุณก็อาจจะคิดด้วยว่าพวกเราเพิ่งจะเคยเจอกันเป็นครั้งแรก ดังนั้นคุณเลยต้องการที่จะปฏิเสธฉันด้วย ”
ซึ่งทางด้านเฉินเฟิงก็กำลังคิดแบบนั้นจริงๆ
ถึงแม้โจวจื่อเอ๋อจะดูหน้าตาสะสวย แต่เฉินเฟิงก็รู้ดีว่าไม่ใช่คนสวยทุกคนที่จะชอบเขา และอีกอย่างเขาก็ไม่สามารถที่จะไปช่วยเหลือผู้หญิงเหล่าทุกคนด้วย
ทันใดนั้นสีหน้าขอเฉินเฟิงที่มองไปยังโจวจื่อเอ๋อก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา แม้แต่น้ำเสียงก็เย็นชาขึ้นมาด้วยเช่นกัน : “ผมขอปฏิเสธคุณ”
โจวจื่อเอ๋อนิ่งอึ่ง มองไปยังเฉินเฟิงด้วยความไม่เข้าใจ พร้อมคำถาม: “ทำไมคะ?คุณชายเฉินยังไม่ทันได้ฟังข้อเสนอของฉันเลย บางทีนี่อาจจะเป็นข้อตกลงที่ไม่เลวเลยก็ได้นะคะ ”
แต่เฉินเฟิงกลับส่ายหน้า: “ไม่ว่ายังไง การช่วยเหลือคุณ อย่างน้อยก็คงต้องสร้างความขัดแย้งกับตระกูลโจว และถ้าหากผมเดาไม่ผิด บางทีก็อาจจะสร้างความบาดหมางกับตระกูลไป๋ด้วย แต่ว่าทั้งสองตระกูลนี้ล้วนเป็นตัวเลือกที่ผมต้องการใช้ต่อกรกับหมาป่าทะเลทราย เพราะฉะนั้นผมไม่มีทางตัดพวกเขาทิ้งในเวลาแบบนี้เด็ดขาด ”
โจวจื่อเอ๋อนั่งฟังเฉินเฟิงพูดจนจบอย่างตั้งใจ ก่อนที่เธอจะพูดออกมาอย่างลังเล : “คุณชายเฉินเดาถูกแล้วค่ะ แต่ก็เดาถูกแค่เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ”
ครั้งนี้กลายเป็นเฉินเฟิงที่ต้องสงสัยอีกครั้ง: “โอ๋?อย่างนั้นคงต้องขอทราบรายละเอียดหน่อยแล้วว่าอีกครึ่งหนึ่งที่ผมเดาไม่ถึงนั้นคืออะไรกันแน่?”
“สิ่งที่คุณชายเฉินคาดเดาถูกต้องนั้นคงจะเป็นเรื่องการสานสัมพันธ์ของฉันและตระกูลไป๋ และเรื่องความเป็นไปได้ระหว่างฉันและคุณชายรองแห่งตระกูลไป๋ ”
เฉินเฟิงพยักหน้า: “เพราะว่าลุงของคุณแทบจะเขียนความคิดเอาไว้บนหน้าตัวเองอยู่แล้ว ”
ทางด้านโจวจื่อเอ๋อยังคงแสดงท่าทีเรียบเฉย: “แต่คุณชายเฉินกลับคิดว่าหากช่วยเหลือฉันแล้วจะทำให้ทั้งตระกูลไป๋และตระกูลโจวเกิดความเกลียดชังในตัวคุณ แต่ฉันกลับอยากจะบอกว่าคุณชายเฉินคิดผิดทางแล้ว เพราะถ้าหากว่าคุณชายเฉินยินยอม ทั้งสองตระกูลนี้จะยิ่งมีความซื่อสัตย์ภักดีต่อคุณชายเฉินมากขึ้นต่างหาก ”
เฉินเฟิงไตร่ตรองแล้วก็ไม่คิดว่าความคิดของตัวเองนั้นจะมีปัญหาอะไร : “ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคุณเลย ตระกูลทั้งสองของพวกคุณต่างก็มีความจริงใจต่อกัน ไม่ว่าผมจะทำอย่างไรก็ล้วนแต่จะพังทลายเท่านั้น นอกจากว่าคุณจะไม่ปฏิเสธที่จะทำแบบนี้ แต่แบบนี้ผมก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้อยู่ดี ”
โจวจื่อเอ๋อฉีกยิ้มอันอ่อนโยนนั้นออกมา: “คุณชายเฉิน คุณว่าฉันเป็นยังไงบ้าง?”
