โจวจื่อเอ๋อเข้าใจทันทีเลยว่าตัวเองสามารถดึงดูดความสนใจของเฉินเฟิงได้แล้ว ดังนั้นเธอจึงหัวเราะออกมาเบาๆ ปรารถนา “คุณชายเฉิน เรื่องบางอย่างบางทีมันก็ดูง่ายดายนะคะ แต่บางครั้งมันก็ซับซ้อนในเวลาเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่ว่าคุณนั้นคิดยังไง”
จากคำพูดของโจวจื่อเอ๋อ เฉินเฟิงได้หยุดครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับ: “คุณคิดว่าในจุดที่ง่ายดายของเรื่องนี้จะเกิดปัญหาขึ้นอย่างนั้นสินะ”
“สมกับเป็นคุณชายเฉินเสียจริงค่ะ เพียงแค่เตือนให้หน่อยก็สามารถเข้าใจแล้ว” โจวจื่อเอ๋อพูดด้วยรอยยิ้ม: “ก็ตามที่ว่า คุณชายเฉินต้องการที่จะพึ่งกำลังอำนาจ ซึ่งเป็นกำลังอำนาจขนาดใหญ่ ที่แม้แต่ผู้ทรงอำนาจแข็งแกร่งอย่างหมาป่าทะเลก็ไม่สามารถที่จะหลุดหนีไปได้ แต่ว่าคุณชายเฉินกลับไม่เคยเข้าใจเลยว่าแท้จริงแล้วพวกเขานั้นมีความแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่”
ตอนนี้ดูเหมือนว่าเฉินเฟิงจะพอเข้าใจความหมายของโจวจื่อเอ๋อไม่น้อยเลย เพียงแต่ว่าเขากลับไม่เห็นด้วย เพราะถ้าหากผู้ที่อ่อนแอต้องการที่จะต่อต้านมหาอำนาจ การรวมกลุ่มกันไว้ถึงจะเป็นหนทางที่เหมาะสมที่สุด
แต่ในขณะที่เขากำลังจะอ้าปากพูด เสียงชายคนหนึ่งกลับแทรกเข้ามาเสียก่อน: “จื่อเอ๋อ?คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ?”
เฉินเฟิงพวกเขาสองคนหันหลังไปมองตามเสียงที่ดังขึ้น ปรากฏว่าไป๋ซูกำลังเดินมุ่งหน้ามายังทางพวกเขา
“คุณชายเฉินก็อยู่ที่นี่ด้วยงั้นหรอครับ?พวกคุณกำลัง?” ไป๋ซูมองพวกเขาด้วยความสงสัย
ทางด้านเฉินเฟิงไม่ได้ตอบกลับอะไร จะมีเพียงโจวจื่อเอ๋อที่ยิ้มหวานออกมาเท่านั้น: “ก็แค่บังเอิญเดินผ่านเข้ามาเจอคุณชายเฉินพอดีหน่ะค่ะ และด้วยความที่ฉันมีความแปลกใจในตัวคุณชายเฉินอยู่แล้ว เลยเป็นฝ่ายเดินเข้ามาพูดคุยกับคุณชายเฉินก็เท่านั้น”
แต่ถึงอย่างนั้นในใจของไป๋ซูก็ยังมีความแคลงใจบางอย่างอยู่ แต่เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปถามไถ่เอาความ เขาจึงเพียงแค่มองไปยังเฉินเฟิงเท่านั้น
“งั้นสินะครับ ที่จริงในตอนที่ผมได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของคุณชายเฉิน ก็เกิดความรู้สึกที่เหลือเชื่อเช่นเดียวกัน เพราะรู้สึกว่าเขาในตอนนี้ไม่เหมือนกับเขาคนนั้นที่ได้ถูกเลื่องลือออกมาเลย”