เฉินเฟิงจ้องมองเธอ สำหรับเขาแล้วโจวจื่อเอ๋อเป็นคนที่สง่าสุขุมลุ่มลึก ราวกับดอกไม้สีขาวที่บานสะพรั่งหลังฝนตก ถึงแม้จะไม่มีเสน่ห์ทำให้หลงใหล แต่ก็ไม่ได้น่ารังเกียจอะไร
“คุณหนูโจวสวยดีครับ”
โจวจื่อเอ๋อยิ้มจางๆ ออกมา: “นอกจากคำว่าสวย คุณชายเฉินไม่มีคำพูดอื่นแล้วหรอคะ ?”
เฉินเฟิงตอบกลับ: “จะให้พูดเยอะกว่านี้ สุดท้ายแล้วก็หมายความว่าสวยอยู่ดี ฉะนั้นแค่พูดตรงๆ ออกมาให้เข้าใจก็เพียงพอแล้ว ”
โจวจื่อเอ๋อถามอีกครั้ง: “ปกติคุณชายเฉินกล่าวปลอบประโลมคนรู้ใจแบบนี้หรอคะ?”
เฉินเฟิงยักไหล่พร้อมตอบกลับด้วยรอยยิ้ม: “แน่นอนว่าไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่ว่าคุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าคุณมาหาผมเพราะอะไรกันแน่ อย่าบอกนะว่าคุณต้องการ ……。”
แต่โจวจื่อเอ๋อกลับขัดเขาเอาไว้ก่อน: “คุณชายเฉิน หากบอกออกมามันก็คงไม่มีความหมาย แต่ถ้าหากคุณชายเฉินยินยอม ในทะเลทรายแห่งนี้ฉันจะกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อคุณชายเฉินมากที่สุด ”
เฉินเฟิงที่ได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งลง ถ้าหากว่าตามความหมายของโจวจื่อเอ๋อ อย่างนั้นก็คงจะไม่มีทางสร้างช่องว่างให้แก่ตระกูลไป๋และตระกูลโจวแน่นอน แต่ว่าเขากลับไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำแบบนั้นอยู่ดี
“คุณคิดว่าคุณคุ้มค่ามากพอที่ผมจะทำแบบนี้งั้นหรอ ?ต่อให้คุณจะสวยมากขนาดไหน แต่คุณคิดว่าข้างกายของผมจะขาดแคลนผู้หญิงสวยงั้นหรอ ?”
เฉินเฟิงถามกลับอย่างเย็นชา
ดวงตาอันเรียวสวยของโจวจื่อเอ๋อจ้องไปยังเฉินเฟิง ราวกับกำลังส่งต่อความคิดของตัวเองให้กับเฉินเฟิง ก่อนที่เธอจะพูดอย่างแน่วแน่
: “คุ้มค่าค่ะ ฉันเชื่อมั่นว่าตัวเองไม่ได้เป็นเพียงแค่แจกันดอกไม้สำหรับประดับเท่านั้น แต่ในสิ่งที่คุณเฉินเฟิงต้องการ ฉันสามารถที่จะทำมันได้อย่างดีที่สุด ”
เดิมทีเฉินเฟิงต้องการที่จะปฏิเสธไปโดยตรง แต่สายตาที่ดิ้นรนแบบนี้ ทำให้เขารู้เหมือนเคยเห็นมาก่อน ทั้งยังเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างมาก
บางทีนี่อาจจะเป็นตัวเขาในตอนนั้น ท่าทางที่พยายามดิ้นรนต่อหน้าเสี้ยเมิ่งเหยา
“คุณคิดว่าคำพูดแค่นี้ของคุณจะทำให้ผมเชื่อได้งั้นหรอ” คำพูดนี้ที่เดิมทีเฉินเฟิงอยากจะพูดออกมาแต่ทว่าเขากลับกลืนมันลงไป
“แล้วคุณคิดจะพิสูจน์ตัวเองยังไงดีล่ะ ดีที่สุดคุณควรจะพิสูจน์ให้เห็นทั้งสองด้านเลย ” เฉินเฟิงตัดสินใจที่จะมอบโอกาสให้กับเธอ ดังนั้นเขาจึงพูดแบบนี้ออกมา