ทางด้านเฉินเฟิงกลับไม่ค่อยมีความสนใจที่จะมาพูดคุยกับพวกเขาสองคน เขาจึงลุกขึ้นยืนก่อนจะหันไปบอกกับพวกเขาสองคน : “พวกคุณค่อยๆ คุยกันนะครับ ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน”
ซึ่งในตอนที่เฉินเฟิงกำลังจะเดินออกมา โจวจื่อเอ๋อก็หันไปขยิกตาใส่เขาเป็นนัยให้กับเฉินเฟิงว่าคำพูดที่เหลือต่อจากนี้ เธอจะไปพูดคุยกับเฉินเฟิงอีกครั้ง
แต่เฉินเฟิงกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ
หลังจากที่เฉินเฟิงเดินจากไปแล้ว ไป๋ซูก็หันไปพูดกับโจวจื่อเอ๋อด้วยท่าทีไม่สบายใจ: “ผมก็คิดว่าคุณรังเกียจเวลาที่ต้องอยู่กับผมซะอีก ถึงได้หายไปนานขนาดนี้แล้วยังไม่กลับมาเสียที จนผมคิดว่าคุณกำลังหลบหน้าผม”
โจวจื่อเอ๋อกลับมาแสดงท่าทีใจดีดังเคยพร้อมตอบกลับด้วยรอยยิ้มจางๆ : “คุณชายรองคิดมากไปแล้วล่ะค่ะ คุณลุงใหญ่เองทั้งชื่นชมในตัวคุณชายรอง และยังบอกอีกว่าคนหน้าตาดีและมีความสามารถอย่างคุณชายรองนั้นพบเห็นได้ยากในโลกนี้แล้ว”
ไป๋ซูที่ถูกเธอกล่าวชื่นชมก็มีความสุขขึ้นมาดังดอกไม้ที่เบ่งบานทันที: “งั้นหรอครับ แล้วจื่อเอ๋อมองว่าผมเป็นยังไงครับ ……”
เฉินเฟิงเมื่อปลีกตัวออกมาจากทั้งสองก็กลับมายังบริเวณงานเลี้ยงฉลอง
ตอนนี้เหล่าแขกนั้นก็มากันจนล้นหลามแล้ว แต่ละคนพากันนั่งประจำตำแหน่งของตัวเอง และเพียงรอให้พิธียกเหล้านั้นเริ่มขึ้นเท่านั้น รูปแบบงานพิธีการของตระกูลโจวนั้นถือว่าค่อนข้างใหญ่โตเลยทีเดียว ซึ่งจากที่เฉินเฟิงลองนับดูแล้ว มีโต๊ะทั้งหมดราวๆ สามสิบถึงสี่สิบโต๊ะเลยก็ว่าได้
ส่วนคนที่เดินทางมาถึงแล้วนั้นก็ได้นั่งจนเต็มไปหมดแล้วด้วย และจากการคาดเดาผู้คนก็มีนับหลายร้อยคนเลย
เมื่อมีคนเยอะ สถานที่จัดงานจึงมีความคึกคักโอกเอกเสียงดังเป็นเรื่องธรรมดา ในขณะที่คนที่นั่งห่างจากตระกูลปรารถนาด้านหลังสุดนี้น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไร และทางด้านเฉินเฟิงก็หาที่นั่งว่างนั่งลงตรงบริเวณนั้น
“คุณชายเฉิน ทำไมคุณถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ล่ะครับ”
เฉินเฟิงเงยหน้าขึ้น โจวฟ่างก็กำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ
“ไม่มีอะไรครับ ผมก็แค่หาที่นั่งไปเรื่อยเท่านั้น อีกอย่างงานรื่นรมย์พวกนี้เดิมทีผมก็ไม่ค่อยชอบอยู่แล้วด้วย” เฉินเฟิงกล่าวอธิบายพร้อมรอยยิ้มจางๆ
โจวฟ่างที่ได้ยินอย่างนั้นจึงตอบกลับ: “ผมก็คิดว่าคุณชายเฉินจะเป็นคนที่ชื่นชอบผู้คนคึกคักแบบนี้เสียอีก”
เฉินเฟิงถามกลับ: “นี่ผมดูเป็นคนแบบนั้นมากเลยหรอครับ?”
“ก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกของผมหน่ะครับ คุณชายเฉินอย่าได้ใส่ใจเลย จริงด้วย คุณชายเฉินพอจะออกมาพูดคุยกันสักครู่ได้หรือเปล่าครับ ?”
เฉินเฟิงจ้องมองไปยังเขาด้วยสายตาที่สงสัย แต่โจวฟ่างกลับดูเหมือนว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องการจะบอกกับเขา
“ได้ครับ!” เฉินเฟิงพูดพลางได้เพียงลุกขึ้นอีกครั้งเท่านั้น โดยที่เก้าอี้ของเขายังนั่งได้ไม่ทันที่จะอุ่นเลย
เมื่อเดินตามโจวฟ่างออกมา เฉินเฟิงก็กล่าวถาม: “คุณต้องการที่จะบอกอะไรกับผมหรอครับ?”
“เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโจวครับ ผมรู้สึกว่าเรื่องบางอย่างหากไม่ได้บอกกับคุณชายเฉินได้เข้าใจ มันอาจจะมีผลกระทบต่อแผนการต่อต้านหมาป่าทะเลทรายได้” โจวฟ่างที่เดินนำหน้ากล่าวตอบ
แต่เฉินเฟิงกลับถามอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ: “อย่างนั้นทำไมถึงมาหาผมล่ะครับ เรื่องนี้คุณควรจะบอกกับคนตระกูลไป๋ให้เข้าใจก่อนไม่ใช่หรอครับ?”
โจวฟ่างตอบกลับอย่างลังเลใจ: “ผมไม่ค่อยเชื่อใจในตัวพวกเขาเท่าไหร่ ถ้าหากว่าแผนการครั้งนี้เกิดมีปัญหาขึ้นมาก็คงต้องเกิดเรื่องขึ้นจากกลุ่มตระกูลของพวกเรา ดังนั้นตอนนี้ผมจึงไม่กล้าที่จะเชื่อใจใครมากนัก”
เฉินเฟิงเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะสิ่งใดที่ทำให้เขาเกิดความกังวลใจมากขนาดนี้ได้ จึงคิดไปเองว่าคงเป็นเพราะโจวฟ่างนั้นตื่นตระหนกจนเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ตำหนิเขาไม่ได้ เพราะการต่อกรกับหมาป่าทะเลทรายก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาชีวิตเข้าไปแลกเลย
ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรต่อ ก่อนจะเดินตามโจวฟ่างไปยังลานอีกแห่งหนึ่งของตระกูลโจว
ลานเล็กนี้เงียบสงบ เมื่อเดินเข้าไปด้านในโจวฟ่างกลับยังไม่มีทีท่าจะหยุดฝีเท้าลงเลย ดังนั้นเฉินเฟิงจึงถามอีกครั้งด้วยความสงสัย: “ที่นี่ยังไม่ได้อีกหรอครับ ?”
โจวฟ่างเดินไปพลางกล่าวอธิบาย: “มีของบางอย่างที่ผมอยากให้คุณชายเฉินได้เห็นพร้อมกับพูดคุยกับคุณชายเฉินไปด้วย”
เฉินเฟิงกล่าวถาม: “ของอะไรกันครับ?”
ทว่าโจวฟ่างกลับไม่ได้ตอบออกมาตามตรง เพียงแต่พูดขึ้นว่า: “รอให้คุณชายเฉินได้เห็นแล้วก็จะรู้เองครับ”
ในใจของเฉินเฟิงเกิดข้อสงสัยขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นเขายังคงเดินตามไปเรื่อยๆ เพราะเขาคิดว่าโจวฟ่างคงไม่คิดจะทำอะไรเขาภายในบ้านตระกูลโจวแน่นอน
เมื่อเดินเข้าไปภายในห้องก็ยังต้องเดินตรงเข้าไปด้านในเรื่อยๆ จนในที่สุดพวกเขาก็เดินมาถึงห้องหนังสือแห่งหนึ่ง เดิมทีเฉินเฟิงก็คิดว่าคงจะเป็นที่นี่แน่นอน แต่โจวฟ่างกลับเดินไปยังตู้หนังสืออันหนึ่ง ก่อนจะตามหาหนังสือเล่มหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยดึงมันออกมาอย่างช้าๆ
ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที เสียงฟันเฟืองและโซ่กลไกก็ดังขึ้น
จากนั้นตู้หนังสือที่อยู่ตรงหน้าของเฉินเฟิงพวกเขาสองคนก็ค่อยๆ ขยับแยกออกจากกันทั้งสองด้าน ปรากฏให้เห็นประตูอันว่างเปล่าบานหนึ่งที่อยู่ด้านใน
ซึ่งมองดูจากทางเข้าเข้าไปด้านในก็เห็นเพียงบันไดหนึ่งที่ทอดจากประตูทางเข้า และเมื่อยิ่งมองลึกลงไปก็จะมีเพียงภาพความมืดเท่านั้น
“นี่คือ?” เฉินเฟิงถามอย่างสงสัย
โจวฟ่างกล่าวอธิบาย: “ที่นี่คือสถานที่ใช้สำหรับหลบภัยของตระกูลโจว หลังจากที่เกิดเรื่องครั้งนั้น พวกเราก็สร้างห้องลับนี้ขึ้นมาเป็นการเฉพาะ เผื่อจะเกิดเหตุที่ไม่คาดคิด”
เมื่อโจวฟ่างพูดจบ เขาก็หันไปมองเฉินเฟิง: “คุณชายเฉิน ของชิ้นนั้นถูกเก็บไว้ในนี้ครับ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตระกูลโจวของเราห้ามป่าวประกาศออกไปเด็ดขาด ดังนั้นหวังว่าหลังจากที่คุณชายเฉินได้เห็นแล้วจะช่วยปกป้องความลับนี้ให้กับตระกูลโจวด้วย”
เฉินเฟิงที่ได้ยินก็กล่าวตกลงอย่างว่าง่าย: “นั่นสมควรอยู่แล้วครับ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นโจวฟ่างถึงค่อยสบายใจ ก่อนจะพาเฉินเฟิงเดินเข้าไปด้านใน
ผ่านไปเพียงไม่นาน ยิ่งเดินมุ่งหน้าเข้าไปด้านในเรื่อยๆ การมองเห็นก็ยิ่งไม่ชัดเจนมากขึ้น แต่เพราะได้จับราวบันไดไว้จึงไม่ทำให้หลงทิศทาง จนมาถึงกลางทางก็เกิดการเปลี่ยนทิศเดินอีกครั้ง และเมื่อเดินเลี้ยวไปอีกทาง พวกเขาก็ยังต้องมุ่งหน้าเดินลงต่อไปอีก
หลังจากที่รู้สึกว่าเดินผ่านความลึกมาได้หลายสิบเมตร ในที่สุดก็เดินมาถึงจุดล่างสุดเสียที
แต่บริเวณตรงหน้ากลับมีประตูเหล็กหนาตั้งตระหง่านอยู่ ดูแล้วเหล็กนี้จะมีความแข็งแกร่งกว่าเหล็กที่ใช้ในการทำประตูตู้นิรภัยทั่วไปเสียอีก
ดูเหมือนว่าตระกูลโจวจะหวาดกลัวและรอบคอบเกินไปแล้ว
ทางด้านโจวฟ่างคลำไปมาตามพื้นผนังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดที่ครอบอันหนึ่งออก ซึ่งด้านในผนังนั้นดูเหมือนจะมีรูกุญแจอันหนึ่งอยู่ โจวฟ่างหยิบเอากุญแจดอกหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะสอดกุญแจดอกนั้นเข้าไปในรูกุญแจแล้วค่อยๆ บิดอย่างเบามือ
แต่ถึงอย่างนั้นประตูเหล็กหนานั้นกลับยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น
จากนั้นโจวฟ่างก็เอื้อมมือขึ้นไปสัมผัสลงบนประตู ราวกับกำลังกดบางอย่างอยู่ และไม่นานประตูเหล็กนั้นก็เปิดออกอย่างง่ายดาย